หวงฝู่อี้เซวียนคอยมองนางไม่ละสายตา เมื่อเห็นนางตกอยู่ในภวังค์ ก็มีลางสังหรณ์ใจ เขาร้องเรียกด้วยเสียงเป็นกังวล “โยวเอ๋อร์!”
เมิ่งเชี่ยนโยวตื่นจากภวังค์ เห็นทุกคนมองตัวเองด้วยสายตาเป็นห่วง นางจึงหัวเราะแล้วพูดขึ้นว่า “ฟังท่านแม่ดีกว่า ข้านอนบนเตียงอีกสักสองสามวันแล้วกัน”
เมิ่งซื่อและคนอื่นๆ ค่อยโล่งใจ แต่หวงฝู่อี้เซวียนกลับมองนางอย่างไม่สบายใจ
เมื่อตกดึก เมิ่งซื่อและคนอื่นๆ กลับไปหนานเฉิงแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวขอร้องหวงฝู่อี้เซวียนให้ตนได้อาบน้ำด้วยเสียงเบา
หวงฝู่อี้เซวียนไม่เห็นด้วยแน่นอน แล้วก็รู้ทันทีว่าเหตุใดเมื่อกลางวันนางจึงอยากลงจากเตียง จึงจ้องนางอยู่พักหนึ่ง
เมิ่งเชี่ยนโยวเอาแต่หลบสายตา เขาจึงหันหลังเดินออกไป ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็นำอ่างใส่น้ำร้อนเข้ามาไว้ในห้อง แล้วเดินไปพยุงเมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้น กำลังจะถอดเสื้อชั้นในและกางเกงชั้นในออก เพื่อช่วยเช็ดตัวนาง
เมิ่งเชี่ยนโยวหน้าแดงจับมือเขาไว้ พูดเสียงเบาว่า “เจ้าออกไปเถอะ ข้าจัดการเอง”
หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้พูดอะไร มองนางนิ่ง
เมิ่งเชี่ยนโยวทนสายตาที่เขามองไม่ได้ จนยอมปล่อยมือออก หวงฝู่อี้เซวียนช่วยถอดเสื้อผ้าของนางอย่างเบามือ เมื่อเห็นแผลบริเวณท้องที่ถูกปิดด้วยผ้าปิดแผลของนาง ก็ชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วจึงปิดแผลให้เรียบร้อย ยกอ่างน้ำมาข้างเตียง ลองอุณหภูมิน้ำแล้วรู้สึกกำลังดี จึงนำผ้าขนหนูมาช่วยเช็ดตัวนางอย่างเบามือ
เมิ่งเชี่ยนโยวหน้าแดง เขินจนปิดตาไม่กล้ามองเขา
หลังจากรอจนหวงฝู่อี้เซวียนเช็ดตัวให้เสร็จด้วยความอ่อนโยนและละเอียดลออ ก็รีบดึงผ้าห่มปิดร่างตัวเองไว้
เห็นนางเขินอายเช่นนี้ หวงฝู่อี้เซวียนก็หัวเราะออกมา แล้วหอมแก้มนางพูดเสียงเบาว่า “ต่อไปหากอากาศร้อน ข้าจะช่วยเจ้าเช็ดตัวทุกวันเลย เจ้าทำตัวให้ชินนะ”
หน้าเมิ่งเชี่ยนโยวยิ่งแดง
ยากนักที่จะได้เห็นท่าทางเขินอายเช่นนี้ของนาง หวงฝู่อี้เซวียนอารมณ์ดี อมยิ้มแล้วยกอ่างน้ำออกไปเทน้ำทิ้ง
เห็นแผ่นหลังของเขาที่เดินออกไป จับแผลตัวเอง สีหน้าเมิ่งเชี่ยนโยวเคร่งขรึม เมื่อหวงฝู่อี้เซวียนเก็บของเสร็จกลับมา สีหน้านางก็กลับมาเป็นปกติ
ผ่านไปอีกประมาณสิบวัน แผลหายดีแล้ว ผ้าปิดแผลก็เอาออกแล้ว เมิ่งซื่อยอมให้นางลงจากเตียงเดินอีกครั้ง หลังจากที่เมิ่งเชี่ยนโยวขอร้องวิงวอน
ครั้งนี้ดีขึ้นมาก แม้ร่างกายจะยังไม่ค่อยชิน นางยังไม่กล้ายืดตัวตรงและทำท่าทางใหญ่โต แต่ก็ไม่ได้รู้สึกเจ็บเหมือนเข็มทิ่มหัวใจแล้ว แต่เพราะว่าตลอดเกือบหนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ เมิ่งเชี่ยนโยวนอกจากดื่มยาแล้ว ก็กินแต่ยาบำรุง เป็นอาหารเหลวทั้งนั้น ร่างกายไม่ค่อยมีเรี่ยวแรง เดินแค่ไม่กี่ก้าวก็หายใจหอบแล้ว แขนขาอ่อนแรง สองทศวรรษที่ผ่านมา ไม่เคยอ่อนแอเช่นนี้มาก่อนเลย เมิ่งเชี่ยนโยวรีบร้อน เม็ดเหงื่อเริ่มซึมออกมาบนหน้าผาก
พระชายาฉีเหมือนรู้ว่านางคิดอะไรอยู่ ปลอบอย่างอ่อนโยนว่า “โยวเอ๋อร์ ใจเย็นๆ นะ ร่างกายเจ้าไม่เป็นอะไรมากแล้ว ออกกำลังหน่อย สักพักก็หายดี”
เมิ่งเชี่ยนโยวจะปริปากพูด แต่ไม่ได้พูดอะไร ได้แต่พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
หวงฝู่อี้เซวียนปริปาก “เจ้าวางใจเถอะ พวกเขาไม่เป็นไร”
ทุกคนไม่เข้าใจว่าสิ่งที่เขาพูดหมายถึงอะไร เมิ่งเชี่ยนโยวกลับเงยหน้า มองเขาอย่างประหลาดใจ
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้าอย่างจริงใจ อธิบายว่า “พวกนางก็อ่อนแอมากเหมือนกัน มาดูเจ้าไม่ได้”
ยังมีชีวิตอยู่ก็ดีแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวค่อยสบายใจขึ้น ค่อยๆ ก้าวเท้าตนเองต่อไป
ฝึกเดินได้ครู่หนึ่ง ใบหน้าเมิ่งเชี่ยนโยวก็ซึมไปด้วยเหงื่อ
เมิ่งซื่อเห็นแล้วสงสาร หลังจากช่วยนางเช็ดเหงื่อ ก็ไม่ให้นางเดินต่ออีก พยุงนางกลับไปนั่งลงบนเตียง
เมิ่งเชี่ยนโยวก็เหนื่อยมากแล้ว ไม่ได้ฝืนเดินต่อไป
หวงฝู่อี้เซวียนยกน้ำมาให้นางอย่างรู้หน้าที่ ยื่นไปให้นาง
เมิ่งเชี่ยนโยวรับมา ค่อยๆ ดื่มน้ำ เมื่อดื่มเสร็จก็ส่งแก้วน้ำกลับคืนให้หวงฝู่อี้เซวียน
หวงฝู่อี้เซวียนรับไว้ ค่อยๆ เขี่ยผมที่ปรกหน้าผากนางออกไปด้านหลัง แล้วจึงหันหลังกลับนำแก้วไปวางไว้บนโต๊ะ
เมิ่งซื่อและคนอื่นๆ มองทุกการกระทำของเขา แล้วใจชื้นอย่างบอกไม่ถูก ความโกรธเคืองและความไม่พอใจเมื่อตอนที่รู้ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวบาดเจ็บก็มลายหายไปในทันที
พระชายาฉีก็มองทุกอย่างตรงหน้าอย่างชื่นใจ นั่งคิดในใจว่า หากเมิ่งเชี่ยนโยวหายดีแล้ว งานสมรสของพวกเขาก็จัดตามวันที่ตกลงกันไว้แต่แรกเลย ไม่เลื่อนออกไปอีกแล้ว
ในเมื่อบาดแผลไม่ได้เป็นอะไรมากแล้ว ก็เหลือแค่บริหารร่างกายให้แข็งแรง ทุกครั้งที่เมิ่งเชี่ยนโยวมีเวลา ก็จะขอร้องหวงฝู่อี้เซวียนพยุงนางเดินอย่างช้าๆ จนสามารถเดินออกจากห้อง ออกจากเรือนในจวน และเดินไปถึงเรือนพักฟื้นของชิงหลวน จูหลี กัวเฟย และเหวินเปียว รวมถึงองครักษ์ลับนายอื่นๆ
กัวเฟยสูญเสียแขนซ้ายของตนไป เส้นประสาทขาของเหวินเปียวถูกฟันจนบาดเจ็บ ทั้งสองกลับไปสภาพเดิมไม่ได้แล้ว ตอนนี้คนหนึ่งไม่มีแขน อีกคนก็ขากะพร่องกะแพร่ง ทั้งสองกำลังฝึกเดินเหมือนเมิ่งเชี่ยนโยว
หวงฝู่อี้เซวียนพยุงเมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามา กัวเฟยเป็นคนแรกที่เห็นพวกเขา เรียกขึ้นอย่างดีใจ “นายท่าน นายหญิง ท่านไม่เป็นอะไรแล้วหรือขอรับ”
มองแขนซ้ายที่หายไป เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าเบาๆ ฝืนยิ้มออกมา ตอบว่า “อื้ม” เบาๆ
เหวินเปียวและคนอื่นก็รุมล้อมเข้ามา คารวะทักทาย
เมื่อเห็นร่างกายพวกเขามีบาดแผลไม่มากก็น้อย เมิ่งเชี่ยนโยวก็น้ำตาคลอ โค้งคำนับต่อหน้าทุกคน พูดอย่างรู้สึกผิดว่า “ขอโทษ ข้าทำพวกเจ้าลำบากแย่เลย”
ทุกคนตกใจ กัวเฟยรีบพูดขึ้นว่า “นายหญิง ท่านพูดอะไรขอรับ เพราะพวกข้าไม่ได้ปกป้องท่านให้ดี ท่านถึงบาดเจ็บหนักหนาเพียงนี้ พวกข้าต้องขอโทษมากกว่าขอรับ”
กัวเฟยพยักหน้าพูดสำทับว่า “ใช่ขอรับ นายหญิง พวกข้าผิดเอง พวกข้าไม่ได้ปกป้องท่านให้ดี”
องครักษ์ลับที่ยังมีชีวิตเหลือรอดก็พยักหน้าเช่นกัน
มองดูทุกคนที่แย่งกันรับผิด เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นมือเชิงห้ามปรามให้พวกเขาหยุดขอไถ่โทษ พูดขึ้นว่า “พวกเจ้ารักษาตัวให้หายไวๆ ไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้น เมื่อหายดีแล้วข้าจะจัดการทุกอย่างให้เอง”
สิ่งที่นางพูดทำให้ทุกคนที่อยู่อย่างไม่สงบสุขรู้สึกเหมือนได้กินยาชูใจเข้าไป
เหวินเปียวอย่างไรก็มีคนในครอบครัวดูแล อย่างมากก็แค่กลับบ้านเกิด กลับไปดูแลบ้านและสำนักกับพี่น้องในสำนักคุ้มภัย แต่กัวเฟยกับองครักษ์ลับที่เหลือนี่สิ หน้าที่พวกเขาคือปกป้องเจ้านาย แต่ตอนนี้พวกเขาบ้างก็ไร้แขน บ้างก็ไร้ขา แม้จะมีกำลังวิชาดีแค่ไหนก็ใช้ได้ไม่เต็มที่ ตั้งแต่ที่พวกเขาฟื้นขึ้นมา ในใจก็ลุ่มๆ ดอนๆ หลังจากนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป พวกเขากลัวว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจะให้เงินทองสักก้อนแล้วผลักไสพวกเขาไป แต่ตอนนี้ได้ยินนางพูดเช่นนี้ ความกังวลใจที่มีมาตลอดหลายวันนี้ก็คลายลง ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มสบายใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวจดจำสีหน้าพวกเขาไว้ พูดขึ้นอีกว่า “พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่ว่าเมื่อไร ไม่ว่าพวกเจ้าจะยังปกป้องข้าได้อีกหรือไม่ ข้าไม่ทิ้งพวกเจ้าไปหรอก”
ไม่เพียงแต่กัวเฟยและองครักษ์ลับที่บาดเจ็บ โจวอันและองครักษ์ลับที่มาช่วยดูแลพวกเขาได้ยินคำพูดของนางต่างก็ชาบซึ้งใจ
การปกป้องเจ้านายเป็นหน้าที่ของพวกเขา น้ำน้อยแพ้ไฟจนได้รับบาดเจ็บเป็นเรื่องปกติ แต่คนอย่างพวกเขาหลังจากที่บาดเจ็บแล้วมักมีจุดจบสองแบบ หนึ่งคือเจ้านายทิ้งไว้ที่เดิม ไม่สนใจไม่ถามถึง ปล่อยให้ล้มลุกคลุกคลานเอง อีกแบบหนึ่งคือเจ้านายจะสั่งให้ฆ่าทิ้งเพื่อปิดปากเสีย จะได้ไม่มีข้อมูลเสียๆ หายๆ ของตนรั่วไหลออกไป
เจ้านายที่นำตัวองครักษ์ที่บาดเจ็บกลับมาช่วยรักษาอย่างหวงฝู่อี้เซวียนนั้นน้อยนัก แล้วก็เจ้านายที่ให้สัญญาว่าจะดูแลพวกเขาอย่างครอบครัวนั้นยิ่งหามีไม่ ทั้งหมดนี้ทำให้พวกเขาซาบซึ้งใจยิ่งนัก
หวงฝู่อี้เซวียนยืนพยุงเมิ่งเชี่ยนโยวอยู่ข้างๆ อย่างเงียบๆ ไม่ได้พูดอะไรตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ แต่จากสายตาของเขา ทุกคนต่างรู้ว่าเขาก็คิดเช่นนี้
เสียงดีใจของชิงหลวนและจูหลีดังมาจากในห้อง “นายหญิง หายดีแล้วหรือเจ้าคะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มตอบ “หายแล้ว พวกเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
“พวกข้าก็หายดีแล้ว อีกไม่กี่วันก็จะกลับไปอยู่ข้างกายนายหญิงแล้วเจ้าค่ะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพลางเดินไปทางห้องพักฟื้นของทั้งสอง เดินถึงหน้าประตู หวงฝู่อี้เซวียนปล่อยนาง ส่งสัญญาณให้สาวใช้พยุงนางเข้าไป
เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือเบาๆ ให้สาวใช้ แล้วเดินเข้าไปเองอย่างช้าๆ
ในห้องมีเตียงสองตัวเรียงติดกัน ชิงหลวนนอนด้านซ้าย จูหลีนอนด้านขวา ทั้งสองกำลังเงยหน้า มองนางอย่างดีอกดีใจ แต่เมื่อเห็นนางค่อยๆ เดินมาที่ข้างเตียง ตาก็เริ่มแดงก่ำ
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นสีหน้าของพวกนางอย่างชัดเจน พูดพลางยิ้มว่า “เจ้าคนโง่ทั้งสอง ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว พวกเจ้าทำอะไรกันอยู่น่ะ”
ชิงหลวนกำลังจะพูด เมิ่งเชี่ยนโยวก็ขัดขึ้นว่า “อย่าบอกว่าเป็นเพราะพวกเจ้าละเลยหน้าที่ ไม่ได้ปกป้องข้าให้ดีนะ หากไม่มีพวกเจ้าสละตัวเองมาคุ้มกันข้า ป่านนี้ข้าคงไปเจอยมบาลแล้ว”
คำพูดที่กำลังจะถูกเอ่ยของชิงหลวนก็ถูกกลืนกลับไปอีกครั้ง
สาวใช้ยกเก้าอี้มาตัวหนึ่ง เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งลงข้างๆ เตียงของพวกนางทั้งสอง ถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วยื่นมือไปจับชีพจรของชิงหลวนครู่หนึ่ง แล้วพยักหน้า “พื้นตัวได้ดี อีกสักสิบวัน ก็น่าจะลงจากเตียงเดินได้แล้ว”
นางหันไปกำลังจะจับชีพจรให้จูหลีต่อ จูหลีกลับไม่ยื่นมือมา เม้มปากอย่างน้อยใจ ฟ้องว่า “นายหญิง ข้าไม่เป็นอะไรตั้งนานแล้ว แต่หมอหลวงเจียงนั่นสั่งให้ข้านอนบนเตียงต่อเจ้าค่ะ”
นานๆ ทีจะเห็นท่าทีเช่นนี้ของนาง ดูท่าคงทนไม่ไหวแล้วจริงๆ เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วส่ายหัว ส่งสัญญาณให้นางยื่นมือออกมา
จูหลียื่นมือออกมาอย่างว่าง่าย เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นไปจับชีพจร ผ่านไปพักใหญ่จึงพูดขึ้นว่า “หมอหลวงเจียงพูดถูก เจ้าควรนอนพักอีกสักพักใหญ่เลย”
ทั้งสองถูกดาบแทงทะลุ แต่ก่อนหน้านี้จูหลีถูกฝ่ามือที่ใช้กำลังภายในของหัวหน้าชายชุดดำ อวัยวะภายในทุกส่วนถูกทำลายไม่มากก็น้อย อาการรุนแรงกว่าชิงหลวนเล็กน้อย จึงต้องพักฟื้นอีกหลายวัน
แม้แต่เมิ่งเชี่ยนโยวยังพูดเช่นนี้ จูหลีไม่มีความเห็นอะไร ยอมนอนแต่โดยดี แต่ก็พูดบ่นสองสามคำอย่างอดไม่ได้
นางพูดคุยกับองครักษ์อยู่ประมาณชั่วก้านธูป หวงฝู่อี้เซวียนเป็นห่วงนาง เขารอข้างนอกจนเริ่มร้อนรน พูดเสียงดังว่า “โยวเอ๋อร์ ถึงเวลากินยาแล้ว”
ชิงหลวนและจูหลีได้ยินก็รีบพูดขึ้นว่า “นายหญิง ท่านกลับไปทานยาก่อนเถอะ รอพวกข้าหายดีแล้วจะไปหาท่านเจ้าค่ะ”
ตอนมาเพิ่งทานยาไป นี่เพิ่งผ่านไปนานแค่ไหนเชียว ที่หวงฝู่อี้เซวียนพูดเช่นนี้คงจงใจเร่งให้ตัวเองรีบกลับไปแน่ๆ เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้น หลังจากกำชับให้ทั้งสองพักผ่อนดีๆ จึงค่อยๆ เดินออกจากห้องไป
เมื่อก้าวออกจากห้อง หวงฝู่อี้เซวียนก็รีบเข้าไปพยุงนางทันที ทั้งสองเดินกลับไปภายใต้สายตาของกัวเฟยและคนอื่นๆ
อาการของเมิ่งเชี่ยนโยวดีขึ้นเรื่อยๆ คนที่มาเยี่ยมเยียนก็มากขึ้น คู่แรกเลยคือสองสามีภรรยาเปาชิงเหอและสองสามีภรรยาเปาอีฝาน เมื่อตอนที่เมิ่งเชี่ยนโยวหลับอยู่ เปาฮูหยินและซุนฮุ่ยก็มาหานาง จากนั้นหมอเจียงบอกว่าเมิ่งเชี่ยนโยวต้องการพักผ่อนเงียบๆ ทั้งสองจึงไม่มารบกวน
เมื่อเจอกัน เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวไม่เป็นอะไรมากแล้ว สภาพไม่ต่างจากปกติเลย ในใจก็รู้สึกดีใจมาก ซุนฮุ่ยกุมมือเมิ่งเชี่ยนโยวไว้บอกนางว่า เมื่อตอนที่นางสลบไปหลายวัน พวกเขาทั้งสองก็นอนไม่หลับเช่นกัน สิ่งเดียวที่ทำทุกวันคือรอเปาอีฝานเสร็จธุระจากจวนอ๋องแล้ว หลังจากตกดึกกลับบ้าน ถามเขาว่าเมิ่งเชี่ยนโยวฟื้นหรือยัง
เด็กน้อยมั่วเอ๋อร์ก็เดินไปหน้านาง เงยหน้าพูดอย่างลูกผู้ชายว่า “ท่านอา ท่านบอกข้า ใครรังแกท่าน ข้าจะไปต่อยเขาเอง”
พูดจบ ก็รูดแขนเสื้อขึ้น ทำประหนึ่งขอแค่เมิ่งเชี่ยนโยวบอก ก็จะไปแก้แค้นให้นางทันที
ทุกคนหัวเราะ
เมิ่งเชี่ยนโยวลูบหัวเขา หัวเราะและพูดว่า “ได้ รอให้มั่วเอ๋อร์โตหน่อย แล้วไปแก้แค้นให้อานะ”
ต่อมาก็คือสองสามีภรรยาฉู่เหวินเจี๋ย
ตอนที่เมิ่งเชี่ยนโยวสลบไม่ได้สติ ฉู่เหวินเจี๋ยมาช่วยงานที่จวนอ๋องทุกวัน กลับไปก็ไม่กล้าบอกเรื่องของเมิ่งเชี่ยนโยว กลัวว่านางจะตกใจจนสะเทือนไปถูกครรภ์ และยังสั่งให้ทุกคนในจวนห้ามบอกนาง จนเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ อาการเมิ่งเชียนโยวดีขึ้น ฉู่เหวินเจี๋ยจึงหาโอกาสบอกนาง
เฝิงจิ้งซูใจร้อนขึ้นมาทันที บอกให้ฉู่เหวินเจี๋ยส่งนางไปหาทันที
ครรภ์เจ็ดเดือนแล้ว เฝิงจิ้งซูเป็นกังวลจึงเดินเร็วขึ้น เมื่อเจอเมิ่งเชี่ยนโยว ก็รู้สึกหายใจไม่ค่อยออก แต่ก็จับเมิ่งเชี่ยนโยวไว้ทันที มองนางจากหน้าไปหลัง จากบนลงล่าง พูดขึ้นว่า “ท่านแม่ทัพไม่ได้บอกข้าเลยว่าเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้กับเจ้า ไม่เช่นนั้นข้ามาหาเจ้าแต่แรกแล้ว”