ฉู่เหวินเจี๋ยมองนางอย่างกังวล มือสองข้างคอยประคองตัวทั้งสองข้างของนาง
เมิ่งเชี่ยนโยวก็รีบประคองนางไว้เช่นกัน พูดขึ้นว่า “ช้าหน่อย เจ้าจะเป็นแม่คนอยู่แล้ว ยังลุกลี้ลุกลนอย่างนี้อีก”
ตั้งแต่ตั้งครรภ์ได้ห้าเดือน เฝิงจิ้งซูกินอิ่มนอนหลับทุกคืน นอกจากท้องที่ขยายใหญ่ขึ้น ก็ไม่มีอาการไม่สบายเลย ลืมความตื่นเต้นและกังวลเมื่อตอนเริ่มตั้งครรภ์ไปนานแล้ว นางได้ยินดังนั้นจึงโบกมือ พูดอย่างไม่สนใจว่า “เจ้าเด็กนี่ซนจะตาย ไม่เป็นอะไรหรอก”
ฟังนางพูดไป พลางมองสีหน้ากังวลของฉู่เหวินเจี๋ยไป เมิ่งเชี่ยนโยวก็เผยรอยยิ้ม พูดว่า “ท่านแม่ทัพ ท่านวางใจให้น้องซูเอ๋อร์อยู่กับข้าเถอะ ข้าสัญญาว่าจะไม่ทำให้นางเป็นอะไร”
ผิวหน้าคล้ำของฉู่เหวินเจี๋ยปรากฏรอยแดงระเรื่อ พยักหน้า หันหลังเดินออกไปพร้อมกับหวงฝู่อี้เซวียน
มาถึงห้องรับแขก นั่งลง บ่าวรับใช้ยกน้ำชามาให้ จิบชาและเอ่ยปากว่า “ตอนนี้สองสามีภรรยาเฮ่อจางถูกกำจัดไปแล้ว หญิงสาวที่พวกเจ้าให้ข้าจัดแจงมาให้ปากคำก็ควรปล่อยนางกลับไปได้แล้วหรือไม่”
หวงฝู่อี้เซวียนเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตอนนั้นเขาให้องครักษ์ลับนำตัวเฉียวหมิ่นและรั่วหลานส่งให้ฉู่เหวินเจี๋ย เฉียวหมิ่นเป็นโสเภณีในค่ายทหาร ส่วนรั่วหลานก็ปล่อยให้เขาช่วยจัดการ รอให้เมื่อเก็บหลักฐานของเฮ่อจางครบแล้ว เมื่อตอนจะแก้แค้น ค่อยให้นางออกมาเป็นพยาน แต่ตอนนี้เฮ่อจางตายแล้ว เก็บนางไว้ก็ไม่มีประโยชน์ จึงพูดขึ้นว่า “ท่านน้าให้เงินเดินทางนางสักเล็กน้อย ให้นางกลับไปอำเภอชิงเหออยู่กับพ่อแม่เถอะขอรับ ส่วนเฉียวหมิ่น ขอแค่ไม่ตาย จะทรมานอย่างไรก็ได้”
ฉู่เหวินเจี๋ยพยักหน้า
เมื่อพระชายาฉีได้ยินว่าฉู่เหวินเจี๋ยและเฝิงจิ้งซูมาแล้ว ก็ไปห้องเมิ่งเชี่ยนโยวเช่นกัน เมื่อเห็นท้องโตๆ ของเฝิงจิ้งซูก็ตกใจ แล้วจากนั้นก็พูดขึ้นอย่างดีใจว่า “โตไวจังเลย ครั้งที่แล้วที่ข้าเจอเจ้า ท้องยังไม่ใหญ่ขนาดนี้เลย”
เฝิงจิ้งซูยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านไม่เจอข้ามาหนึ่งเดือนกว่าแล้วนะเจ้าคะ ตอนนี้เด็กคนนี้โตเจ็ดเดือนกว่าแล้วเจ้าค่ะ”
ตั้งแต่ที่เมิ่งเชี่ยนโยวบาดเจ็บ พระชายาฉีก็ไม่ได้ไปหานางที่จวนแม่ทัพอีกเลย ได้ยินดังนั้นจึงพูดขึ้นว่า “ก็จริง” จากนั้นก็รีบกำชับนางว่า “เจ้าน่ะ ช่วงนี้ระวังหน่อยนะ อย่าขยับตัวไปมาเยอะ อย่าทำอะไรที่อันตราย เดี๋ยวจะสะเทือนไปถูกลูกในครรภ์เอา”
เฝิงจิ้งซูพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
พระชายาฉียังคงไม่วางใจ พูดอีกว่า “ต้องให้สาวใช้คอยอยู่ข้างๆ เจ้าทุกที่ทุกเวลาเลยนะ หากรู้สึกไม่สบาย ส่งคนมารายงานข้าทันที”
นี่คือสายเลือดแรกของตระกูลฉู่ พระชายาฉีจึงให้ความสำคัญมาก ไม่กี่เดือนก่อนได้ยินว่าตำแหน่งครรภ์ของเผิงจิ้งซูไม่ปกติ ก็ไปที่จวนแม่ทัพคอยปรนนิบัตินางทุกวัน หากไม่ใช่เพราะเมิ่งเชี่ยนโยวบาดเจ็บ คิดว่านางคงจะคอยอยู่รับใช้เฝิงจิ้งซูจนทำคลอดเสร็จ
เฝิงจิ้งซูพยักหน้า พระชายาฉีปลื้มใจ แม้น้องสะใภ้คนนี้อายุจะน้อยไปหน่อย แต่ก็รู้เรื่องและเชื่อฟัง มีแต่คนรักและเอ็นดู ถึงแม้บางครั้งจะร่าเริงไปหน่อย แต่ก็รู้ว่าอะไรควรมิควร นางพูดอย่างดีใจว่า “เจ้าคุยกับโยวเอ๋อร์ต่อเถอะ ข้าไปสั่งในครัวให้ทำอาหารให้พวกเจ้า”
“ขอบพระทัยพระชายาฉีเจ้าค่ะ” แม้จะแต่งงานมาแล้วครึ่งปีกว่า เฝิงจิ้งซูก็ยังแก้ชื่อเรียกเป็นพี่สาวไม่ได้ พระชายาฉีพูดแก้ให้หลายหนแต่ก็ไม่เป็นผล จึงปล่อยให้นางเรียกต่อไป
เมื่อพระชายาฉีออกไป เฝิงจิ้งซูก็รีบคว้ามือเมิ่งเชี่ยนโยวถามว่า “พี่บาดเจ็บตรงไหนหรือ ไม่เป็นอะไรมากใช่ไหมเจ้าคะ ตอนนี้ร่างกายเป็นอย่างไรบ้างแล้วเจ้าคะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยุงนางนั่งลงบนเก้าอี้ แล้วจึงหัวเราะพูดขึ้นว่า “บาดเจ็บตรงท้องน่ะ ไม่เป็นอะไรมาก หายดีแล้วล่ะ”
“แล้วพี่กับซื่อจื่อยังจะแต่งงานในเดือนสิบไหมเจ้าคะ” เฝิงจิ้งซูถามต่อ
เมิ่งเชี่ยนโยวชะงัก ตั้งแต่ที่บาดเจ็บ ก็ไม่มีใครพูดถึงเรื่องนี้อีกเลย นางเองก็ไม่รู้จริงๆ
เฝิงจิ้งซูเห็นนางชะงักไปก็รู้ว่ายังไม่ได้คุยกัน จึงเปลี่ยนเรื่องคุย ถามนางว่าต่อไปนางต้องคอยระวังเรื่องอะไร และยังแอบกระซิบนางว่าตอนนี้ทุกครั้งที่คิดถึงตอนที่คลอดลูกก็กลัว เพราะว่าเมื่อตอนที่พี่สะใภ้ของตนคลอดลูก ใช้เวลาถึงหนึ่งวันเต็มถึงคลอดออกมาได้ เสียงร้องที่เจ็บปวดนั้นยังคงวนเวียนอยู่ในหัวนาง
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วบอกนางว่า “เจ้าน่ะ ตั้งแต่ตอนนี้ไปต้องเดินออกกำลังกายอย่างพอเหมาะในจวนทุกวัน อย่ากินยาบำรุงเยอะเกินไป เวลาที่คลอดลูกก็จะไม่ทรมานขนาดนั้นแล้ว”
“ท่านแม่ทัพเข้มงวดกับข้ามากเลยเจ้าค่ะ อันนี้ก็ไม่ให้ทำ อันนั้นก็ไม่ให้แตะ ข้าเดินเร็วหน่อย เขาก็ตกใจจนหน้าซีดเผือก จะให้ข้าเดินเล่นได้อย่างไร” เสียงบ่นของเฝิงจิ้งซูปนไปด้วยความหวาน
“ตอนนั้นแม่ของท่านแม่ทัพฉู่ก็เป็นเพราะเดินไม่ระวังแล้วลื่นล้ม จึงทำให้คลอดพระชายาลำบาก ท่านแม่ทัพคงกลัวน่ะ หลังจากเจ้ากลับไปแล้ว ก็นำสิ่งที่ข้าพูดไปบอกเขา เขารู้ว่าต้องทำอย่างไร”
เฝิงจิ้งซูพยักหน้าจำคำพูดของเมิ่งเชี่ยนโยวไว้
สุดท้ายคนที่มาเยี่ยมคือเหวินซื่อและเฝิงจิ้งเหวิน
ตั้งแต่เมื่อนายท่านเหวินกระทำโหดเ**้ยมด้วยการฆ่าแม่เลี้ยงของเหวินซื่อไป คนในจวนเหวินต่างตกใจกลัว ตอนนี้ทุกคนต่างทำแต่เรื่องของตนอย่างเคร่งครัด ไม่มีใครกล้าพูดอะไรสักคำ เฝิงจิ้งเหวินจึงเพิ่งรู้จากปากเหวินซื่อว่าเมิ่งเชี่ยนโยวบาดเจ็บ จึงรีบรุดมาหาทันที
สภาพของเฝิงจิ้งเหวินและเฝิงจิ้งซูต่างกันสิ้นเชิง ตอนนั้นเมิ่งเชี่ยนโยวกำชับนางว่าให้นอนพักฟื้นบนเตียง สองสามเดือนมานี้ นางจึงแทบจะไม่ได้ลงจากเตียงเลย เมื่อเห็นนางตอนนี้จึงดูบวมกว่าเฝิงจิ้งซูเสียอีก นางจับมือเมิ่งเชี่ยนโยว มองรอบตัวนาง ไถ่ถามด้วยความกังวลและหลังจากยืนยันว่านางไม่เป็นอะไรแล้ว จึงถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งใจ พูดขึ้นว่า “ข้าเพิ่งได้ยิน ตกใจจนแขนขาอ่อนแรงไปหมดเลย อันตรายและโหดร้ายเหลือเกิน ตอนนั้นเจ้าจะเจ็บมากขนาดไหนกันนะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวกลับยิ้มตอบและพูดว่า “ตอนนั้นห่วงแต่สู้กับคน ไม่รู้สึกเจ็บหรอกเจ้าค่ะ”
นัยน์ตาเฝิงจิ้งเหวินแดงก่ำ “เจ้ายังมีอารมณ์หัวเราะอีก รอยแผลใหญ่ขนาดนี้ จะไม่รู้สึกเจ็บได้อย่างไร อย่าโกหกข้าเลย ข้าไม่ใช่ซูเอ๋อร์เด็กน้อยคนนั้นที่เชื่อทุกอย่างที่เจ้าพูดนะ แต่ตอนนี้ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วล่ะ” พูดจบ ก็กำชับอีกว่า “เจ้าน่ะ ดูแลร่างกายดีๆ เป็นแผลตรงท้องนี่เรื่องใหญ่นะ อย่าละเลยล่ะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มและพยักหน้าตกลง
หลังจากร่วมทานมื้อเย็นกับพวกเขาสองคนแล้ว พระชายาฉีมองเหวินซื่อที่คอยพยุงเฝิงจิ้งเหวินที่ท้องโตอย่างระมัดระวัง ก็รู้สึกอิจฉาขึ้นมา พูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “รอเวลานี้ของปีหน้า ไม่แน่โยวเอ๋อร์ก็จะเป็นแบบพวกเขาแล้วล่ะ”
หวงฝู่อี้เซวียนชะงัก แล้วกลับมาเป็นปกติ หัวเราะและพูดว่า “เสด็จแม่ ท่านคิดเร็วไปหน่อยนะขอรับ ข้ากับโยวเอ๋อร์ยังไม่แต่งงานกันเลย”
พระชายาฉีกลับรู้สึกประหนึ่งเห็นภาพท้องโตของเมิ่งเชี่ยนโยว ยิ่งคิดยิ่งดีใจ หัวเราะและพูดว่า “เรื่องนี้ไม่เห็นจะยาก อาการของโยวเอ๋อร์ไม่เป็นอะไรมากแล้ว สองสามวันนี้ข้ากับเสด็จพ่อของเจ้าจะไปให้เขาหาฤกษ์ดี กำหนดวันแต่งงานของพวกเจ้าเสีย พ่อแม่โยวเอ๋อร์ก็อยู่ที่นี่พอดี เราจะได้ไม่ต้องเอิกเกริกไปสู่ขอถึงบ้านนอก”
พูดจบก็เดินไปหาอ๋องฉีอย่างมีความสุขโดยไม่รอให้ทั้งสองพูดอะไร
หวงฝู่อี้เซวียนกำลังจะเอ่ยปากห้ามท่านไว้ แต่เห็นท่าทางมีความสุขของท่าน ก็กลืนคำพูดทั้งหมดกลับไป
เมิ่งเชี่ยนโยวมองดูทุกอย่างโดยไม่พูดอะไรสักคำ ยิ่งมั่นใจกับการคาดเดาที่เก็บไว้ในใจของตน
หวงฝู่อี้เซวียนหันหลังไปพยุงนางเดินกลับไป
จริงๆ ก็ผ่านมานานแล้ว ร่างกายเมิ่งเชี่ยนโยวดีขึ้นเยอะมากแล้ว การเดินก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคแล้ว แต่เขาก็ยังไม่วางใจ คอยอยู่เคียงข้างนางตลอดเวลา เมิ่งซื่อและคนอื่นๆ ก็เห็นจนชินไปแล้ว
“อี้เซวียน อาการของข้าดีขึ้นมากแล้ว ข้าอยากย้ายกลับไปอยู่ที่บ้าน ท่านแม่กับพี่สะใภ้จะได้ไม่ต้องไปกลับอย่างนี้ทุกวัน” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด
หวงฝู่อี้เซวียนที่คอยประคองนางอยู่ก็ชะงัก ไม่ได้พูดอะไร แต่สีหน้ากลับแสดงให้เห็นว่าไม่พอใจ หากนางอยู่จวนอ๋อง กลางคืนเขายังสามารถอยู่เป็นเพื่อนนาง แต่ถ้านางกลับบ้าน ก็คงไม่สะดวกหากตนอยากอยู่กับนาง
เหมือนว่าเมิ่งเชี่ยนโยวรู้ว่าเขาคิดอะไร พูดว่า “ท่านพ่อท่านแม่มาเมืองหลวงนานขนาดนี้แล้ว ข้าไม่มีเวลาอยู่กับพวกเขาเลย หลังจากเราแต่งงานกันก็ยิ่งไม่มีเวลาให้ ข้าอยากใช้เวลาช่วงนี้อยู่กับพวกท่านมากๆ น่ะ”
เมิ่งซื่อและพี่สะใภ้มาจวนอ๋องทุกวันก็จริง แต่เมิ่งเอ้ออิ๋น เมิ่งเสียน และเมิ่งฉีทั้งสามคนกลับไม่ค่อยมา หนึ่งคือหากมาแล้วก็คงช่วยอะไรไม่ได้ สองคือทั้งสามต่างรู้สึกเกรงกลัวท่านอ๋องไม่กล้ามาบ่อยๆ
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ค่อยได้เจอพวกเขา ที่พูดเช่นนี้ก็สมเหตุสมผลดี หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้คิดเยอะ พยักหน้า “ก็ดี คืนนี้ข้าจะบอกเสด็จพ่อเสด็จแม่ให้”
“แล้วก็ ชิงหลวน จูหลี และกัวเฟยกับเหวินเปียวก็กลับไปด้วยกันเถอะ หากข้าไปแล้ว พวกเขาก็คงอยู่อย่างไม่สบายใจ คนที่บ้านก็มีไม่น้อย ช่วยดูแลพวกเขาได้” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดขึ้นอีก
พวกเขาก็ฟื้นตัวดีขึ้นเยอะแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนจึงไม่ได้คัดค้าน
เมื่อพระชายาฉีได้ยินดังนั้น แม้จะรู้สึกอาลัย แต่เมื่อคิดว่าอีกแค่สองเดือนทั้งสองก็จะแต่งงานกันแล้ว งานการในจวนอ๋องก็ต้องตระเตรียมบ้างแล้ว จึงไม่ได้ห้ามอะไร
วันต่อมาก็ส่งเมิ่งเชี่ยนโยวและคนอื่นๆ ด้วยความอาลัยอาวรณ์
เมื่อครั้นเมิ่งเชี่ยนโยวอยู่ เมิ่งซื่อพาสะใภ้ทั้งสองมาที่นี่ทุกวัน และมาคุยเล่นกับพระชายาฉีเป็นครั้งคราว อีกทั้งยังมีเด็กๆ อย่างเส้าเอ๋อร์ มั่วเอ๋อร์ และเซิ่งเอ๋อร์ พระชายาฉีรู้สึกในจวนครึกครื้นมาก แต่ตอนนี้เมื่อทุกคนจากไป จวนอ๋องก็เงียบเหงาขึ้นมาทันที ไร้ซึ่งชีวิตชีวา พระชายาฉีผู้ซึ่งคุ้นชินกับบรรยากาศครึกครื้นแล้วนั้นก็ไม่ชินกับบรรยากาศตอนนี้เลย พูดกับอ๋องฉีว่า “ดีที่เซวียนเอ๋อร์กับโยวเอ๋อร์กำลังจะแต่งงานแล้ว ไม่เช่นนั้นข้าคงต้องตามพวกเขากลับไปด้วยแน่ๆ ตอนนี้ในจวนเงียบเหงาเหลือเกิน”
อ๋องฉีเหลือบมองนาง ไม่ได้พูดอะไร กลับไปห้องหนังสือเงียบๆ
พระชายาฉีรู้สึกแปลก แต่เดี๋ยวนี้นางก็ชินแล้ว อะไรที่อ๋องฉีไม่ได้พูดเยอะ นางก็ไม่จี้ถาม แล้วนางก็หันหลังเดินกลับเรือนของตนเอง
หวงฝู่อี้เซวียนตามรถม้าของเมิ่งเชี่ยนโยวไปจนถึงบ้านของนาง เมื่อส่งนางถึงในห้องก็ไม่ได้กลับเลยทันที แต่กลับนั่งลงและอยู่คุยเป็นเพื่อนนาง
เมิ่งซื่อและคนอื่นๆ วุ่นกับการดูแลชิงหลวนและคนอื่นๆ รู้ว่าพวกเขาบาดเจ็บเพราะปกป้องเมิ่งเชี่ยนโยว ก็รู้สึกขอบคุณพวกเขามาก จึงปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างดี
เหวินหู่ถูกสั่งให้เฝ้าบ้าน เมื่อรู้ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวและองครักษ์บาดเจ็บ ก็กังวลมาก แต่ไม่มีสิทธิ์ไปเยี่ยมเยียน ได้ข่าวคราวอาการของเหวินเปียวจากปากของเมิ่งเอ้ออิ๋นและคนอื่นๆ อยู่บ้าง แม้จะเตรียมใจไว้นานแล้ว แต่เมื่อเห็นสภาพขาด้วนของเหวินเปียว ก็อดน้ำตาคลอเบ้าไม่ได้
เหวินเปียวทำใจยอมรับเรื่องที่ตนพิการแล้ว ตบบ่าเขา “เหลือเพียงชีวิตให้ข้าอยู่ต่อ ให้ข้ายังได้พบกับพี่น้องข้า ก็ขอบคุณฟ้ามากแล้วล่ะ ไม่มีอะไรน่าเสียใจหรอก”
เหวินหู่พยักหน้า
เหวินเป้าก็น้ำตาคลอ พี่ใหญ่ของเขาคนนี้ ถูกฟูมฟักให้เป็นผู้สืบทอดในสำนักคุ้มภัย ไม่เพียงแต่ลำบากกว่าพวกเขา แต่ยังต้องคอยแบกรับหน้าที่อันหนักอึ้งของสำนักคุ้มภัยตั้งแต่เล็ก หากไม่ใช่เพราะสำนักคุ้มภัยถูกคนใส่ร้าย ตอนนี้เขาคงเป็นหัวหน้าสำนักคุ้มภัยที่มีชื่อเสียงไปนานแล้ว แต่ตอนนี้…
เหวินเปียวก็ตบบ่าเขา พูดว่า “หากไม่ใช่เพราะนายหญิง เราทุกคนคงเหลือแต่กระดูกแล้ว ตอนนี้มีโอกาสคุ้มกันภัยให้นายหญิง ช่วยให้ท่านมีชีวิตรอด ข้าก็ดีใจมากแล้ว นายหญิงบอกแล้วว่าจะไม่ทิ้งพวกเราไป และยังให้พวกเราคอยคุ้มกันท่านต่อด้วย”
เหวินหู่และเหวินเป้าไม่ได้พูดอะไร แค่พยักหน้า
หวงฝู่อี้เซวี้ยนอยู่จนเมิ่งเอ้ออิ๋น เมิ่งเสียน และเมิ่งฉีกลับมาแล้ว ร่วมทานอาหารและคุยกับพวกเขาครู่หนึ่ง จึงจากไป
เมิ่งเอ้ออิ๋นและคนอื่นเห็นว่าเมิ่งเชี่ยนโยวเริ่มกลับมาเป็นปกติแล้ว ก็ดีใจมาก พูดว่า “พวกเราออกมาเดือนกว่าแล้ว ที่ดินและโรงงานของที่บ้านมีน้าและพี่ของเจ้าช่วยดูแลอยู่ เราอยู่อีกไม่กี่วัน ก็ควรกลับไปแล้วล่ะ”
เมิ่งซื่อก็เริ่มคิดถึงบ้านแล้ว จึงพยักหน้าเห็นด้วย
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ค่อยพอใจ เกาะแขนเมิ่งซื่อพูดอ้อนว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ อยู่ต่ออีกนานหน่อยเถอะเจ้าค่ะ ไม่ได้อยู่ด้วยแบบพร้อมหน้าพร้อมตากันนานมากแล้วนะเจ้าคะ”
เมิ่งซื่อตีมือนางเบาๆ “ครั้งนี้เรารีบมากัน การงานที่บ้านไม่ได้จัดแจงไว้ให้ดีเลย กลับไปครั้งนี้ ต้องย้ายของที่เจ้าต้องใช้แต่งงานมาเมืองหลวงก่อนล่วงหน้า ยังต้องไปรับท่านปู่และท่านย่ามานี่ด้วย รอพวกเจ้าแต่งงานแล้ว เราก็ไม่ยุ่งขนาดนี้แล้วล่ะ”
“เรื่องพวกนี้ให้พี่ใหญ่ พี่รองไปทำเถอะ ท่านพ่อท่านแม่อยู่ต่อเถอะนะเจ้าคะ” เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ยอม ยังคงอ้อนขอร้อง
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่เคยงอแงกับใคร แต่ครั้งนี้กลับขอร้องให้ตนกับเมิ่งเอ้ออิ๋นอยู่ต่อ เมิ่งซื่อคิดว่าคงเป็นเพราะการบาดเจ็บครั้งนี้ทำให้นางเป็นเช่นนี้ จึงหัวเราะและพูดปลอบว่า “เราก็แค่บอกเจ้าไว้ก่อน อย่างไรเสียก็ต้องรอให้แผลเจ้าหายดีก่อนแล้วค่อยกลับไป”