เมิ่งเชี่ยนโยวกลอกตา รีบแสร้งโค้งตัวลงแกล้งทำเป็นปวด “โอ้ย ข้าเจ็บแผลอีกแล้ว ท่าจะยังไม่หายดีแน่ๆ ข้าคงต้องนอนบนเตียงอีกสองเดือน”
ท่าทางนางปลอมเกินไป ทุกคนดูออก เมิ่งซื่อหัวเราะแล้วใช้มือตบหลังนางเบาๆ “เจ้าเด็กนี่ โตขนาดนี้แล้วยังทำตัวเป็นเด็กอีก”
“ไม่ว่าจะโตแค่ไหน อยู่ต่อหน้าท่านพ่อท่านแม่ข้าก็ยังเป็นเด็กอยู่ดี” เมื่อถูกทุกคนจับได้ว่าโกหก เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ได้เขินอาย แต่กลับโต้กลับอย่างตรงไปตรงมา
มีเพียงเส้าเอ๋อร์เชื่ออยู่คนเดียว เขารีบเดินไปหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว เงยหน้าน้อยๆ ของตนขึ้น พูดด้วยเสียงอย่างอ่อนโยนกับเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “ท่านอา เจ็บตรงไหนหรือขอรับ เส้าเอ๋อร์ช่วยเป่าให้ ท่านอาจะได้หายเจ็บนะขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวขบขันกับท่าทีของเขา ก้มหน้าลงไปหอมแก้มเขาทีหนึ่ง “มีแต่เส้าเอ่อร์นี่แหละที่ดีกับอา อาชอบเส้าเอ๋อร์ที่สุดเลย”
เส้าเอ๋อร์ทำหน้าจริงจัง พูดอย่างขึงขังว่า “เส้าเอ๋อร์ก็ชอบท่านอาที่สุดเหมือนกันขอรับ เมื่อข้าโตก็จะปกป้องท่านอาได้แล้วนะขอรับ ใครกล้ามารังแกท่านอาอีก ข้าจะต่อยเขาจนฟันร่วงหมดปากเลย”
ทุกคนต่างขบขันกับท่าทางของเขา
เมิ่งซื่อยิ้มพลางส่ายหน้า “เส้าเอ๋อร์คงได้นิสัยมาจากโยวเอ๋อร์ ก็ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องดีหรือร้ายนะ”
ทั้งบ้านคุยเล่นสนุกสนานกันพักหนึ่ง แล้วจึงแยกย้ายกลับห้องตนไปพักผ่อน
วันที่สอง ฟ้าเพิ่งสว่าง หวงฝู่อี้เซวียนก็มาถึงแล้ว เขาร่วมทานอาหารเช้ากับทั้งบ้าน แล้วออกไปเดินเล่นในเรือนกับเมิ่งเชี่ยนโยว
รถม้าสองคันหยุดอยู่หน้าประตู จูหลานเปิดม่านเดินลงจากรถ นายประตูจำเขาได้ รีบเดินขึ้นไปพูดว่า “คุณชายจู ท่านมาแล้วหรือขอรับ”
“นายหญิงพวกเจ้าอยู่ไหม” จูหลานถาม
นายประตูพยักหน้า “อยู่ขอรับ ก่อนหน้านี้นายหญิงพักฟื้นอยู่ที่จวนอ๋องเพิ่งกลับมาเมื่อวานขอรับ”
“เจ้าไปรายงานหน่อยว่าเราทั้งบ้านมาเยี่ยมนางแล้ว”
นายประตูขานรับ รีบเดินเข้าไป
จูหลานหันไป โค้งตัวลงไป พยุงจางลี่ที่เคลื่อนไหวตัวค่อนข้างลำบากลงมาจากรถม้า พูดอย่างอ่อนโยนว่า “ไม่รีบ ช้าๆ หน่อย”
ม่านรถม้าคันหลังก็ถูกเปิดออก นายท่านจูและฮูหยินจูก็ลงมาจากรถม้า
เมิ่งเชี่ยนโยวได้ยินนายประตูรายงาน ก็ดีใจรีบเดินออกไปต้อนรับ ยังไม่ทันถึงประตูก็เห็นท้องโตๆ ของจางลี่มาแต่ไกล รีบพูดขึ้นว่า “ไกลขนาดนี้ เจ้าตามมาทำไม”
จางลี่ไม่ได้สนใจว่าตนมีครรภ์อยู่ สาวเท้ายาวไปหาเมิ่งเชี่ยนโยว จูหลานรีบเดินตามข้างๆ นาง
เมิ่งเชี่ยนโยวก็เร่งฝีเท้าขึ้นไปต้อนรับ
จางลี่คว้ามือนางขึ้นมา พูดอย่างกังวลว่า “หลังจากที่พวกเราได้ยินแล้ว ก็จะมาเลยทันที แต่ร่างกายข้าไม่ค่อยเอื้ออำนวย หมอบอกว่าไม่ควรเดินทางไกล ก็เลยรอจนถึงตอนนี้ ข้านี่เป็นห่วงจะแย่แล้ว ตอนนี้เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
นายท่านและฮูหยินจูก็พาจูเสี่ยวมาถึงหน้านาง มองนางอย่างห่วงใย
“ท่านลุง ท่านป้า” เมิ่งเชี่ยนโยวทักทายอย่างมีมารยาท
ทั้งสองขานรับ
“ลำบากพวกท่านทั้งสองมาถึงที่นี่ เชี่ยนโยวไม่รู้จะพูดอย่างไรเจ้าค่ะ” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดต่อ
“เจ้าพูดอะไรของเจ้า พวกเราควรมาตั้งแต่แรกแล้ว” ฮูหยินจูพูด
พูดจบก็กวาดตามองนางอย่างละเอียด เมื่อเห็นสีหน้านางแดงระเรื่อ ร่างกายก็เหมือนปกติ ดูดีกว่าที่ตนคิดไว้เยอะเลย จึงถอนหายใจอย่างโล่งอก “พวกเราได้ยินแล้วเป็นห่วงกันแทบแย่”
“ครั้งนี้รุนแรงและอันตรายมากจริงๆ เจ้าค่ะ แต่ตอนนี้ไม่เป็นอะไรมากแล้ว ท่านทั้งสองไม่ต้องกังวลแล้วนะเจ้าคะ”
เมิ่งเอ้ออิ๋น เมิ่งเสียน และเมิ่งฉีไปเป่ยเฉิงไม่อยู่บ้าน เมิ่งซื่อได้ยินคนรับใช้รายงาน รีบพาซุนเชี่ยนออกไปต้อนรับ นางรู้จักสองสามีภรรยาจูหลาน แต่นางเพิ่งเคยเจอพ่อแม่ของจูหลานครั้งแรก ยิ้มแล้วกล่าวทักทายว่า “อย่ามัวยืนอยู่หน้าประตูสิ เข้าไปคุยกันในบ้านเถอะ”
หลังจากพาทั้งครอบครัวไปถึงห้องรับแขก ก็สั่งคนยกชาเข้ามา เมิ่งซื่อพูดว่า “ลำบากท่านทั้งสองมาเยี่ยมโยวเอ๋อร์ ข้าขอขอบคุณเป็นอย่างสูง”
ฮูหยินจูโบกมือ “ท่านเกรงใจเกินไปแล้วล่ะ แม่นางโยวเอ๋อร์เคยช่วยชีวิตเราทั้งบ้านไว้ หากไม่ใช่เพราะนาง เราคงไม่ได้อยู่ด้วยกันไปนานแล้ว อย่าว่าแต่เมืองหลวงเลย จะอยู่ไกลกว่านี้เราก็ควรมาเยี่ยม”
เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตรุษจีนที่ผ่านมา เมิ่งซื่อไม่ได้รู้เรื่องทั้งหมด คิดว่าฮูหยินจูหมายถึงเรื่องที่เมิ่งเชี่ยนโยวช่วยแม่ลูกจางลี่และจูเสี่ยวไว้ ยิ้มแล้วพูดว่า “เราและคุณชายจูรู้จักกันมานาน หากไม่ใช่เพราะเขา การค้าบ้านเราก็คงไม่ใหญ่โตขนาดนี้ สิ่งเหล่านี้ที่โยวเอ๋อร์ทำไปเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย ท่านทั้งสองมิต้องเกรงใจหรอก”
เมื่อฟังทั้งสองเกรงใจกันไปเกรงใจกันมา เมิ่งเชี่ยนโยวก็หัวเราะ พูดว่า “ท่านแม่ ท่านป้าจู พวกเราไม่ใช่คนนอก ไม่ต้องเกรงใจเช่นนี้กันหรอกเจ้าค่ะ พวกท่านมาพอดีเลย เมื่อวานนี้พ่อแม่ข้าเพิ่งบอกว่าจะกลับบ้าน พวกท่านมาแล้ว พวกเขาก็จะได้อยู่ต่ออีกหลายวันหน่อย”
ฮูหยินจูก็ไม่ได้เกรงใจ พยักหน้าแล้วตอบว่า “การงานที่บ้านจัดแจงไว้เรียบร้อยแล้ว เราไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง อยู่ได้หลายวัน เพียงแต่จะรบกวนมากเกินไปหรือไม่”
“ไม่รบกวนเลยเจ้าค่ะ ข้าชอบคนเยอะ ครื้นเครงดี อาการบาดเจ็บของข้าจะได้หายเร็วขึ้นด้วย” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด
จางลี่นั่งบนเก้าอี้ถอนหายใจเฮือกใหญ่ จูหลานรีบถามว่า “ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า”
จางลี่ส่ายหน้า พูดตามความจริงว่า “ข้าเหนื่อยน่ะ”
ฮูหยินจูรู้สึกว่านางพูดเสียมารยาท จึงรีบอธิบายว่า “ตอนที่เรามา กลัวว่าครรภ์ของลี่เอ๋อร์จะได้รับการสะเทือน ใช้เวลาถึงห้าวันถึงมาถึงที่นี่ ลี่เอ๋อร์เหนื่อยเพราะนั่งรถม้าน่ะ”
ปกติแล้วใช้เวลาเพียงสองถึงสามวัน แต่พวกเขากลับใช้เวลาไปห้าวัน คงจะเหนื่อยแย่ เมิ่งซื่อรีบพูดว่า “ข้าไปเก็บกวาดห้องให้ลี่เอ๋อร์พักผ่อนนะ เดี๋ยวสั่งให้คนรับใช้ทำความสะอาดเรือนแยกต่างหากอีกเรือนให้พวกเจ้า”
จางลี่ขอบคุณ ลุกขึ้นยืน พูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “พี่โยวเอ๋อร์ ไม่ได้เจอตั้งนาน ข้าคิดถึงพี่มากเลย พี่อยู่เป็นเพื่อนข้าหน่อยได้ไหมเจ้าคะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วลุกขึ้น เดินออกจากห้องรับแขกพร้อมนางและเมิ่งซื่อ ฮูหยินจูเห็นดังนั้นก็เดินตามออกมา
หวงฝู่อี้เซวียน นายท่านจู และจูหลานยังคงอยู่ในห้อง
จูหลานเอ่ยปากถามทันทีว่า “เพราะว่าเรื่องของเราทำให้เฮ่อจางมาแก้แค้นหรือเปล่า”
ตอนนี้เฮ่อจางถูกกำจัดไปแล้ว ก็ไม่มีอะไรต้องปิดบังอีก หวงฝู่อี้เซวียนส่ายหน้า เล่าเรื่องทั้งหมดให้เขาฟัง
หลังจากที่ผ่านเรื่องราวครั้งที่แล้วมา จูหลานสุขุมมากขึ้น เมื่อได้ยินดังนั้นก็ไม่ได้ตกใจอะไร เพียงขมวดคิ้ว พูดว่า “ถ้าอย่างนั้น คนที่มีภัยคุกคามต่อพวกเจ้าถูกกำจัดไปแล้ว ต่อไปก็ไม่ต้องกังวลว่าจะมีคนลอบทำร้ายแล้วใช่ไหมขอรับ”
หวงฝู่อี้เซวียนตอบ “อืม” เบาๆ
จูหลานพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ดี หวังว่าต่อไปนางจะไม่บาดเจ็บอีก”
หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้พูดอะไร
เรือนในจวนถูกทำความสะอาดทุกวัน ที่บอกว่าเก็บกวาด จริงๆ แล้วก็แค่นำผ้าห่มผืนใหม่มา เมิ่งซื่อและฮูหยินจูจัดการให้จางลี่เรียบร้อยด้วยความรวดเร็ว เพื่อให้นางได้นอนพักผ่อนก่อน จากนั้นทั้งสองก็พาสาวใช้ไปอีกเรือนหนึ่งเพื่อเก็บกวาด
หลังจากที่ทั้งสองจากไป จางลี่ไม่ได้นอน แต่กลับกุมมือเมิ่งเชี่ยนโยวไว้ กวาดตามองนางอย่างละเอียด ถามเสียงเบาว่า “คนเขาว่ากันว่าพี่บาดเจ็บหนักมาก จนเกือบจะไม่มีชีวิตรอด พี่บาดเจ็บตรงไหนหรือเจ้าคะ”
“บาดเจ็บตรงท้องน่ะ ไม่ได้รุนแรงอย่างที่เขาว่ากันหรอก ฟื้นตัวได้ตั้งนานแล้ว เจ้าดูสิ ตอนนี้ข้าก็ไม่เป็นอะไรแล้วไม่ใช่หรือ” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพลางปลอบนาง
จางลี่ไม่เชื่อคำพูดของนาง “ข้าไม่ใช่เด็กน้อย พี่อย่ามาโกหกข้าเลย สีหน้าของพี่ดูแย่กว่าปกติเล็กน้อย ตอนนั้นคงบาดเจ็บหนักเลย หากไม่ใช่เพราะร่างกายที่ไม่เอาไหนของข้า ข้าคงมาหาพี่แต่แรกแล้วล่ะ”
เมื่อสังเกตเห็นว่าสีหน้านางไม่ค่อยสู้ดีนัก เมิ่งเชี่ยนโยวรีบจูงมือนางนั่งลงบนเก้าอี้ ยิ้มและพูดว่า “ตอนนี้เจ้ากำลังตั้งครรภ์ อย่าคิดมากเลย อีกอย่างนะ ตอนนี้ข้าก็ยังดีอยู่ไม่ใช่หรือ” พูดจบ ก็ยื่นมือไปแตะชีพจรของนาง
จางลี่ก็ไม่ได้ขัดขืนอะไร ปล่อยให้นางตรวจชีพจรไป
“ไม่ได้เป็นอะไรมาก พักผ่อนให้มากก็พอ” ตรวจชีพจรเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวพูดขึ้น
จางลี่พยักหน้า “หมอก็พูดเช่นนี้ ท่านพี่เอาแต่ให้นอนบนเตียง ไม่กล้าขยับตัวเลย”
“ก็ไม่แปลก เสี่ยวเอ๋อร์สี่ขวบแล้ว กว่าลูกคนนี้ที่พวกเขาตั้งตารอมาถึง จะไม่คอยดูแลเจ้าอย่างระมัดระวังได้อย่างไร”
จางลี่ยื่นมือไปวางบนท้อง ลูบไปมา หน้าตาก็เผยแววความสุข “ตอนแรกที่แพ้ท้อง ข้าคิดว่าข้าคิดไปเองเสียอีก ไม่กล้าบอกคนในบ้าน กลัวว่าพวกเขาจะดีใจเก้อ ไม่คิดว่าจะมีจริงๆ ไม่ว่าจะชายหรือหญิง ขอแค่ให้เสี่ยวเอ๋อร์มีเพื่อนก็พอ อย่าเป็นเหมือนท่านพี่ อยู่ตัวคนเดียว เป็นอะไรขึ้นมาก็ไม่มีคนช่วย ครั้งที่แล้วหากไม่ใช่เพราะพี่โยวเอ๋อร์ เราคง…”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดขัดนางว่า “เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็อย่าไปพูดถึงอีกเลย สิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้คือเจ้าต้องดูแลร่างกายตัวเองให้ดี”
จางลี่พยักหน้า เหมือนจะพูดอะไรอีก กำลังจะเอ่ยปาก แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
เมิ่งเชี่ยนโยวสังเกตเห็นท่าทางของนาง พูดขึ้นว่า “มีอะไรก็พูดตรงๆ มัวอ้ำๆ อึ้งๆ อยู่ทำไม”
จางลี่มองไปข้างนอก พูดเสียงต่ำว่า “ข้าแค่อยากถามว่า เรื่องครั้งที่แล้ว พวกพี่ปิดบังอะไรข้าหรือเปล่า”
เมิ่งเชี่ยนโยวชะงัก แต่สีหน้ายังคงปกติ “เรื่องราวทั้งหมดก็เล่าให้เจ้าฟังแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดเจ้าถึงถามอย่างนี้ล่ะ”
จางลี่ขมวดคิ้ว “ข้ามักคิดว่าพวกพี่มีเรื่องที่ยังไม่ได้บอกข้า ตลอดครึ่งปีที่ผ่านมานี้ท่านพี่เปลี่ยนไปเยอะเลย ไม่ใช่แค่เรื่องอารมณ์ แต่พูดน้อยลงด้วย”
จูหลานเจ้าคนโง่ เมิ่งเชี่ยนโยวด่าในใจ ใบหน้ากลับเผยรอยยิ้มชวนสงสัย เข้าใกล้นาง กวาดไปที่ท้องของนาง ถามแหย่ว่า “เปลี่ยนไปในทางที่ดีหรือไม่ดีล่ะ”
จางลี่หน้าแดงขึ้นมาทันที
เมิ่งเชี่ยนโยวทำสีหน้ากลับมาปกติ พูดว่า “ผ่านเรื่องร้ายแรงขนาดนี้มา ถ้าท่านพี่ของเจ้ายังไร้หัวจิตหัวใจเหมือนเมื่อก่อน ก็คงกู่ไม่กลับแล้วล่ะ นี่เป็นเรื่องดีนะ เจ้าไม่ต้องกังวลหรอก”
จางลี่แสดงสีหน้าสงสัย ถามทีเชื่อทีสงสัยว่า “เป็นเช่นนี้หรือ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าอย่างจริงจัง “แน่นอนสิ พี่โยวเอ่อร์เคยโกหกเจ้าตั้งแต่เมื่อไรกัน”
จางลี่ไม่ได้เชื่อทั้งหมด ส่ายหน้า “แต่ข้าก็ยังรู้สึกแปลกๆ เขาไม่ได้ดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น แต่…” คิดอยู่นาน แล้วพูดต่อว่า “พูดอย่างไรดีล่ะ ก็เหมือนกับว่าทำอะไรผิดกับข้ามาน่ะ มักใช้สายตาอย่างคนสำนึกผิดมองข้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวด่าจูหลานในใจอีกครั้ง กวักมือเรียกจางลี่ให้นางยื่นหูมาใกล้ๆ
จางลี่ทำตาม
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มหวานพูดเสียงเบาว่า “เรื่องนี้ง่ายจะตาย พี่โยวเอ๋อร์ช่วยหาวิธีให้นะ รอคืนนี้เจ้า…”
ไม่ทันที่นางจะพูดจบ ไม่เพียงหน้าจางลี่เท่านั้นที่แดง แต่คอก็แดงด้วย พูดอย่างขวยเขินว่า “พี่โยวเอ๋อร์ นี่พี่…”
สีหน้าเมิ่งเชี่ยนโยวไม่เปลี่ยนพูดขึ้นว่า “ข้าทำไมรึ เจ้าบอกเองไม่ใช่หรือว่าเขาเหมือนทำอะไรผิดมา ลองถามเขาช่วงจังหวะสำคัญก็จบแล้วไม่ใช่หรือ จะได้ไม่ต้องมานั่งเดาไปเองคนเดียว เหนื่อยใจเสียเปล่า”
“แต่ว่า แต่ว่า…”
ยังไม่ทันฟังจางลี่พูดจบ เมิ่งเชี่ยนโยวก็พูดขัดขึ้น “แต่ว่าอะไร นี่เป็นความรื่นรมย์ของสามีภรรยา ไม่มีอะไรต้องหลีกเลี่ยงหรอก”
จางลี่อ้าปากน้อยๆ ของนาง มองนางอย่างไม่น่าเชื่อ ผ่านไปพักใหญ่เหมือนคิดอะไรได้ ถามขึ้นทันทีว่า “พี่โยวเอ๋อร์ อย่าบอกนะว่าพี่ถูกเนื้อต้องตัวกับซื่อจื่อแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้พูดอะไร
จางลี่พูดต่อว่า “อย่างนั้นพี่ต้องระวังหน่อยนะ อย่าให้ตั้งครรภ์ ไม่เช่นนั้นคนอื่นจะมองไม่ดีเอา”
เมิ่งเชี่ยนโยวชะงัก เขกหัวนางไปทีหนึ่ง “คิดอะไรของเจ้า พี่โยวเอ๋อร์ดูเป็นคนทำอะไรอย่างนั้นหรือ”
จางลี่กลับพยักหน้าอย่างจริงใจ ตอบกลับว่า “ใช่เจ้าค่ะ!”
เมิ่งเชี่ยนโยวกลืนน้ำลายอึกหนึ่ง พลางยกมือขึ้นจะตีนาง จางลี่หัวเราะแล้วหลบตัว ใบหน้าเผยรอยยิ้มที่มาจากใจจริงๆ
เมิ่งเชี่ยนโยวถอนหายใจเบาๆ ตั้งใจว่าอีกสักพักเมื่อมีเวลาจะคุยกับจูหลาน
น่าเสียดายที่นางไม่มีโอกาสนี้เลย เพราะหวงฝู่อี้เซวียนไม่ยอม
นางรู้ว่าเป็นเพราะเรื่องที่นางเห็นร่างเปลือยของจูหลานจึงพะวงตลอดเวลา เมิ่งเชี่ยนโยวไม่กล้าไปหาจูหลานลับหลังเขา เพียงแค่เล่าเรื่องความรู้สึกของจางลี่และเรื่องที่ตนอยากพูดไกล่เกลี่ยกับจูหลานให้เขาฟัง แต่หวงฝู่อี้เซวียนก็ยังคงไม่ยอมให้นางเจอจูหลานเพียงลำพัง
เมิ่งเชี่ยนโยวทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ขอร้องเขา “อย่างนั้นเจ้าไปพูดโน้มน้าวเขาแล้วกัน อย่าทำให้พวกเขาสองสามีภรรยาแตกหักกันเพราะเรื่องนี้เชียวล่ะ”