ไม่รู้ว่าหวงฝู่อี้เซวียนคุยกับจูหลานอย่างไร แต่หลังจากนั้นไม่กี่วัน รอยยิ้มบนใบหน้าจางลี่ก็ปรากฎมากขึ้น

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวใช้โอกาสตอนที่อยู่ลำพังเพียงสองคน เขย่งปลายเท้ายื่นหน้าไปจูบริมฝีปากเขาดั่งแมลงปอเกาะบนผิวน้ำเพื่อให้รางวัลเขา ใครจะไปรู้ว่ากลับทำให้อารมณ์ที่เขาเก็บซ่อนมาตลอดช่วงนี้พลันลุกโชน เขากอดนางแน่น ประทับริมฝีปากของตนลงไปอย่างแนบแน่น

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวปล่อยอารมณ์ไปตามเขา จนตัวเองเริ่มหายใจไม่ออก จึงตบหลังเขาเบาๆ

 

 

เขาผละออกจากนาง จ้องมองปากแดงระเรื่อของนาง หวงฝู่อี้เซวียนห้ามใจไม่ไหว ริมฝีปากประทับลงไปอีกครั้ง เมิ่งเชี่ยนโยวยกมือขึ้นห้าม “ท่านแม่ พี่สะใภ้ใหญ่ พี่สะใภ้รองอยู่นี่กันหมด หากพวกท่านเห็นเข้า ต่อไปเจ้าจะเข้ามาได้อีกหรอก”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนหยุดลง กอดนางไว้แน่น เกยคางของตนบนไหล่ของนาง พูดกัดฟันว่า “อีกแค่สองเดือน ข้าจะทน ถึงตอนนั้นพวกเราแต่งงานแล้ว ข้าจะดูว่าใครจะกล้าเข้ามาห้าม”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดหัวเราะ

 

 

อีกคนหนึ่งที่ร้อนใจไม่แพ้กันคือพระชายาฉี เมื่อเมิ่งเชี่ยนโยวย้ายออก คนตระกูลเมิ่งก็ออกกันไปหมด เด็กน้อยที่มาจวนอ๋องบ่อยๆ ก็ตามไปด้วย ปกติจวนอ๋องที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะครึกครื้นตอนนี้กลับเงียบเหงา โดยเฉพาะหวงฝู่อี้เซวียนที่กลับมานอนเฉพาะตอนกลางคืน เวลาอื่นไม่เจอแม้แต่เงาเลย ส่วนอ๋องฉีเอง ก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจึงทำหน้าเคร่งขรึมทุกวัน และถอนหายใจเป็นครั้งคราว เมื่อถามว่าเป็นอะไร เขาก็ไม่บอก

 

 

พระชายาฉียิ่งทนบรรยากาศเช่นนี้ไม่ไหว วันที่ห้าหลังจากที่เมิ่งเชี่ยนโยวไป ท้ายสุดนางก็ทนไม่ไหว เดินไปหาอ๋องฉีที่ห้องหนังสือ พูดขึ้นว่า “ท่านอ๋องเพคะ อีกไม่นานก็เดือนสิบแล้ว ควรกำหนดวันแต่งงานของเซวียนเอ๋อร์แล้วนะเพคะ หากวันนี้ท่านมีเวลาว่าง ก็เข้าวังกับหม่อมฉันหน่อยเถอะ จะได้ให้เสด็จแม่ช่วยเลือกฤกษ์ดีด้วย”

 

 

ให้เสด็จแม่ช่วยเลือกวันเป็นเพียงฉากบังหน้า จุดประสงค์แท้จริงแล้วต้องการให้ฮ่องเต้กำหนดวันมากกว่า อ๋องฉีจะไม่รู้ความหมายของนางได้อย่างไร สายตาเหลือบมองนางผู้ซึ่งเปี่ยมไปด้วยความหวัง ก็ทำใจบอกนางเรื่องที่เมิ่งเชี่ยนโยวมีลูกยากไม่ได้ เพราะไม่อยากทำลายอารมณ์ดีของนาง ลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า “เจ้ารอสักครู่ ข้ากลับห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน”

 

 

อ๋องฉีเดินออกจากห้องหนังสือ ถอนหายใจเฮือกใหญ่ กำลังจะก้าวเดินไปเรือนของตน เสียงของพระชายาฉีก็ดังขึ้นจากข้างหลังของเขา เขาตกใจจนเกือบจะลื่นล้มลงบนพื้น “ท่านอ๋องช่วงนี้มีเรื่องไม่สบายใจหรือเพคะ เห็นถอนหายใจบ่อย”

 

 

พูดจบ พระชายาฉีก็มาถึงหน้าอ๋องฉีแล้ว นางเงยหน้ามองเขาตาไม่กะพริบ

 

 

อ๋องฉีรู้สึกไม่สบายใจ หลบสายตาไปครู่หนึ่ง พูดขึ้นว่า “ข้าจะมีเรื่องกลุ้มใจอะไรล่ะ ก็แค่เรื่องไม่ลงรอยกับขุนนางท่านอื่นในวังเท่านั้นเอง”

 

 

พระชายาฉียังคงสงสัยมองเขาแวบหนึ่ง จึงพยักหน้า “เรื่องในวังหม่อมฉันไม่ค่อยรู้ หากท่านอ๋องแก้ปัญหาไม่ได้จริงๆ ลองเรียกเหวินเจี๋ยมาปรึกษาหน่อยไหมเพคะ”

 

 

“ไม่ต้องหรอก สภาพน้องสะใภ้แบบนั้น เหวินเจี๋ยคอยประคบประหงมนางขนาดนั้น จะมีใจมาสนใจเรื่องในวังได้อย่างไร” พูดจบ ก็กลัวว่าพระชายาฉีจะถามอีก จึงรีบพูดขึ้นว่า “ข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเดี๋ยวนี้แหละ แล้วเราเข้าวังกัน”

 

 

“ให้หม่อมฉันไปช่วยเถอะ จะได้เร็วหน่อยนะเพคะ”

 

 

อ๋องฉีชะงัก แล้วพยักหน้าตอบรับ

 

 

เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ ทั้งสองนั่งรถม้าไปถึงหน้าพระราชวัง ยื่นป้ายให้ เดินเข้าไปในวัง คนหนึ่งไปตำหนักไทเฮา อีกคนไปห้องหนังสือ

 

 

ตั้งแต่เรื่องของเมิ่งเชี่ยนโยว อ๋องฉีก็ตีตัวห่างจากฮ่องเต้ นอกจากทรงว่าราชกิจแล้ว ก็ไม่ค่อยได้พูดคุยกับฮ่องเต้เพียงลำพัง เมื่อได้ยินขันทีรายงาน ฮ่องเต้ก็ตกใจ และรีบให้เขาเข้ามา ถามขึ้นด้วยความกรุณาว่า “วันนี้น้องข้ามีธุระอะไรหรือ”

 

 

อ๋องฉีประสานมือ คารวะแล้วพูดขึ้นว่า “ใกล้จะถึงเดือนสิบแล้ว วันนี้ที่กระหม่อมมา ก็อยากให้เสด็จพี่ช่วยกำหนดวันสมรสของเซวียนเอ๋อร์พ่ะย่ะค่ะ”

 

 

พูดจบก็ก้มศีรษะยืนตัวตรง ไม่ได้พูดอะไรอีก

 

 

ฮ่องเต้เกือบจะบันดาลโทสะเมื่อเห็นท่าทางของเขา จ้องมองเขาอยู่นาน

 

 

อ๋องฉีไม่ขยับ ก้มศีรษะไว้ ปล่อยให้ฮ่องเต้มอง

 

 

ผ่านไปนานฮ่องเต้ถึงถอนหายใจเฮือกใหญ่ “เรื่องขององค์หญิงชิงเหอ เราเองที่…”

 

 

“เสด็จพี่” อ๋องฉีพูดแทรกขึ้น พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นอีกครั้งว่า “ที่กระหม่อมมาวันนี้อยากให้เสด็จพี่ช่วยกำหนดวันสมรสของเซวียนเอ๋อร์พ่ะย่ะค่ะ”

 

 

 พระพักตร์ของฮ่องเต้เกร็งขึ้น ขันทีที่คอยรับใช้อยู่รอบๆ ก็เหงื่อตกแทนอ๋องฉี ยังไม่มีใครกล้าพูดตัดบทฮ่องเต้เช่นนี้ อ๋องฉีเป็นคนแรก ไม่รู้ว่าจะถูกลงโทษอย่างไรบ้าง

 

 

อ๋องฉีทำเหมือนตนไม่ได้ทำผิดอะไร เมื่อพูดจบก็ก้มหัวยืนตรงอยู่ที่เดิม รอฮ่องเต้ตอบ

 

 

บรรยากาศในห้องทรงพระอักษรพลันเคร่งเครียดขึ้นมา ขันทีและนางในที่คอยรับใช้ตัวแข็งเกร็งจนแทบจะหยุดหายใจ ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเสียงดัง

 

 

ฮ่องเต้ก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ควบคุมโทสะของตนไว้ บัญชาให้ทุกคนออกไป พูดอย่างอ่อนโยนว่า “องค์หญิงชิงเหอช่วยสร้างความดีให้กับเมืองหลวงเราไว้มาก และเราเองที่มอบราชโองการการสมรสครั้งนี้ ตามหลักแล้วเราควรให้สำนักโหรหลวงเลือกฤกษ์งามให้เซวียนเอ๋อร์ ให้พวกเขารีบสมรสกัน แต่ตอนนี้สถานการณ์ไม่เหมือนเดิม องค์หญิงชิงเหอมีบุตรยาก อีกทั้งเซวียนเอ๋อร์เป็นซื่อจื่อ เรื่องนี้มีผลกระทบต่อผู้สืบทอดของจวนอ๋องเราต้องพิจารณาใหม่ให้ถี่ถ้วนจึงจะตัดสินใจได้”

 

 

ในที่สุดอ๋องฉีก็เงยหน้ามองฮ่องเต้ กำลังจะอ้าปากพูด

 

 

ฮ่องเต้กลับเอ่ยปากขึ้นก่อน พูดอย่างจริงใจว่า “ที่เราทำก็เพื่อจวนอ๋อง จะปล่อยให้ลูกของพระชายารองมาเป็นผู้สืบทอดมิได้”

 

 

อ๋องฉีไม่ได้พูดอะไร

 

 

ห้องทรงพระอักษรเงียบสงัด

 

 

ผ่านไปครู่หนึ่งอ่องฉีจึงเอ่ยปากอย่างยากเย็นว่า “เสด็จพี่ไม่ต้องคิดแล้วพ่ะย่ะค่ะ ให้สำนักโหรรีบกำหนดวันเถอะพ่ะย่ะค่ะ หากต่อไปเซวียนเอ๋อร์ไม่มีผู้สืบทอดจริงๆ ก็คงเป็นชะตากรรมของจวนอ๋องเอง กระหม่อมขอน้อมรับพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

“พูดจาเหลวไหล” ฮ่องเต้บันดาลโทสะ “ชะตากรรมอะไร คนบ้านตระกูลหวงฝู่เราหากยอมรับชะตากรรม จะมีใต้ฟ้าให้เราได้นั่งเช่นทุกวันนี้รึ ก็แค่ผู้หญิงที่คลอดลูกไม่ได้ เราจะอุ้มชูให้นางอยู่สูงแค่ไหน ก็จะทำให้นางตกลงเจ็บได้มากเท่านั้น”

 

 

อ๋องฉีถอนหายใจเบาๆ “ความรักของเซวียนเอ๋อร์ที่มีต่อนางนั้นลึกซึ้ง กระหม่อมก็เห็นด้วยที่เขาจะสู่ขอองค์หญิงชิงเหอ อย่าขัดขวางเลยพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ท่าทีของฮ่องเต้กลับยืนหยัดเหมือนเดิม “เราบอกว่าไม่ได้ก็คือไม่ได้ เรื่องนี้ไม่มีพื้นที่ให้เจรจา”

 

 

พระชายาฉีก็ถูกไทเฮาห้ามปรามเช่นกัน เพียงแต่ไทเฮาพูดอ้อมค้อมหน่อย “องค์หญิงชิงเหอเพิ่งได้รับบาดเจ็บ ร่างกายยังไม่หายดีนัก ไม่เหมาะจะจัดงานทันที เอาอย่างนี้ วันสมรสเลื่อนออกไปอีกหน่อย รอให้ร่างกายนางหายดีแล้ว ไม่เป็นอะไรมากแล้ว เราค่อยมาคุยเรื่องวันสมรสกัน”

 

 

พระชายาฉีรู้สึกถึงความผิดปกติ หลังจากออกจากวัง ก็ถามอ๋องฉีทันที “ท่านอ๋อง เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือไม่เพคะ เสด็จแม่และฮ่องเต้จึงไม่ยอมกำหนดวันสมรสของเซวียนเอ๋อร์เสียที”

 

 

อ๋องฉีส่ายหน้าอย่างรู้สึกผิด “ไม่มี ช่วงนี้ในวังก็ไม่มีเรื่องใหญ่อะไร”

 

 

พระชายาฉีกังวลใจ ไม่ทันได้สังเกตสีหน้าเขา พูดว่า “ท่านกลับจวนไปก่อนเถอะเพคะ ข้าไปดูโยวเอ๋อร์หน่อย จะได้นำเรื่องวันนี้เล่าให้เซวียนเอ๋อร์ฟังด้วย”

 

 

อ๋องฉีอยากห้ามนางไว้ แต่เมื่อคิดได้ว่าหากห้ามนางแล้ว อาจจะทำให้นางสงสัย จึงปล่อยนางไป

 

 

พระชายาฉีไปถึงจวนของเมิ่งเชี่ยนโยว รีบตามหาหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยว เล่าเรื่องทั้งหมดของวันนี้ให้ฟังอย่างไม่ลังเลว่า “แม้สิ่งที่ไทเฮาและฮ่องเต้พูดจะมีเหตุผล แต่ข้าก็รู้สึกว่าต้องมีอะไรผิดปกติ”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนลุกขึ้นทันที พูดว่า “เสด็จแม่อยู่นี่เป็นเพื่อนโยวเอ๋อร์ก่อนนะขอรับ ข้าขอเข้าวัง จะกลับมาโดยเร็วขอรับ”

 

 

พระชายาฉีไม่ได้ห้าม

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนรีบเดินออกไปทันที

 

 

มองดูแผ่นหลังที่รีบร้อนแต่ไม่ลนลานของเขา เมิ่งเชี่ยนโยวหรี่ตา

 

 

ไม่รู้ว่าหวงฝู่อี้เซวียนเข้าวังแล้วพูดอะไรกับฮ่องเต้ ทราบเพียงว่าหลังจากนั้นฮ่องเต้เขวี้ยงของในห้องทรงพระอักษรอีกครั้ง แล้วก็มีราชโองการให้สำนักโหรหลวงหาฤกษ์ดีให้ซื่อจื่อและองค์หญิงชิงเหอสมรสกัน

 

 

พระชายาฉีได้ยินดังนั้นก็ดีใจเดินกลับไปจวนอ๋องอย่างมีความสุข นำข่าวดีนี้ไปบอกอ๋องฉีที่ห้องหนังสือว่า “เซวียนเอ๋อร์กับโยวเอ๋อร์แต่งงานเดือนสิบ หากเร็วหน่อย ภายในตรุษจีนปีหน้าจวนอ๋องของเราก็จะมีสมาชิกเพิ่มแล้วนะเพคะ”

 

 

อ๋องฉีก็ดีใจมากเช่นกัน พยักหน้า “ใช่”

 

 

“ไม่ได้ ข้าต้องไปดูของที่พวกเขาต้องใช้สมรสกันอีกครั้งว่าลืมอะไรหรือเปล่า” พูดจบ พระชายาฉีก็เดินออกไปอย่างเบิกบานใจ

 

 

มองแผ่นหลังที่มีควาสุขของนาง อ๋องฉีถอนหายใจเฮือกใหญ่ ออกคำสั่งไปว่า “ส่งคนไปหาหมอที่มีชื่อเสียงจากทุกสารทิศ หากเจอแล้วรีบมารายงานข้า”

 

 

มีคนขานรับ หลังจากเสียงสายลมพัดผ่าน ห้องหนังสือก็เงียบสงัดอีกครั้ง

 

 

เมิ่งซื่อและคนอื่นๆ ก็ดีใจมาก คุยกันว่าจะกลับบ้านกันเลยทันที

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “พ่อ แม่ วันสมรสถูกกำหนดมาแล้ว แต่จวนอ๋องยังไม่ได้ส่งของหมั้นมาให้ หากพวกท่านไปแล้ว จะให้เขายกของกำนัลไปถึงตำบลชิงซีหรือ”

 

 

เมิ่งซื่อพูดว่า “เรื่องส่งของหมั้นข้าคุยกับพ่อเจ้าแล้ว เมืองหลวงห่างไกลจากบ้านเรามาก ให้คนส่งของหมั้นไปที่นั่นไม่เหมาะสมจริงๆ เอาอย่างนี้ รอต้นเดือนสิบเราจะกลับมา ถึงตอนนั้นจะพาปู่กับย่ามาด้วย ตอนนั้นเรื่องของหมั้นรวมถึงของที่ต้องแลกเปลี่ยนกันเราค่อยทำพร้อมกันทีเดียวเลย”

 

 

เมื่อเห็นว่าพวกเขาตกลงกันแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวทำอะไรไม่ได้ หลังจากรั้งให้พวกเขาอยู่ต่ออีกสิบกว่าวัน ก็ส่งพวกเขากลับไป รวมถึงจูหลานที่ยังอาลัยอาวรณ์อยู่ด้วย

 

 

อยู่ๆ คนก็น้อยลงไปเยอะ บ้านก็เงียบลงมากด้วย เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกไม่ชิน จึงไปเดินดูโรงงานและนอกเมืองเป่ยเฉิง

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้ห้ามนาง แต่คอยตามติดนางตลอดเวลา

 

 

ตอนแรกเมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ชิน ไล่ให้เขากลับไปจวนอ๋องช่วยพระชายาฉีตระเตรียมของใช้ในงานสมรส

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนกลับมองนางอย่างเว้าวอน พูดอย่างไม่พอใจว่า “ยังไม่แต่งงานกันเลย เจ้าก็เริ่มหน่ายหนีข้าเสียแล้ว”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ตามใจเขา

 

 

หลังจากนั้นนางก็ค่อยๆ เคยชิน หากวันไหนไม่ได้เจอเขา กลับรู้สึกไม่สบายใจเสียเอง

 

 

และนี่คือสิ่งที่หวงฝู่อี้เซวียนต้องการ เมื่อเห็นว่าเป็นไปตามแผน ก็แอบได้ใจเงียบๆ อยู่เพียงผู้เดียว

 

 

อาการบาดเจ็บของชิงหลวนและจูหลีก็ดีขึ้นแล้ว พวกนางไม่สนใจคำห้ามปรามของเมิ่งเชี่ยนโยว ตามนางเข้าๆ ออกๆ ไปทุกที่ คอยดูแลความปลอดภัยของนางตลอดเวลา

 

 

ส่วนกัวเฟยและเหวินเปียว เมิ่งเชี่ยนโยวก็ยังคงให้พวกเขาติดตามอยู่ข้างกาย

 

 

ทุกวันนี้นางใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายและมีความสุข เมื่อเห็นว่าวันสมรสใกล้เข้ามาเรื่อยๆ หวงฝู่อี้เซวียนก็ดีใจมาก หน้าตาเผยรอยยิ้มอย่างมีความสุขที่อดกลั้นไว้ไม่อยู่ทุกวัน

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวก็มีความสุขมากเช่นกัน ตั้งแต่เกิดมา ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมากที่สุด

 

 

ในขณะที่ทุกคนต่างเฝ้ารอวันสมรสของทั้งสองให้มาถึงไวๆ ก็ถึงกำหนดคลอดของเฝิงจิ้งซู

 

 

วันนี้วันที่หวงฝู่อี้เซวียนค้างคืนกับเมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้กลับไป

 

 

เช้าตรู่ ลืมตาขึ้น กำลังจะไปหอมแก้มเมิ่งเชี่ยนโยวที่กำลังหลับอยู่นั้น

 

 

ไม่คิดว่าอยู่ๆ เมิ่งเชี่ยนโยวก็หลบ หวงฝู่อี้เซวียนจูบลงบนผมของนางแทน นางลืมตามองเขาแล้วหัวเราะ

 

 

เมื่อเห็นนางตื่นแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนก็ไม่ลังเล ประทับริมผีปากลงไปทันที

 

 

ครั้งนี้เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้หลบ จูบตอบเขาอย่างอ่อนโยน

 

 

เสียงร้อนรนจากข้างนอกของนายประตูดังขึ้น “นายหญิงขอรับ คนจากจวนท่านแม่ทัพมาบอกว่าฮูหยินจะคลอดแล้วขอรับ ท่านแม่ทัพและพระชายาฉีเชิญนายหญิงรีบไปขอรับ”

 

 

ทั้งสองชะงัก สบตากัน เมิ่งเชี่ยนโยวตอบว่า “รู้แล้ว ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”

 

 

เสียงฝีเท้าของนายประตูไกลห่างออกไป

 

 

ทั้งสองลุกนั่งขึ้น สวมเสื้อผ้าลงจากเตียง ชิงหลวนได้ยิงเสียงจากข้างใน เติมน้ำในอ่างยกเข้ามา เมื่อทั้งสองล้างหน้าเสร็จแล้วก็ขี่ม้ามาถึงจวนแม่ทัพ

 

 

 

 

 

เพิ่งเข้าประตู ก็ได้ยินเสียงร้องเจ็บปวดของเฝิงจิ้งซู

 

 

ทั้งสองเร่งฝีเท้าเข้าไปในเรือน หน้าตาที่ร้อนรนของฉู่เหวินเจี๋ยกำลังมองเข้าไปในห้อง สีหน้าเปลี่ยนไปตามเสียงร้องของเฝิงจิ้งซู สภาพไม่หนักเอาเบาสู้เหมือนตอนอยู่ในสนามรบเลยแม้แต่นิดเดียว

 

 

เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า ก็หันหลังไป เห็นทั้งสองมา รีบพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “เร็วเข้า เร็วหน่อย แม่นางเมิ่ง ซูเอ๋อร์ปวดมาครึ่งชั่วยามแล้ว เจ้าช่วยหาวิธีให้นางหน่อย ปวดอย่างนี้ไปเรื่อยๆ นางต้านทานไม่ไหวแน่”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดหัวเราะ ยากเกินกว่าจะอธิบายกับเขา จึงเดินเข้าไปในห้อง

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนยืนรอในเรือนเป็นเพื่อนเขา

 

 

ในห้องมีหมอตำแยอยู่สามสี่นางกำลังวุ่นอยู่ พระชายาฉีก็อยู่ในนั้นเช่นกัน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะตื่นเต้นหรือสงสาร เหงื่อท่วมหัวนาง คอยให้กำลังใจเฝิงจิ้งซูว่า “ซูเอ๋อร์ เบ่งหน่อย ลูกกำลังจะออกมาแล้ว”