“ท่านผู้นำตระกูล!”
เพียงแค่หลิงหยุนก้าวเท้าออกมาจากประตูบ้านเขาก็พบเหล่ากุ่ยยืนรออยู่ด้านนอกแล้ว และจากท่าทางของเหล่ากุ่ยนั้น ดูเหมือนเขาจะมีเรื่องเร่งด่วนต้องการจะรายงานหลิงหยุน..
หลิงหยุนพยักหน้าส่งสัญญาณให้เหล่ากุ่ยรอก่อนแล้วจึงหันไปบอกกับโม่วู๋เตาว่า “โม่วู๋เตา.. ตอนนี้เจ้าอยากจะกินอะไร หรือจะนอนนานแค่ใหน เชิญเจ้าตามสบายได้เลย ข้ารับรองว่าจะไม่มีผู้ใดรบกวนเจ้าอย่างแน่นอน!”
เวลานี้โม่วู๋เตาเหนื่อยจนสายตัวแทบขาดจึงได้แต่คร่ำครวญออกมา “หลิงหยุน.. เจ้าใช้งานข้าหนักเช่นนี้ได้อย่างไรกัน ข้าเหนื่อยแทบตายแล้วเจ้ารู้หรือไม่?”
จะไม่ให้โม่วู๋เตาคร่ำครวญได้อย่างไรกันในเมื่อตั้งแต่คืนวันที่ 24 จนกระทั่งถึงคือวันที่27 นั้น ทั้งสามคนนอกจากจะต้องช่วยกันปลุกเสกยันต์แล้ว ต่างก็ยังต้องเดินลมปราณเพื่อฟื้นฟูพลังปราณในร่างของตนเองอีก เรียกว่าไม่ได้หลับได้นอนเลยก็น่าจะถูก และด้วยขั้นของโม่วู๋เตาเวลานี้ เขาสามารถอดทนมาจนถึงตอนนี้ได้ ก็นับเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์แล้ว!
หลิงหยุนได้แต่ยิ้มออกมาหลังจากที่ได้ฟังโม่วู๋เตาคร่ำครวญจึงร้องบอกไปว่า “เจ้าจะคร่ำครวญไปทำไมกัน เหตุใดเจ้าจึงไม่คิดว่าหลายวันที่ผ่านมานั้น เจ้าได้เรียนรู้วิชาไปจากข้ามากมายเพียงใด? และนับเป็นกำไรชีวิตของตัวเจ้าเองมากเพียงใด?”
“อ่อ..แล้วก็อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ว่าเจ้าขโมยยันต์ระดับหกของข้าไปมากมายหลายแผ่นด้วย..”
“….”
โม่วู๋เตาถึงกับพูดไม่ออกเมื่อหลิงหยุนประกาศเสียงดังต่อหน้าทุกคนเช่นนั้น แม้โม่วู๋เตาจะหน้าหนาอยู่มาก แต่ก็ยังพอมียางอายอยู่บ้าง.. แต่ก็เป็นเช่นนั้นจริง..โม่วู๋เตาแอบขโมยยันต์ระดับหกจากหลิงหยุนมาสำหรับไว้ใช้ปกป้องตัวเอง และนี่เป็นผลกำไรอย่างเดียวที่โม่วู๋เตาคิดว่าได้จากการช่วยงานหลิงหยุนในครั้งนี้!
ความจริงโม่วู๋เตาเองก็รู้ดีว่า..การที่หลิงหยุนเก็บตัวนั้นก็เพื่อจะปลุกเสกยันต์ และสร้างวัตถุวิเศษต่างๆ แต่ที่หลิงหยุนเจาะจงให้เขาเข้าร่วมในกระบวนการทำสิ่งเหล่านี้ตั้งแต่ต้นจนจบนั้น ก็เพราะว่าต้องการให้ตัวเขาได้เรียนรู้ และฝึกทักษะในการเขียนยันต์นั่นเอง!
โม่วู๋เตาได้เรียนรู้ตั้งแต่การคัดเลือกสมุนไพรการควบคุมความร้อน การผสมหมึกสำหรับเขียนยันต์ การทำกระดาษเขียนยันต์ การเขียนอักขระของยันต์แต่ละประเภท และอื่นๆอีกมากมาย ทั้งหมดนั้นหลิงหยุนสอนเขาด้วยตัวเองทุกขั้นตอน!
และนี่นับว่าเป็นของขวัญที่ล้ำค่ายิ่งนัก!
โม่วู๋เตาเป็นศิษย์สำนักเหมาซานที่เลื่องชื่อด้านการปลุกเสกยันต์เขาติดตามอาจารย์ของตนมาตั้งแต่อายุยังน้อย แม้โม่วู๋เตาจะเป็นคนเกียจคร้าน แต่พื้นฐานการปลุกเสกยันต์ก็ค่อนข้างดีมากทีเดียว..
ที่สำคัญโม่วู๋เตานับว่าเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์มากคนหนึ่งภายในเวลาเพียงแค่สามวันที่หลิงหยุนสอนโม่วู๋เตาปลุกเสกยันต์นั้น เขาสามารถเรียนรู้ทุกขั้นตอนได้อย่างรวดเร็ว และเริ่มชำนาญมากขึ้นเรื่อยๆ
และในช่วงเวลาสามสี่วันที่ผ่านมานั้น..โม่วู๋เตาก็ได้เห็นกับตาตัวเองว่า ความสามารถในการปลุกเสกยันต์ของหลิงหยุนนั้นเหนือกว่านักพรตเหมาซานมากมาย อีกทั้งแต่ละขั้นตอนในการปลุกเสกยันต์ของหลิงหยุนก็ช่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก จนเขาเองก็อดที่จะชื่นชมไม่ได้..
หลิงหยุนคิดเสมอว่า..การสอนให้คนตกปลาเป็นนั้น ดีกว่าการหาปลาให้เป็นใหนๆ! เขาจึงคิดว่าการสอนให้โม่วู๋เตาสามารถปลุกเสกยันต์ได้ด้วยตัวเองนั้น จะเป็นประโยชน์กับโม่วู๋เตาอย่างมากในวันข้างหน้า.. ไม่เพียงการปลุกเสกยันต์เท่านั้นหลิงหยุนยังอธิบายการสร้างวัตถุวิเศษให้กับโม่วู๋เตาฟังคร่าวๆ เพราะวิชาเหล่านี้ล้วนแล้วแต่จะเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้โม่วู๋เตากลายเป็นนักพรตที่เก่งกาจในวันข้างหน้า!
และหากเปรียบเทียบกับการที่โม่วู๋เตาไม่ได้นอนหลับเพียงแค่สองสามคืนนั้นจึงนับเป็นเรื่องที่เทียบไม่ได้เลยกับประโยชน์ที่ได้รับไป!
นี่ยังไม่นับยันต์ระดับหกที่โม่วู๋เตาขโมยไปจากหลิงหยุน!
ในตระกูลหลิงมีคนตั้งมากมายและทุกคนก็ล้วนแล้วแต่เป็นพี่น้อง และคนในครอบครัวของเขาทั้งสิ้น แต่หลิงหยุนกลับเลือกโม่วู๋เตาให้ไปช่วยงาน..
และเพียงแค่นี้ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าหลิงหยุนนั้นเชื่อใจโม่วู๋เตามากเพียงใด และเห็นเขาเป็นดั่งพี่น้อง!
โม่วู๋เตาใช้ทุกวิถีทางเพื่อช่วยเรียกวิญญาณของหลิงหยุนให้กลับออกมาจากประตูนรกและยังใช้วิชาแอบดูความลับสวรรค์ช่วยชีวิตหลิงเสี่ยวไว้ด้วย ความช่วยเหลือของโม่วู๋เตานั้นหลิงหยุนนึกซาบซึ้งอยู่ในใจอยู่เสมอ แม้ว่าเขาจะไม่เคยพูดเรื่องเหล่านี้กับโม่วู๋เตา แต่ก็ค่อยๆ แอบตอบแทนโม่วู๋เตาด้วยการกระทำแทน..
และโม่วู๋เตาเองก็ไม่ใช่คนโง่การกระทำของหลิงหยุนนั้นเขาเองก็ดูออก ด้วยเหตุนี้เขาจึงซาบซึ้งใจในสิ่งที่หลิงหยุนทำให้ตนเองอยู่ไม่น้อย..
แต่ซาบซึ้งใจก็ส่วนซาบซึ้งใจ..เวลานี้โม่วู๋เตามาถึงจุดที่ร่างกายยากจะทานทนได้อีกแล้ว เขาจึงร้องตะโกนใส่หลิงหยุนด้วยความโมโห
“ใครขโมยของเจ้าไปกัน..ข้าแค่หยิบมาใช้เฉยๆ!”
“อีกอย่าง..ข้าช่วยเจ้าปลุกเสกยันต์เป็นพันๆแผ่น ข้าทำงานเหนื่อยแทบตาย จะไม่มีสิทธิ์ใช้ยันต์สักสองสามแผ่นเลยหรือยังไง”
โม่วู๋เตาไม่กล้ามองหน้าหลิงหยุนเขาพูดปกป้องตนเองออกมาเพียงแค่สองสามประโยค แล้วจึงรีบพูดต่อว่า
“ข้าหิวข้าวมากแล้วข้าจะรีบไปกินข้าว..”
“ท่านน้าจินเหยียว..เหล่ากุ่ย.. ข้าไปก่อนล่ะ!”
หลังจากเอ่ยลาจินเหยียวกับเหล่ากุ่ยแล้วโม่วู๋เตาก็ไม่รีรอ และรีบใช้วิชาตัวเบาหนีออกไปจากตรงนั้นทันที
“เจ้านักพรตน้อยนี่จริงๆ..”
หลังจากโม่วู๋เตาหนีหายไปแล้วหลิงหยุน จินเหยียว และเหล่ากุ่ย ก็ได้แต่ยืนยิ้มออกมาพร้อมกัน..
หลิงหยุนเปิดจิตหยั่งรู้ออกสำรวจดูจึงพบว่าเวลานี้โม่วู๋เตากลับไปที่ห้องนอนของตนเอง และกำลังตรวจดูว่าทองคำแท่งของตนนั้นยังอยู่ที่เดิมหรือไม่
หลิงหยุนเห็นเช่นนั้นจึงได้แต่แอบคิดในใจว่า‘นักพรตน้อยผู้นี้สนใจแต่เรื่องเงินๆทองๆ นิสัยใจคอช่างคล้ายคลึงกับถังเมิ่งยิ่งนัก!’
หลิงหยุนได้แต่ส่ายหน้าไปมาเพราะนึกขันในท่าทีของโม่วู๋เตาจึงบอกผ่านทางกระแสจิตว่า..
–นักพรตน้อย..สองสามวันนี้ข้าไม่มีอะไรจะให้เจ้าช่วยแล้ว เจ้าก็พักผ่อนให้เต็มที่ ถึงเวลาฝึกก็ต้องหมั่นฝึก แต่ไม่ต้องรีบร้อนข้ามขั้น ถึงเวลาที่เหมาะสมข้าจะช่วยเจ้าเอง!-
“ข้ารู้แล้วน่า..”
โม่วู๋เตาที่กำลังนั่งยองๆอยู่ในห้องนอน ลูบไล้ก้อนทองแท่งของตนไปมาอย่างมีความสุข พร้อมกับร้องตะโกนบอกหลิงหยุนเสียงห้วน และเขาก็รู้ว่าหลิงหยุนต้องได้ยินอย่างแน่นอน!
…..
หลังจากทะเลาะกับโม่วู๋เตาจบแล้วหลิงหยุนจึงหันไปทางจินเหยียว..
หลังจากที่ได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันถึงสี่วันสามคืนหลิงหยุนกับจินเหยียวต่างก็เริ่มคุ้นเคย และสนิทสนมกันราวกับญาติแท้ๆ
ในความรู้สึกของหลิงหยุนนั้นจินเหยียวไม่ต่างจากแม่ของเขาคนหนึ่ง และจินเหยียวเองก็ปฏิบัติต่อหลิงหยุนราวกับลูกของตนเองเช่นกัน
จินเหยียวจ้องมองหลิงหยุนด้วยแววตารักใคร่และชื่นชมพร้อมกับพูดขึ้นว่า “หลิงหยุน.. คิดไม่ถึงว่าฝีมือในการสร้างค่ายกล และปลุกเสกยันต์ของเจ้าจะล้ำเลิศถึงเพียงนี้ ทำให้ข้านึกอัศจรรย์ใจยิ่งนัก!”
“เด็กดีของน้า..หากพี่ชิงเฉวียนรู้เข้า คงจะมีความสุขไม่น้อย!”
หลิงหยุนได้ฟังจินเหยียวเอ่ยชมต่อหน้าเช่นนี้เขาจึงรู้สึกเก้อเขิน และยกมือขึ้นเกาศรีษะพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“ท่านน้าจินเหยียว..ท่านอยู่ช่วยข้าหลายวัน คงจะเหนื่อยมากสินะ!”
แต่จินเหยียวกลับส่ายหน้าและตอบไปว่า “เด็กโง่.. ข้าจะเหนื่อยได้อย่างไรกันเล่า ตรงข้าม.. ข้ามีความสุขมากเลยทีเดียว!”
“ข้ารู้ความตั้งใจที่แท้จริงของเจ้าดี!การที่เจ้าให้ข้าไปอยู่ด้วยหลายวันนี้ ก็ให้ข้าได้เปิดหูเปิดตา และเกิดประโยชน์กับตัวข้าเอง!”
แม้ว่าหลิงหยุนจะไม่พูดออกมาตรงๆแต่ภายในสี่วันนี้จินเหยียวก็ได้ประโยชน์อย่างมากมาย และไม่ได้รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเลยแม้แต่น้อย..
หลิงหยุนพูดขึ้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม“ท่านน้าจินเหยียว.. อีกไม่ช้าท่านคงเข้าสู่ขั้นต่อไปอย่างแน่นอน!”
ในสี่วันที่ผ่านมานี้นอกจากเรื่องของการปลุกเสกยันต์แล้ว หลิงหยุนยังได้สอนวรยุทธสำหรับใช้ในการต่อสู้ให้กับนางด้วย
จินเหยียวพยักหน้า“ถูกต้อง.. ข้าสามารถเข้าสู่ขั้นต่อไปได้ทุกมเมื่อหากต้องการ!”
“ท่านน้าจินเหยียว..ท่านหยุดพักหนึ่งวันก่อน หลังจากนั้นข้าจะคอยคุ้มกันท่านอย่างใกล้ชิดเอง!”
ขั้นต่อไปของจินเหยียวนั้นคือขั้นที่สามารถใช้พลังเหนือธรรมชาติได้หลิงหยุนจึงต้องการกำกับดูแลนางอย่างใกล้ชิด!
“ได้..ข้าจะเชื่อฟังเจ้า!”
จินเหยียวพยักหน้าและยกมือขึ้นตบบ่าหลิงหยุนพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “หลิงหยุน.. เจ้าไม่ต้องห่วงข้า! วันประลองระหว่างตระกูลเฉินกับตระกูลหลิงใกล้เข้ามามากแล้ว เจ้าเองก็ต้องพักผ่อนให้มาก หากเจ้ายังขืนวิ่งวุ่นทำโน่นทำนี่อยู่เช่นนี้ เจ้าเองจะไม่ไหว! อย่าลืมว่าร่างกายของมนุษย์อย่างไรก็ไม่ใช่เหล็กไหล..”
แม้แต่เหล่ากุ่ยที่ยืนอยู่ข้างๆยังมองออกว่าจินเหยียวนั้นรัก และเอ็นดูหลิงหยุนไม่น้อยไปกว่าแม่แท้ๆของเขาเลย เพราะความรักทั้งหมดได้แสดงอยู่บนสีหน้าของนางอย่างชัดเจน!
หลิงหยุนพยักหน้ายิ้มๆและตอบกลับไปว่า “ท่านน้าจินเหยียวอย่างได้กังวลใจไปเลย เรื่องนั้นข้าเข้าใจดี!”
แม้ว่าในระหว่างสี่วันที่เก็บตัวนั้นหลิงหยุนจะใช้เสินหยวนไปกับการปลุกเสกยันต์ระดับเจ็ด และการสร้างภูษานักรบ แต่เวลานี้กลางหว่างคิ้วของหลิงหยุนก็ได้มีการกลั่นหยดเสินหยวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และเวลานี้ก็มีกว่าสองร้อยหยดแล้ว!
จากนี้ไปอีกสี่วันสามคืนก็จะถึงวันประลองกับตระกูลเฉินแล้วหลิงหยุนมั่นใจว่าถึงตอนนั้นเขาจะสามารถกลั่นหยดเสินหยวนได้อีกราวสามร้อยหยด!
และหยดเสินหยวนรวมกันกว่าห้าร้อยหยดนั้นหลิงหยุนมั่นใจว่าเพียงพอสำหรับใช้ในการประลองในครั้งนี้อย่างแน่นอน!
หลังจากที่จินเหยียวพูดคุยกับหลิงหยุนอีกสองสามคำนางก็ของตัวกลับไปที่ห้อง และทันทีที่จินเหยียวเดินออกไป เหล่ากุ่ยก็รีบตรงเข้าไปกระซิบกับหลิงหยุนทันที
“ผู้นำตระกูล..หลายวันที่ท่านเก็บตัวเตรียมการอยู่นั้น มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายหลายเรื่อง และเวลานี้..”
หลิงหยุนเห็นท่าทางกระอักกระอ่วนของเหล่ากุ่ยจึงรีบยกมือขึ้นห้ามและบอกไปว่า “เหล่ากุ่ย.. ท่านอย่าเพิ่งพูดอะไรตอนนี้ พวกเราไปพบท่านปู่พร้อมกันเดี๋ยวนี้เลย!”
หลิงหยุนเดินนำหน้าเหล่ากุ่ยไปยังบ้านของหลิงลี่ทันทีและเมื่อไปถึงก็พบว่าหลิงลี่คอยอยู่ก่อนแล้ว และเวลานี้หลิงลี่เองก็กำลังเดินกลับไปกลับมาอย่างกระวนกระวายใจ สีหน้าของเขาเคร่งเครียดบ่งบอกว่ามีเรื่องกังวลใจอย่างมาก และทันทีที่เห็นหลิงหยุนเดินเข้ามา สีหน้าของหลิงลี่ก็เริ่มผ่อนคลายขึ้นมาก..
หลิงหยุนเอ่ยทักทายหลิงลี่และยังไม่ทันที่หลิงหยุนจะเดินเข้าบ้าน หลิงลี่ก็วิ่งมาคว้าแขนของเขา และพาเข้าไปนั่งในบ้านทันที
เหล่ากุ่ยเองก็เดินตามเข้าไปติดๆและทันทีที่เข้าไปในห้องรับแขก หลิงหยุนก็เห็นเอกสารปึกใหญ่วางอยู่บนโต๊ะ..
หลิงหยุนใช้จิตหยั่งรู้สำรวจดูเอกสารในซองก็สามารถเข้าใจเรื่องราวทุกอย่างได้ทันทีแต่ก็เลือกที่จะไม่ถามอะไร..
เวลานี้หลิงลี่นั่งอยู่บนเก้าอี้หน้าโต๊ะแปดเหลี่ยมเขาเอื้อมมือออกไปหยิบซองเอกสารทั้งสองยื่นให้กับหลิงหยุน..
“หลิงหยุน..เจ้าอ่านดู! นี่เป็นสาส์นท้าประลองที่ตระกูลเฉินกับตระกูลซันส่งมาให้กับตระกูลหลิงของเรา!”
หลิงหยุนเปิดซองจดหมายและคลี่เอกสารมากมายด้านในออกอ่านด้วยสีหน้าที่สงบนิ่ง และระหว่างนั้นก็ได้ยินเสียงของหลิงลี่พูดขึ้นว่า
“หลิงหยุน..นี่คือสาส์นท้าประลองอย่างเป็นทางการตามธรรมเนียมของเหล่าตระกูลใหญ่ แม้จะมีใจความยืดยาว แต่สรุปสั้นๆก็คือต้องการต่อสู้กับเรานั่นล่ะ!
“ส่วนอีกซองก็เป็นสาส์นท้าประลองจากตระกูลซัน..เรื่องนี้ลุงสองของเจ้าได้จัดการตัดสินใจไปแล้ว เขาได้ลงนามในสาส์นท้าประลองนี้ไปตั้งแต่เมื่อสองวันก่อน..”
“ข้อความในจดหมายทั้งสองฉบับนั้นก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าจะแจ้งว่าการประลองครั้งนี้เป็นการประลองโดยมีชีวิตเป็นเดิมพัน ผู้ชนะสามารถร้องขออะไรก็ได้ และผู้แพ้ต้องทำตามทุกอย่าง..”
หลิงหยุนเพียงแค่พยักหน้าและวางจดหมายทั้งสองฉบับลงบนโต๊ะเช่นเดิม!
จากนั้นหลิงลี่ก็พูดขึ้นด้วยสีหน้าเศร้าร้อย“แต่นั่นยังไม่ใช่ปัญหา! ปัญหาคือตระกูลซันและตระกูลเฉินกำหนดวันประลองขึ้นในวันเดียวกัน ซึ่งก็คือสิ้นเดือนนี้!”
หลิงหยุนได้บอกกับหลิงลี่ไปว่าเขารู้ข่าวนี้มาจากเย่ซิงเฉินก่อนแล้วและบอกกับหลิงลี่ว่าหากตระกูลซันต้องการที่จะประลองกับตระกูลหลิงจริง ก็ไม่จำเป็นต้องปฏิเสธ การรับคำท้าไปจึงเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง!
ดูเหมือนข่าวที่ได้จากเย่ซิงเฉินนั้นนับว่าแม่นยำยิ่งนัก! novel-lucky
หลิงหยุนยิ้มเย็นไอสังหารปรากฏขึ้นวูบหนึ่งในดวงตาของเขาในขณะที่ปากก็พึมพำออกไปว่า
“31สิงหาคมสินะ!” หลิงลี่เห็นท่าทางที่สงบนิ่งของหลิงหยุนจึงได้แต่พยักหน้าพร้อมกับถอนหายใจยาว “ถูกต้อง!”
จากนั้นหลิงลี่ก็กัดฟ้นกรอดพร้อมกับยกมือขึ้นทุบลงโต๊ะแปดเหลี่ยมพร้อมกับร้องตะโกนออกมาด้วยความโมโหโทโส..
“หลังจากที่ลงนามในสาส์นท้าแล้ว..ทั้งตระกูลเฉินกับตระกูลซันต่างก็ป่าวประกาศออกไปว่าพวกมันทั้งสองตระกูลเป็นพันธมิตรกัน ช่างไร้ยางอาย และไร้ศักดิ์ศรีสิ้นดี!”
แต่หลิงหยุนกลับพูดขึ้นว่า“ท่านปู่.. อย่าได้โมโหโทโสไปเลย นี่เป็นเรื่องที่พวกเราต่างก็คาดการว่าต้องเกิดขึ้นอยู่แล้ว!”
“ในเมื่อพวกมันสองตระกูลต้องการที่จะตายในวันเดียวกันก็ยิ่งดีกับพวกเราไม่ใช่รึ พวกเราจะได้กำจัดเสี้ยนหนามทั้งสองทิ้งไปพร้อมๆกัน!”