ตอนที่ 314 เธอทำผิดไหม?

เปลี่ยนชีวิต พลิกชะตารัก

ซินเหลยไม่คิดจะพูด แต่พอคิดถึงท่าทีเมื่อกี้แล้ว เขารู้ว่าถ้าเขาต้องการความช่วยเหลือ ถ้าไม่อยากติดคุก งั้นก็ต้องให้ความร่วมมือที่ดีกับพี่สะใภ้คนนี้ 

 

 

เฉินเยี่ยนและคนอื่นฟังซินเหลยเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างตั้งใจ ระหว่างเล่าไม่มีใครขัดจังหวะเขา 

 

 

“ก็หมายความว่า คนนั้นบอกว่าเฉินเวยอ่อยเขา ดังนั้นเขาเลยลูบต้นขาเฉินเวย? ไม่ใช่อยู่ดีๆ เขาก็ไปลูบต้นขาเฉิยเวยอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เธอนั่งอยู่ข้างๆ เห็นหรือเปล่า?” 

 

 

เฉินเยี่ยนถามซินเหลย 

 

 

“ตอนนั้นผมดูหนังอยู่ ไม่ได้สนใจเลย จนตอนที่สังเกตเห็นเฉินเวยก็ตบเขาไปแล้ว แต่เขาต้องพูดมั่วแน่ๆ เฉินเวยไม่ใช่ผู้หญิงแบบนั้น” 

 

 

ซินเหลยพูดแทนเฉินเวย 

 

 

“ตอนนี้ฉันไม่ได้ถามว่าเฉินเวยเป็นคนยังไง เขาเป็นคนยังไงฉันรู้ดีกว่าเธอ ฉันแค่ถามเธอว่า คนนั้นพูดแบบนั้นจริงๆ ใช่ไหม” 

 

 

เฉินเยี่ยนมองซินเหลย ซินเหลยนี่ไม่รู้ว่าควรจะพูดว่าเขาแกล้งโง่หรือโง่จริง 

 

 

ซินเหลยพยักหน้าตามตรง 

 

 

“ยังมีอีก เธอบอกว่าเธอโดนแทงหนึ่งแผล เฉินเวยเป็นคนกอดล็อคคนนั้นไว้ จากนั้นเรียกให้เธอลงมือ เธอถึงได้แทงคนนั้น ความรู้สึกต่อมาของเธอคือได้ยินคำพูดของเฉินเวย เจตนาเธอไม่ได้คิดจะไปแทงเขา และยิ่งไม่ได้คิดจะแทงเขาให้ตาย ใช่ไหม?” 

 

 

เฉินเยี่ยนถามต่อ 

 

 

“ใช่แล้ว ตอนนั้นสมองผมมึนตื้อ ตกใจไปหมด ไม่คิดอะไรทั้งนั้น เฉินเวยล็อคคนนั้นไว้ เธออยากจะให้ผมได้แก้แค้น เธอคิดว่าผมโดนมีดแทงเลยเสียเปรียบ ได้ยินคำพูดเธอ ผมก็ไม่รู้ว่าเอามีดไปแทงคนนั้นได้ยังไง คนนั้นแทงผมก่อน เขาต้องการชีวิตผม อย่ามาโทษผม ผมก็ไม่ได้อยากจะให้เขาตาย!” 

 

 

ซินเหลยเล่าถึงตอนที่ตัวเองตกใจแล้วยังคำพูดที่รู้สึกผิด แต่พูดมาจนสุดท้ายเขาก็โมโหขึ้นมาอีก 

 

 

“งั้นก็ควรต้องโทษเฉินเวยไม่ใช่หรือ? ถ้าไม่ใช่เพราะเธอ ซินเหลยก็จะไม่ฆ่าคน ฉันรู้อยู่แล้วเธอไม่ใช่คนดีอะไร เรื่องเกิดมาจากเธอทั้งหมด! จับเธอเข้าคุกไปเลย” 

 

 

ซุนหม่านเซียงพูดจบยังถลึงตาใส่เฉินเยี่ยน เหมือนว่าเรื่องนี้จะโทษเฉินเยี่ยนทั้งหมด 

 

 

“ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นต้นเหตุ แต่เธอไม่ได้ลงมือ คนที่ลงมือคือซินเหลย คนตั้งมากมายต่างเห็นกันหมด แต่ถ้าหาคนที่หนีไปเจอ มีเขาเป็นพยาน เฉินเวยน่าจะถือว่ากระทำความผิดร่วม เธอมีประวัติโทษครั้งก่อนอยู่ เพราะแจ้งเรื่องที่เป็นโรคร้ายแรงเลยออกมาได้ ตอนนี้เธอทำผิด ถือว่ากระทำผิดแรงขึ้นไปอีกขั้น เกรงว่าเธอจะต้องติดคุกเพิ่มอีกหลายปี” 

 

 

เฉินเยี่ยนรู้ว่าครั้งนี้เฉินเวยหนีไม่รอดแล้ว คิดว่าตัวเฉินเวยเองก็คงคิดไม่ถึงเหมือนกัน เธอคิดว่าเธอทำให้ซินเหลยเป็นคนผิด ตัวเองไม่ได้ลงมือ ก็ไม่ต้องรับผิด แต่ตอนนี้คนตายแล้ว เฉินเวยไม่ได้ติดคุกอีกห้าปีง่ายๆ แบบนั้นแน่ เฉินเวยต้องคิดไม่ถึงเหมือนกัน ครั้งนี้เธอทำตัวเองติดกับเอง 

 

 

“เธอจะเป็นยังไงฉันไม่สน ยังไงเธอก็ไม่ใช่คนดีอยู่แล้ว สมน้ำหน้า แต่ซินเหลยติดคุกไม่ได้นะ เรื่องนี้โทษเขาไม่ได้” 

 

 

ซุนหม่านเซียงร้อง 

 

 

“แม่ ตอนนี้เที่ยงคืนแล้ว แม่เสียงเบาหน่อยค่ะ” 

 

 

เฉินเยี่ยนขมวดคิ้ว พูดจบแล้วพูดต่ออีก “จะโทษซินเหลยหรือไม่พวกเราไม่มีสิทธิ์ตัดสิน มีดนั้นเขาเป็นคนถือเข้าไปแทงเองใช่ไหม? ไม่ได้มีใครบังคับเขา แน่นอน ซินเหลยก็คิดไม่ถึงว่าจะฆ่าคน ขอแค่เขาไม่ได้ตั้งใจฆ่า ก็จัดการง่ายหน่อย พรุ่งนี้ฉันกับซินห้าวจะไปถามคนที่มีความรู้ ถ้าไม่ได้ก็หาทนาย แต่ซินเหลย เธอลองคิดดีๆ ว่าเธอมีความผิดไหม ถ้าคิดไม่ออก ไม่รับผิด ถึงตอนนั้นยังพูดแบบนี้อยู่ งั้นพวกเราก็ช่วยพวกเธอไม่ได้จริงๆ” 

 

 

เฉินเยี่ยนมองซินเหลย เธอหวังว่าผ่านเรื่องครั้งนี้ไปซินเหลยจะรู้ผิดชอบชั่วดี 

 

 

ซินเหลยอยากจะอ้าปาก แต่เห็นสีหน้าเฉินเยี่ยนแล้ว เขาเลยกลืนคำพูดลงไปอีกครั้ง 

 

 

ซินชานก็มองไปทางซินเหลย ลูกชายจะสำนึกผิดไหม? เขาสั่งสอนขนาดนั้น ลูกชายไม่ยอมฟังเลย ครั้งนี้เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ลูกชายจะปรับปรุงตัวไหม? 

 

 

ซุนหม่านเซียงกลับไม่สนใจว่าลูกชายจะปรับปรุงตัวไหม ในความคิดเธอลูกชายดีมาตลอด ที่เป็นแบบนี้ เพราะคนอื่นทำร้าย แต่เธอไม่อยากให้ลูกชายเข้าคุก ตัวเธอเองก็ไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้ ได้แต่หวังพึ่งเฉินเยี่ยน ซินห้าวและซินชาน ดังนั้นเธอเลยไม่ได้เรื่องมากเหมือนที่ผ่านมา 

 

 

“จะคิดดูดีๆ ไหม?” 

 

 

เฉินเยี่ยนถามซินเหลยอีก สีหน้าเคร่งเครียด 

 

 

“เธอจะดุขนาดนั้นทำไม? เขาตกใจหมดแล้ว” 

 

 

ซุนหม่านเซียงตบมือซินเหลย ว่าเฉินเยี่ยน เธอคิดว่าลูกสะใภ้ดูดุเกินไป 

 

 

เฉินเยี่ยนไม่สนใจซุนหม่านเซียง มองแต่ซินเหลย 

 

 

“ผมจะคิดดู แล้วพี่ช่วยผมได้ไหม? ไม่ให้ผมติดคุก” 

 

 

สายตาที่ซินเหลยมองเฉินเยี่ยนดูอ่อนแอ เหมือนเด็กที่น่าสงสารคนหนึ่ง 

 

 

“ไม่ได้ ฉันรับประกันไม่ได้ แต่ฉันรับประกันได้ว่าพวกเราจะช่วยเธออย่างสุดความสามารถ” 

 

 

เฉินเยี่ยนพูดตามจริง ไม่สัญญาอะไรกับซินเหลย แล้วเธอก็สัญญาไม่ได้ด้วย 

 

 

ซินเหลยคิด สุดท้ายก็พยักหน้า เขารู้ เฉินเยี่ยนไม่ได้โกหกเขา ถ้าตอนนี้เฉินเยี่ยนพูดเรื่องไม่เป็นเรื่องกับเขาให้เขาสบายใจ เขาจะไม่เชื่อ เขาไม่ใช่คนโง่ ดังนั้นเขารู้ว่าเฉินเยี่ยนพูดความจริง เขาก็รู้สึกได้ว่าเฉินเยี่ยนทำเพื่อเขาจริงๆ ซินเหลยจึงตัดสินใจจะคิดดูดีๆ 

 

 

ถึงแม้เขาจะคิดว่าเขาไม่มีความผิดอะไร? แต่คำถามของเฉินเยี่ยนก่อนหน้านี้ยังคงสะท้อนอยู่ในหู ตอนนั้นเขาคิดว่าหยาบคาย คิดว่าเฉินเยี่ยนพูดไม่ถูกต้อง แต่ทำไมพ่อกับพี่ชายไม่ช่วยเขา? 

 

 

พี่ชายและพี่สะใภ้เป็นพวกเดียวกันยังพอเข้าใจได้ แต่พ่อถึงแม้จะดุกับเขา แต่ในใจเขายังมีลูกชายคนนี้อยู่ ข้อนี้เขาเข้าใจดี 

 

 

เฉินเยี่ยนพูดถูกหรือไม่ เขาผิดจริงหรือเปล่า? หรือว่าเขาเป็นแค่คนที่รู้จักแต่ก่อปัญหา ให้คนในครอบครัวคอยตามแก้ปัญหาให้? 

 

 

เป็นครั้งแรกที่ซินเหลยใคร่ครวญถึงคำถามนี้ 

 

 

คิดว่าครั้งนี้ตัวเองเกือบไม่รอดชีวิตแล้ว คิดถึงคนนั้นที่โดนแทงเลือดท่วมตัวนอนอยู่บนพื้น คิดถึงดวงตาคู่นั้น ซินเหลยตัวสั่น ตัวเองเกือบจะตายเหมือนคนนั้นแล้ว เขาไม่อยากตาย แล้วคนตายคนนั้น เป็นคนที่ตัวเองฆ่าด้วย เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะฆ่าคน วิญญาณของคนนั้นจะมาหาเขาไหม? เขากลัว 

 

 

เรื่องครั้งนี้ให้บทเรียนเขามากพอ เขาจะลองคิดอย่างจริงจัง 

 

 

“เด็กดี แม่อยู่เป็นเพื่อนลูกนะ ไม่ต้องกลัว” 

 

 

เห็นท่าทางซินเหลย ซุนหม่านเซียงเต็มไปด้วยความสงสาร 

 

 

“เอาล่ะ แม่อยู่ที่โรงพยาบาลเป็นเพื่อนซินเหลยเถอะ ฉันกับซินห้าวจะกลับก่อน พรุ่งนี้ยังต้องยุ่งอีก พ่อล่ะคะ?” 

 

 

เฉินเยี่ยนมองเวลา ตีสองกว่าแล้ว ทั้งสี่คนอยู่ที่โรงพยาบาลทั้งหมดก็ไม่ใช่เรื่อง 

 

 

“พ่ออยู่นี่แล้วกัน แม่เธออยู่คนเดียวไม่ได้ พรุ่งนี้พ่อจะอยู่นี่เฝ้าต่อเลย จากนั้นค่อยไปสถานีตำรวจดูสถานการณ์หน่อย เยี่ยนจื่อ ซินห้าว ครั้งนี้ลำบากพวกเธอแล้ว เรื่องนี้อย่าเพิ่งบอกให้คุณปู่คุณย่ารู้นะ พวกเขาอายุมากแล้ว รับไม่ไหว รอซินเหลยหายดีก่อน เรื่องนี้จบก่อน ค่อยบอกพวกเขา” 

 

 

ใบหน้าซินชานดูเหนื่อยล้า ยังรู้สึกเสียใจอยู่เล็กน้อย ถ้ารู้ว่าจะมีวันนี้ เขาจะสั่งสอนลูกชายแต่เด็กแน่นอน จะไม่ให้เกิดเรื่องแย่ๆ แบบวันนี้ 

 

 

“พ่ออย่าพูดแบบนี้เลย พวกเราครอบครัวเดียวกัน คุณปู่คุณย่าฝั่งนั้นผมจะไม่บอก พ่อวางใจได้” 

 

 

ซินห้าวพูดจบก็ถอนหายใจ จากนั้นเขาและเฉินเยี่ยนกลับไป 

 

 

ถึงบ้านในเมือง ทั้งสองคนเหนื่อยมาก แต่กลับไม่รู้สึกง่วงเลย ปรึกษากันว่าพรุ่งนี้จะทำยังไง จนตีสี่ ทั้งสองคนถึงค่อยงีบไปหน่อย