TB:บทที่ 293 จอกศักดิ์สิทธิ์

 

“คุณเฉิน ถ้าเรื่องที่ว่าชุดเกราะของอัศวินอยู่ในมหาวิหารเซนต์พอลเป็นเรื่องจริง เราก็ควรเอาชุดเกราะนั่นกลับไปด้วย แม้ว่าชุดเกราะนั่นจะทำลายไม่ได้ แต่เราจะปล่อยให้ชุดเกราะตกไปอยู่ในมือของโบสถ์แห่งแสงไม่ได้ ไม่เช่นนั้น ความสามารถของจอกศักดิ์สิทธิ์ที่ว่านั่นจะทำให้โบสถ์แห่งแสงเป็นปรมาจารย์ที่น่าสะพรึงกลัวมากขึ้นไปอีก” เมื่อได้ฟังคำของเฉินหลงแล้ว แอนเดสก็กล่าวไปอย่างจริงจัง

 

“ของศักดิ์สิทธิพวกนี้คืออะไรกัน” เนื่องจากแอนเดสกล่าวขึ้นหลังจากที่รับรู้เรื่องความศักดิ์สิทธิกันแล้ว ของพวกนั้นก็ได้สร้างปรมาจารย์ที่ทรงพลังขึ้นมา นั่นทำให้เฉินหลงสงสัยนัก

หากว่าของพวกนั้นเป็นยาหรือะไรเช่นนั้น เฉินหลงคงอยากจะรับไว้บ้าง เพราะสุดท้ายแล้ว ก็มียาบางประเภทที่สามารถทำให้คนธรรมดาแข็งแกร่งได้ แต่นี่เป็นเศษชุดเกราะแปลกๆนี่กลับทำให้คนแข็งแกร่ง

 

“โบสถ์แห่งแสงหรือพวกอัศวินที่ทรงพลังคงได้ใช้พวกของศักดิ์สิทธิพวกนี้มาทั้งปีแล้ว และเพราะคนที่แข็งแกร่งได้ใช้เครื่องมือนี้มาตลอดทั้งปี พวกนั้นจะต้องมีพละกำลังที่แข็งแกร่งมากแน่ๆ แล้วหลังจากที่พวกผู้แข็งแกร่งตายไป ของนั่นก็จะตกอยู่ในห้วงนิทราและรอเจ้านายคนต่อไป แม้เจ้านายคนใหม่จะอ่อนแอ ด้วยความช่วยเหลือของจอกศักดิ์สิทธิ จะแข็งแกร่งอย่างมากได้ด้วยพลังของเครื่องมือศักดิ์สิทธิ ที่จะกลายมาเป็นภัยต่อพวกสิ่งมีชีวิตศาสตร์มืดของเราได้ มิฉะนั้นคุณต้องเปลี่ยนพลังนั่นเป็นอาวุธเวทมนต์เสีย” แอนเดสว่า

 

“จะบอกว่า มนุษย์ไม่ใช่ผู้ที่ควบคุมสิ่งของเหล่านั้น แต่เป็นพวกสิ่งของที่ควบคุมมนุษย์แทน ใช่ไหมครับ” ในที่สุดเฉินหลงได้เข้าใจสิ่งที่แอนเดสจะสื่อ

“เป็นอย่างที่ว่าครับ พวกเครื่องมือศักดิ์สิทธินี้ก่อนที่จะกระตุ้นใช้งานก็เป็นเครื่องมือทั่วไปทว่าตราบเท่าที่ได้ใช้งานแล้ว ของเหล่านั้นจะสามารถให้พลังที่ทรงพลังกับผู้ใช้ได้ โบสถ์แห่งแสงใช้พวกเครื่องมือศักดิ์สิทธินี่เยอะมากเพื่อจะกดขี่พวกเรา แน่ละว่าพลังอันศักดิ์สิทธินั้นมีหลากรูปแบบตั้งแต่แข็งแกร่งไปถึงอ่อนแอ โดยหลักๆแล้วจะตัดสินด้วยพลังของผู้ใช้ก่อนที่เขาได้ตายไป และเนื่องจากชุดเกราะเป็นของอัศวิน ชุดเกราะนี้จึงแข็งแกร่ง ทำให้ไม่ควรจะปล่อยพวกโบสถ์แห่งแสงมารู้เรื่องนี้ได้เลย” แอนเดสว่า

 

“เช่นนั้น ผมจะส่งใครสักคนไปช่วยคุณนะ” เฉินหลงพยักหน้า

การขโมยของชิ้นนี้จะทำให้โบสถ์แห่งแสงไม่สบายใจ หากว่าเขามีโอกาสดีเช่นนี้แล้วเขาคงไม่ปล่อยไปไม่ได้

 

“คุณเฉิน หากว่าคุณช่วย พวกของศักดิ์สิทธิเหล่านั้นมีธรรมชาติที่จะข่มพวกคนในโลกมืดอย่างพวกเราไว้ ตราบใดที่เราไปใกล้ของพวกนั้นได้ ของเหล่านั้นก็จะเปิดการป้องกันโดยอัตโนมัติ แม้ว่าเราจะเอาของพวกนั้นออกมาแล้ว พวกเราก็จะทรมานอย่างมากอยู่ดี แต่ของเหล่านั้นไม่มีผลอะไรกับคุณ”

 

เมื่อเขาได้ยินว่าเฉินหลงตั้งใจจะช่วยแล้ว แอนเดสมีความสุขอย่างมาก เขารู้ว่าเฉินหลงมีลูกน้องที่แข็งแกร่ง ด้วยความช่วยเหลือของพวกเขา เรื่องนี้จึงมีโอกาสอันเยี่ยมยอดที่จะสำเร็จได้อยู่

หลังจากนั้นเฉินหลงกลับไปรอให้เคาท์ชาลส์มาหาเขา

 

สำหรับแอนเดสแล้ว มีเพียงสภาแห่งความมืด (โบสถ์แห่งความมืด)ที่รู้เรื่องนี้ แน่นอนว่าเฉินหลงไม่รู้วิธีจะแจ้งสภาแห่งความมืด สุดท้ายแล้วพวกองค์กรแบบสภาแห่งความมืดนี้ ไม่รู้ว่าก่อตั้งมากี่ปีแล้ว ก็เป็นธรรมดาที่จะมีวิธีการติดต่อข้อมูลของตนเอง

 

สิบสามวันต่อมา ในที่สุดเรือสำราญก็ได้เทียบท่าที่ท่าเรือในลิเวอร์พูล ประเทศอังกฤษ

แล้วคาร์ลหรือบางสิ่งก็จะกระโดดลงจากเรือสำราญไปแล้ว

ไม่มีทางจะบิดเบือนได้หรอก เมื่อแอนเดสคอยเฝ้ามองอยู่ คาร์ลไม่มีทางอื่นนอกจากก็ทำตัวซื่อสัตย์และกระโดดลงจากเรือแบบเปลือยเปล่า

 

หลังจากที่ลงเรือไปแล้ว เฉินหลงและเคาท์ชาลส์ทักทายกัน แล้วเฉินหลงก็ทิ้งเขาไว้กับแอนเดส

เมื่อแยกจากเฉินหลงไปแล้ว ชาลส์ก็ขึ้นรถเบนท์ลีย์สีดำที่ออกจากท่าเรือไปแล้ว ในตอนนั้นเองมีชายแก่แต่งตัวดีที่ดูอย่างอังกฤษคนหนึ่งนั่งอยู่ในรถ

“ชาลส์ ฉันต้องขอโทษด้วยที่เรียกนายกลับมาจากวันหยุดพักผ่อน” ชายแก่มองชาลส์อย่างขอโทษขอโพย

 

ชาลส์เป็นสมาชิกที่มีความสามารถและมองโลกในแง่ดีที่สุดในองค์กรของเขา อีกอย่างหนึ่งคือข้อตกลงนี้ช่างสำคัญนัก เขาจึงต้องเรียกชาลส์กลับมา

“ไม่ต้องเป็นห่วงไปครับเจ้านาย ผมพบคนที่จะร่วมธุรกิจด้วยแล้ว” ชาลส์ไม่ได้สนใจ เขากล่าวตอบอย่างสง่างามพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้าเขา

ชายชราคนนั้นไม่ได้พูดอะไร แต่เขามองชาลส์ด้วยความไม่แน่ใจ

ชาลส์กล่าวด้วยรอยยิ้มถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในเรือสำราญ

“คนที่ผมไปทักทายเมื่อครู่คือเฉินหลงที่มาจากจีนแผ่นดินใหญ่”

“ความจริงแล้ว ทุกๆครั้งที่เราดำเนินภารกิจ พวกเราจะต้องไปขอความช่วยเหลือจากคนอื่น นายคิดว่าเราควรจะฝึกกองกำลังส่วนตัวมาใช้เองไหม” ชายแก่ถามอย่างไม่มีหนทาง องค์กรของพวกเขาเองมีสิ่งที่ต้องทำมากมายแล้วพวกเขายังต้องขอให้คนอื่นช่วย นั่นทำให้คนแก่รู้สึกหมดหนทาง ในขณะเดียวกันพวกเขาก็ควรจะพิจารณาว่าควรฝึกกองกำลังของตนมาใช้เองหรือไม่

 

“เจ้านาย อย่าได้มีความคิดเช่นนั้นเลย เป้าหมายขององค์กรเราคือทำให้งานศิลปะพวกนั้นได้อยู่ในมือของคนที่ชอบ พวกเราเป็นโจรศิลปะมือดี อย่างไรก็ตาม หากว่าเราปล่อยให้พวกคนป่าคนเถื่อนเข้ามาร่วมองค์กรของเราแล้ว องค์กรของเราจะไม่บริสุทธิ์อีกต่อไป ดังนั้นแล้วเจ้านายครับ ผมไม่เห็นด้วยว่าจะลงทุนกับกองกำลังส่วนตัว ยิ่งไปกว่านั้นยังมีพวกโลภในโลกนี้อีก หากว่าเราต้องหารกองทัพมาสนับสนุนในอนาคต เราจะก็ไปหาพวกนั้นและใช้เงินสักหน่อยได้” ชาลส์ใส่ใจเรื่องตัวตนของเขา

 

“เอาล่ะ ฉันจะฟังนาย ฉันหวังว่าแผนนี้จะสำเร็จนะ” ชายแก่พยักหน้า

การจะฝึกกองกำลังส่วนตัว อย่างที่เขาเพิ่งคิดไปเมื่อครู่ ในตอนนี้ชาลส์ยังปฏิเสธไป

 

เฉินหลงตามแอนเดสไปยังปราสาท

ทิวทัศน์ตรงนี้สวยงามยิ่งนัก ภูเขา แหล่งน้ำ ทะเลสาบ และภาพสะท้อนปราสาทแต่ละหลัง ที่ทำให้คนผ่อนคลายและมีความสุข ทิวทัศน์นั้นทำให้ผู้คนต้องการจะมาใช้เวลาว่างที่นี่

“ที่นี่คือที่ที่ถ่ายซาวด์ออฟมิวสิคหรือเปล่า” จี้โม้ซีเดินแทรกมาและถามออกไป

“คุณนายเฉินคนสวย คุณช่างวิเศษจริงๆเลย ภาพยนตร์เรื่องนั้นจริงๆแล้วคือสิ่งที่พวกเราลงทุนในเวลาว่าง ผมคาดไม่ถึงว่าคุณจะเคยดูด้วยนะเนี่ย เป็นเกียรติจริงๆครับ” เมื่อได้ฟังคำของจี้โม้ซีแล้ว แอนเดสพลันส่งจูบแห่งคำเชยชมให้ทันที

 

อย่างเช่นว่าสภาแห่งความมืดที่เป็นองค์กรใหญ่ นั่นทำให้ไม่อาจจะรักษาไว้ได้โดยไม่มีรายได้ทางเศษฐกิจ ดังนั้นแล้วสภาแห่งความมืดจึงมีธุรกิจหลากหลาย ธุรกิจนี่เองก็ทำมาเพื่อหาเงิน

“จริงหรือ ฉันขอถ่ายรูปให้มากกว่านี้นะ” จี้โม้ซีถามไปอย่างตื่นเต้น ที่แบบนี้ ควรถ่ายรูปให้มากกว่านี้ แล้วค่อยส่งให้เพื่อนๆ ทำให้พวกนั้นอิจฉา

“แน่นอนว่าไม่มีปัญหาอะไรเรื่องนั้น ไม่ว่าคุณนายจะอยากถ่ายตอนไหน คุณนายก็ทำได้เลย แล้วก็คุณนายมาที่นี่บ่อยๆได้เพราะปราสาทนี่เป็นของคุณนาย นี่คือบ่อน้ำขอพรของสภาแห่งความมืด คุณเฉินโปรดอย่าปฏิเสธ” แอนเดสว่า และโค้งน้อยๆให้เฉินหลง

แม้ว่าเขาจะไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของเฉินหลง แต่จากสมาชิกร่วมแก็งของเฉินหลงแล้ว เขารู้ได้ว่าตัวตนของเฉินหลงนั้นไม่มีทางจะธรรมดาแน่ๆ ดังนั้นมารยาทจึงควรปฏิบัติอย่างดี