ตอนที่ 181 โดย Ink Stone_Romance
ตอนที่ 181 คืนดี (8)
เดิมทีลู่เยี่ยจิ่งไม่ได้ชื่อลู่เยี่ยจิ่ง เขามีชื่อของตัวเองในประเทศ U แต่ว่าพี่ชายต้องการจะเข้าใกล้อี้เป่ยซีมากกว่านี้ อยากจะเข้าใจประเทศของเธอและเข้าใจความชอบทั้งหมดของเธอ ทั้งๆ ที่สิ่งที่อี้เป่ยซีชอบคือสิ่งที่ดั้งเดิมที่สุดในประเทศ C ของพวกเขา พี่ชายของเขาวันๆ ‘ไม่ทำการทำงาน’ คอยศึกษาของเหล่านั้นด้วยความยากลำบาก
ชื่อของลู่เยี่ยหวากับลู่เยี่ยจิ่งรวมทั้งลู่เซิงสามชื่อนี้ เป็นชื่อที่พี่ชายของเขากับอี้เป่ยซีตั้งด้วยกัน
เขาเห็นความเปลี่ยนแปลงของพี่ชายทีละน้อย เขาไม่ขังตัวเองอยู่ในห้องอีกต่อไป ไม่โมโหโดยไม่มีเหตุผล ไม่ทำหน้าบึ้งตึงตลอดทั้งวันอีกต่อไป และไม่ทำเรื่องอะไรพิเรนทร์
พี่ชายกลายเป็นคนชอบยิ้ม ชอบพูดจา ทุกวันราวกับกำลังใช้ชีวิตอยู่ในไหน้ำผึ้งอย่างไรอย่างนั้น
ลู่เยี่ยจิ่งสูดหายใจลึก หันมองรูปถ่ายของเขา ลู่เยี่ยหวากับอี้เป่ยซีสามคน
ที่เขาก็นับว่าชอบอี้เป่ยซีสินะ
คุณหมอพันแผลของเขาแล้วออกไปอย่างเงียบๆ หลังจากเสียงปิดประตูแผ่วเบา ในห้องก็เข้าสู่ความเงียบงันโดยสิ้นเชิง
มันเริ่มตั้งแต่ตอนไหน? บางทีเขาเองก็ไม่รู้ มันเป็นตอนที่เธอรออี้เป่ยเฉินที่ประตูชั้นเรียนอย่างเขินอาย ตอนที่เธอจูงมือพี่ชายของตัวเองพร้อมรอยยิ้ม หรือว่าเป็นตอนที่เรียนภาษากับเธอ แล้วหัวเราะบอกว่าเขาไม่จริงจัง
หรืออาจจะนานกว่านั้น ตั้งแต่เมฆสีขาวก้อนนั้นที่ล่องลอยอย่างเชื่องช้าอยู่ในท้องฟ้าสีคราม
แต่ว่าอี้เป่ยซีไม่เคยเป็นของเขาเลย
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เขาก็รู้สึกมาโดยตลอดว่าคนอย่างอี้เป่ยซีก็ไม่มีทางเป็นของเขา
เพราะอะไร? เพราะอะไร? ลู่เยี่ยจิ่งมองดูผ้าพันแผลบนมือของตัวเอง รอบพันแต่ละวงนั้นแนบชิบกับบาดแผล เหมือนกับได้แยกชิ้นส่วนของความเปราะบางชิ้นนั้นออกไป
แม้ว่าเขาไม่เหมาะสม ลั่วจื่อหานก็ไม่สามารถเป็นคนดีของอี้เป่ยซีได้
อากาศที่ประเทศ U หนาวลงเรื่อยๆ หลายวันนี้อี้เป่ยซีตามลั่วจื่อหานไปเยี่ยมอาจารย์ของเขาที่โรงพยาบาล ชายชราพูดด้วยความยากลำบากเล็กน้อย ยังคงเล่าเรื่องตลกหลายเรื่องของลั่วจื่อหานในอดีตให้อี้เป่ยซีฟังด้วยความกะตือรือร้น
แต่เวลาที่อี้เป่ยซีมองไม่เห็น ชายชราก็เผยความเสื่อมถอยออกมา ไม่แตกต่างอะไรกับคนแก่ไม้ใกล้ฝั่งทั่วไป
เพียงไม่กี่วัน คุณหมอก็ไม่ปล่อยให้ชายชราออกมาอีกแล้ว ส่วนชายชราเองก็ไม่มีแรงที่จะเดินออกจากห้องคนไข้แล้วเช่นกัน
“เซี่ยเช่อ” อี้เป่ยซีพิงอยู่ที่กำแพงนอกห้องคนไข้ เธอสวมเสื้อผ้าชั้นหนามาก แต่ความเย็นยะเยือกของกำแพงยังคงจู่โจมเข้ากระดูกโดยตรงจนอดไม่ได้ที่จะตัวสั่น “ไม่มีหนทางแล้วจริงเหรอ?”
เซี่ยเช่อพยักหน้า ลั่วจื่อจี้ที่อยู่ด้านข้างก็มีสีหน้าเสียใจ เขาไม่สามารถช่วยพี่ชายได้ ไม่สามารถช่วยชีวิตอาจารย์ของเขาได้
“เป่ยซี ไม่เป็นไรหรอก อาจารย์อายุปูนนี้แล้ว ตอนนี้ก็พอใจมากแล้ว” เซี่ยเช่อตบๆ ไหล่ของเธอ เพิ่งจะสัมผัส อี้เป่ยซีก็ถูกคนข้างๆ ดึงเข้าไปกอด มือของเขาค้างเติ่งอยู่กลางอากาศครู่หนึ่ง ดึงมือกลับ
อี้เป่ยซีดวงตาแดงก่ำ สิ่งที่เธอหวงแหนจะต้องจากไปสักวันหนึ่งใช่ไหม เธอก้มหน้ามองรองเท้าไม่กี่คู่ที่อยู่บนพื้น เช่นนั้นพวกเขาและเธอ ยังมีเวลาเหลืออีกแค่ไหนกัน?
เธอจะสามารถจับมืออยู่เคียงข้างลั่วจื่อหานได้อีกนานแค่ไหน?
ลั่วจื่อหานอาจเป็นเพราะเดาความคิดในใจของเธอได้ จึงกอดเธอแน่นกว่าเดิมเล็กน้อย “ไม่เป็นไร เข้าไปเยี่ยมอาจารย์เถอะ”
อี้เป่ยซีพยักหน้า ขณะที่เปิดประตูมีบางอย่างที่สำคัญผ่านวูบเข้ามาในสมองว่าเราไม่สามารถควบคุมความเป็นไปของสรรพสิ่งได้ เธอเดินเข้าไปกับลั่วจื่อหานด้วยความกลัดกลุ้มใจเล็กน้อย
อากาศวันนี้แย่มาก อาการของชายชราบนเตียงก็แย่เช่นกัน เขาหรี่ตาครึ่งหนึ่ง เปลือกตาที่ใหญ่โตราวกับว่าได้บดบังดวงตาไว้ทั้งหมดแล้ว ภายในดวงตาที่พร่ามัวนั้นหลงเหลือเพียงความว่างเปล่าและความเลื่อนลอย
เขาหันหน้าด้วยความยากลำบาก เมื่อเห็นว่าเป็นพวกเขาสองคนก็ต้องการจะยิ้ม แต่มีเพียงกล้ามเนื้อด้านข้างที่กระตุก แม้แต่การยิ้มก็ทำไม่ได้แล้วเหรอ?
“พวกเธอมาแล้วเหรอ”
“อืม”
มือของเขาสั่นเทาเล็กน้อย ราวกับว่ามีพลังหยิบแปรงขึ้นมาสาดหมึกอยู่ในสตูดิโอที่ว่างเปล่าทั้งวันอีกครั้ง เขาเผยยิ้ม แล้วค่อยๆ ค่อยๆ หลับตาลง
อี้เป่ยซียกมือขึ้นกุมปาก น้ำตาเม็ดโตๆ ร่วงอยู่บนมือ ชวนให้เจ็บปวด
ลั่วจื่อหานกอดเธอ ลำคอขยับเขยื้อน ดวงตาก็แดงก่ำและเงียบงันเช่นกัน
“อา…” เซี่ยเช่อเดินมาข้างเตียง จัดแจงผ้าห่มของอาจารย์อย่างดีราวกับว่าเขากำลังหลับสนิท และเอ่ยสองสามคำเหมือนทุกครั้ง
“อาจารย์ อย่านอนดึกนะครับ”
งานศพถูกจัดขึ้นสิบวันหลังจากนั้น อาจารย์ไม่มีลูกเมียของตัวเอง และไม่มีทายาทของตัวเองหลงเหลืออยู่ งานศพถูกตระเตรียมโดยกลุ่มนักเรียนที่มีลั่วจื่อหานเป็นผู้นำ แม้จะไม่หรูหราแต่ก็ปราณีตเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ยังเข้ากับความชอบและอารมณ์ของอาจารย์ครั้นยังมีชีวิตอยู่ อี้เป่ยซียืนอยู่ข้างลั่วจื่อหาน ฟังคำสรรเสริญเยินยอของนักบวช เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นคุณยายแก่ๆ ที่สะอึกสะอื้นหนัก เธอหลบอยู่ด้านหลังผู้คนราวกับว่ากลัวจะมีคนเห็น
อี้เป่ยซีหลับตา
อาจารย์คะ เธอก็มาด้วย อาจารย์น่าจะดี…
จู่ๆ ก็เกิดความโกลาหลท่ามกลางฝูงชน อี้เป่ยซีกับลั่วจื่อหานหันไปพร้อมกัน ทิศทางเมื่อครู่ถูกล้อมไปด้วยผู้คนมากมาย อี้เป่ยซีมองลั่วจื่อหานด้วยความตื่นตระหนก เขาเข้าใจความหมายของเธอทันที เดินก้าวเข้าไปจัดการกับฉากปั่นปวนนั้น งานศพจึงดำเนินไปอย่างเรียบร้อยอีกครั้ง
หญิงชราลืมตาขึ้น พบว่าตัวเองอยู่ในห้องที่สะอาดสะอ้าน
“อาจารย์ม่อ ตื่นแล้วเหรอคะ” อี้เป่ยซีถือน้ำแก้วหนึ่งเดินเข้ามาพอดี “ดื่มน้ำก่อนเถอะค่ะ”
หญิงชราหยุดชะงักเล็กน้อย เธอพยายามลุกขึ้น อี้เป่ยซีเอื้อมมือออกไป เธอส่ายหน้า ลุกขึ้นมาเองแล้วรับน้ำอุ่นไว้
“เป่ยซี ทำไมเธอ…มาอยู่ที่นี่ได้”
“สวัสดีค่ะอาจารย์ อาจารย์มาได้ยังไงคะ ทำไมถึงเสียใจขนาดนั้น อาจารย์ต่งอยู่โรงพยาบาลตั้งนาน หนูยังไม่เคยเห็นอาจารย์มาเลย?”
เธอดื่มน้ำไปอึกหนึ่ง มองดูไอน้ำที่ลอยขึ้นมาช้าๆ ราวกับความคิดถูกดึงไปสู่อดีตอันยาวนาน “ฉันนึกว่า…ที่จริง ฉันก็เคยไป…เขาน่ะ…”
ลั่วจื่อหานเคาะประตู ได้ยินข้างในบอกให้เข้าไปได้จึงเดินเข้าไป ในมือถือกล่องผ้าใบหนึ่ง
“นี่คือของที่อาจารย์ทิ้งไว้ให้ครับ บอกว่าพอเขาไปแล้วให้เอาให้คุณ”
“ให้ ให้ฉัน?” เธอรับมาด้วยมือสั่นเทา แววตามีความเหลือเชื่ออยู่บ้าง เธอก้มหน้า ดวงตาระคายเคืองเล็กน้อย
“เป่ยซี ข้างล่างมีคนมาหาเธอน่ะ” ตอนแรกอี้เป่ยซีอยากอยู่ต่ออีกหน่อย แต่เมื่อได้ยินลั่วจื่อหานก็รู้ว่าตั้งใจให้เธอออกไป เธอพยักหน้า ออกไปพร้อมกันกับเขาแล้ว
“นายก็รู้เหรอ?”
แววตาของลั่วจื่อหานยังคงหนักอึ้งเล็กน้อย “เปล่า อาจารย์ไม่เคยพูดถึงเลย ถึงจะไม่บอกตรงๆ แต่เรื่องทุกเรื่อง พอดูจากพฤติกรรมกับปลายพู่กันแล้วมันชัดเจนมาก”
“ทำไมพวกเขาไม่ได้อยู่ด้วยกัน?”
“อาจเป็นเพราะนี่คือเรื่องราวของพวกเขา…”
————