ตอนที่ 182 โดย Ink Stone_Romance

ตอนที่ 182 ความเชื่อใจที่สั่นคลอน (1)

               แม้อี้เป่ยซีจะต้องการอยู่กับคุณแม่ต่ออีกหลายวัน ทางคณะก็จะไม่อนุญาตให้เธออยู่ต่ออีกแล้ว ลั่วจื่อหานก็ควรกลับไปจัดการเรื่องที่บริษัท ทั้งสองคนหารือกันว่าจะกลับไปวันอาทิตย์หน้า และยังสามารถอยู่ที่ประเทศ U ต่อได้อีกห้าหกวัน

            “พี่สาว ดอกไม้ให้พี่สาวครับ” เด็กน้อยตัวอ้วนกลมวิ่งมาหาอี้เป่ยซีด้วยขาที่สั้นป้อม เขาถือดอกกุหลาบช่อใหญ่ กลีบดอกไม้สีแดงสดบดบังวิสัยทัศน์ของเขา อี้เป่ยซีรีบเดินไปข้างหน้า กลัวว่าเขาจะหกล้ม

            เธอยิ้มรับดอกไม้ที่อยู่ในมือ แล้วลูบหัวปุกปุยของเขา “ใครเป็นคนให้เธอส่งมาเหรอ”

            ลั่วจื่อหานเหรอ? นอกจากเขาแล้วยังมีใครอีก อี้เป่ยซีมีคำตอบที่แน่วแน่อยู่ในใจแล้ว แต่เมื่อเห็นเด็กน้อยตัวจ้ำม่ำที่อยู่ตรงหน้า ก็อดไม่ได้อยากจะหยอกเขาสักหน่อย

            “คุณอาที่อยู่ตรงนั้น เขาบอกว่าเอาดอกไม้มาให้พี่สาวคนที่สวยที่สุด แล้วพี่สาวคนนี้จะพาผมไปซื้อลูกอมกิน”

            อี้เป่ยซีเอื้อมมือเขี่ยๆ จมูกของเขา “เธอนี่พูดเก่งจริงๆ งั้นเธอรู้ไหมว่าร้านขายลูกอมที่ใกล้ที่สุดอยู่ตรงไหน?”

            หัวกลมๆ ผงกอย่างแรงสองสามที อี้เป่ยซีเฝ้าอยู่ด้านหน้า “อยู่ที่คุณอาตรงนั้น ผมพาพี่สาวคนสวยไปได้นะ”

            “งั้นก็รบกวนเธอแล้ว”

            เด็กผู้ชายตัวน้อยยื่นมือของตัวเองออกมา “พี่สาว จูงมือ ระวังจะหลงนะ”

            อี้เป่ยซีหน้าแดง ลั่วจื่อหานทำไมถึงบอกกับเด็กน้อยทุกอย่างเลย ผู้ใหญ่อย่างเขาช่างหน้าไม่อายจริงๆ

            เธอยื่นมือออกมา จูงมือน้อยๆ ที่อ้วนกลมของเด็ก มันอ่อนนุ่มราวกับปุยเมฆ ความรักและความเอ็นดูก็ก่อตัวขึ้นโดยธรรมชาติ มือน้อยๆ ถูกมือของเธอห่อหุ้มไว้พอดิบพอดี ในวินาทีนั้นราวกับว่าตัวเองได้กุมโลกทั้งใบ

            ถ้าลูกของเธอยังอยู่ก็ดีสิ…

            หลังจากผ่านถนนไปหลายซอย อี้เป่ยซีก็มาถึงร้านขนมแห่งหนึ่งที่ถูกตกแต่งอย่างสวยงามมาก ดูแล้วลงทุนลงแรงไปไม่น้อย เธอมองไปรอบกาย คิ้วขมวดกันบางๆ

            ต่อให้ไวน์ดีแค่ไหนก็ไม่สู้ทำเลที่ตั้ง ร้านค้าดูมีราคาขนาดนี้ ทำไมถึงเลือกมาอยู่สถานที่ห่างไกลและไร้ผู้คนแบบนี้ได้

            อี้เป่ยซีเปิดประตูพร้อมกับเด็กชาย เสียงระฆังที่ประตูดังกรุ๊งๆ กริ๊งๆ ลูกค้าคนเดียวที่อยู่ในร้านหันมามองที่ประตู

            ทำไมถึงเป็นเขาได้!

            อี้เป่ยซีมองดอกไม้ที่ในอ้อมอกอย่างเหลือเชื่อ ตอนนี้พวกมันดูเหมือนสัตว์ร้ายสีแดงที่กำลังมองเธออย่างโกรธแค้น ทิ่มแทงร่างกายของเธออย่างหนักหน่วง เธอปล่อยมือทันที แล้วถอยหลังไปสองสามก้าว

            “แปลกใจมากเหรอ?” ลู่เยี่ยจิ่งเดินเข้าไปหาอี้เป่ยซี ยิ้มแสยะพร้อมกดเธอไปที่ประตู พ่นลมหายใจอยู่บนใบหน้าของเธอ “ไม่อยากเห็นฉันขนาดนี้เลยเหรอ”

            อี้เป่ยซีสูดหายใจลึก “ฉันนึกว่า พวกเราหายกันแล้ว”

            ลู่เยี่ยจิ่งหัวเราะ “ฉะนั้นนี่ก็เลยเป็นเหตุผลที่เธอตั้งใจล้มลงไปกับพื้นเหรอ?”

            อี้เป่ยซีเบิกตากว้าง “ไอ้คนชั่ว ต่อให้ฉันไม่อยากข้องเกี่ยวกับนาย ทำไมต้องเอาลูกตัวเองมาล้อเล่นด้วย”

            มือของเขาสัมผัสอยู่บนใบหน้าของอี้เป่ยซีอย่างละมุนละม่อม สัมผัสที่บางเบานั้นทำให้ขนลุกซ่าน “คิดอะไรอยู่เหรอ? คิดว่าเมื่อไรลั่วจื่อหานจะมาช่วยเธอ หรือว่าฉันจะบอกเรื่องนี้กับลั่วจื่อหานหรือเปล่า?”

        “ลู่เยี่ยจิ่งนาย…” อี้เป่ยซีมองทุกอย่างที่เกิดขึ้นตรงหน้าด้วยความประหลาดใจ สัมผัสอันเยือกเย็นบนริมฝีปากราวกับจะกัดกินเธอ เธอดิ้นรนสุดชีวิตแต่มันกลายเป็นสิ่งไร้ค่าภายใต้การควบคุมของเขา ทันใดนั้นเองคางของเธอก็สึกเจ็บ อี้เป่ยซีเปิดปากออกเล็กน้อย แล้วก็ถูกเขาบุกทะลวงเข้าไป

            เธอกัดลิ้นของเขาอย่างรุนแรง กลิ่นคาวเลือดแทรกซึมเข้าไปในปาก แต่ลู่เยี่ยจิ่งกลับเหมือนเป็นคนบ้า ไม่สนใจความเจ็บปวดยังคงเกี่ยวพันกับเธออยู่เนิ่นนานจึงปล่อยเธอไป

            เขาเกลียดเธอมาตลอดไม่ใช่เหรอ ตอนนี้ต้องการจะทำอะไรอีก?

            อี้เป่ยซีพิงอยู่บนกระจกอย่างอ่อนแรง น้ำตาไหลอาบสองแก้ม

            “ไปจากลั่วจื่อหานซะ”

            “เป็นไปไม่ได้”

            เขาหัวเราะเย็นชา “ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ พวกเธอสองคนเจอเรื่องนี้แล้ว ยังจะอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขได้เหรอ?”

            อี้เป่ยซีต้องการจะตบหน้าเขาด้วยพละกำลังทั้งหมดที่มี แต่ก็ถูกคว้าไว้กลางอากาศ “ไม่มีทาง ลั่วจื่อหานไม่มีทางเชื่อที่นายพูด”

            “ก็เพราะเธอคิดมาตลอดว่าเขาจะไม่เชื่อที่ฉันพูด เธอก็เลยทำแบบนี้? ไม่ใช่เหรอ?”

            “ลู่เยี่ยจิ่ง นายต้องการอะไรกันแน่?”

            เขาต้องการให้เธอทำอย่างไรกันแน่ถึงจะปล่อยเธอไป เธอทนทุกข์มามากเกินไปแล้ว และเธอก็ชดใช้มามากแล้ว จะต้องให้เธอทำอย่างไรถึงจะเป็นการชดใช้สำหรับหัวใจเขา เขาถึงจะพอใจและปล่อยเธอไป

            “อี้เป่ยซี” จู่ๆ ลู่เยี่ยจิ่งก็อ่อนโยนลง “ลั่วจื่อหานไม่เหมาะสมกับเธอ ถ้าเธอยังชอบเขาอยู่จะไปต่อกับอี้เป่ยเฉินก็ได้ แต่ว่าลั่วจื่อหานน่ะ เธออย่าไปแหยมกับเขาจะดีกว่า”

            “ลู่เยี่ยจิ่ง นายเห็นฉันเป็นอะไร?”

            “ฉันเตือนเธอด้วยความหวังดี ระวังตัวไว้ต่อไปเขาจะกินเธอจนไม่เหลือแม้แต่กระดูก”

            “ขอบคุณที่เตือน มีอะไรอีกไหม? ถ้าไม่มีแล้ว งั้นฉันก็ขอตัวก่อน”

            ลู่เยี่ยจิ่งลังเลครู่หนึ่ง จึงตัดสินใจพูดออกมา “อุบัติเหตุ ของพี่ชายฉันครั้งนั้น ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเธอหรอก มีคนใส่ยากล่อมประสาทในเหล้าของเขา ฉะนั้น เธอก็อย่าโทษตัวเองให้มากนักเลย?”

            “นายพูดอะไร? ใคร?”

            เขาพึมพำพร้อมหันหน้าไปอีกทาง “ฉันกำลังสืบเรื่องนี้ เธอไม่ต้องเป็นห่วง”

            “ถ้าหากมีข่าวอะไร ขอร้องนายบอกฉันหน่อยได้ไหม?”

            ลู่เยี่ยจิ่งหัวเราะ เอ่ยขึ้นอย่างโหดร้าย “บอกเธอ? ไม่ต้องพูดว่าเธอมีสิทธิ์อะไรหรอกนะ ขนาดคนที่นอนข้างเธอยังไม่บอกเธอเลย ทำไมฉันต้องบอกเธอด้วยล่ะ?”

            อี้เป่ยซีเดินอยู่บนถนนอย่างขวัญหนีดีฝ่อ เธอมองดูถนนสายเล็กๆ ตรงหน้า มันเหมือนกับถนนสายเล็กๆ ที่เธอผ่านมาก่อนหน้านี้ เธอทรุดตัวลงอย่างเศร้าโศก

            “ขนาดคนที่นอนข้างเธอยังไม่บอกเธอเลย ทำไมฉันต้องบอกเธอด้วยล่ะ?”

            “อี้เป่ยซี คนที่ใช้วิธีสกปรกเพื่อเข้าหาเธอทีละก้าวๆ เธอแน่ใจจริงๆ เหรอว่าอยากเดินต่อไปกับเขา?”

            “ถ้าหากการที่ทำร้ายเธอทำให้เขาบรรลุเป้าหมาย เขาก็เลือกที่จะทำแบบนั้นโดยไม่ลังเล จนป่านนี้เธอยังมองไม่ออกอีกเหรอ?”

            “ฉันมองไม่ออกหรอกนะว่าเขาชอบเธอหรือเปล่า แต่ว่าเธอค่อยๆ ถูกเขาผูกมัดอยู่ข้างกาย หรือว่าเธอไม่รู้สึกเหรอ? เชื่อใจอย่างไม่มีเงื่อนไข พึ่งพาเขาร้อยเปอร์เซ็นต์ อี้เป่ยซี เธอกลายเป็นวัตถุของเขาไปแล้ว”

            “วันนั้นที่แท้ง มันก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลแล้วล่ะมั้ง”

            “เธอชอบตำหนิว่าฉันทำอะไรลงไปบ้าง แต่ว่าสุดท้ายคนที่ทำร้ายเธอ จริงๆ แล้วก็เป็นคนที่เธอแคร์ที่สุดสินะ”

            อี้เป่ยซีกุมศีรษะ น้ำตาไหลลงมาเงียบๆ มันร่วงอยู่บนใบหน้าหยดแล้วหยดเล่า รอบกายเงียบสงบแทบจะไม่มีใครเดินมา ไม่มีใครรบกวนเธอ มีเพียงตึกสูงสีเทายืนตระหง่านอยู่ตรงนั้น ไว้อาลัยให้เธอ

        ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง พิธีกรรมยังคงดำเนินต่อไปโดยใช้น้ำตาของหัวใจที่แตกสลายและความสงสารของกำแพงสูงที่ไม่สามารถพูดออกมาได้

————