ตอนที่ 183 โดย Ink Stone_Romance
ตอนที่ 183 ความเชื่อใจที่สั่นคลอน (2)
บรรยากาศของความง่วงซึมเริ่มลอยเต็มอยู่ในอากาศ ในที่สุดโลกก็ทิ้งเธอไป แสงไฟในอาคารดับลงในจังหวะเวลาที่แตกต่างกัน แสงไฟสีเหลืองบนถนนส่องอยู่บนตัวเธอ เผยความอ่อนแอของเธออย่างไม่ปรานี เงามืดที่เกาะกลุ่มอยู่ด้วยกันสั่นไหวอยู่บนพื้นยาว
เสียงของรองเท้าหนังเลือนลานคืบคลานเข้าสู่บทโหมโรงของชีวิต อี้เป่ยซีลุกขึ้พรวดโดยไม่คิดอะไร เบื้องหน้ามืดสนิท เธอประคองกำแพงวิ่งไปข้างหน้าสุดชีวิต เสียงฝีเท้ายังคงตามเธอมาอย่างไม่รีบร้อน ราวกับเงาที่สะบัดไม่หลุด
ย่านเล็กๆ แห่งนี้เป็นเหมือนเขาวงกตที่สร้างมาอย่างดีและสร้างมาเพื่อเธอ ไม่ว่าเธอจะไปทางไหนก็เป็นวังวนซ้ำๆ ไม่มีที่สิ้นสุด เธอไม่เคยแยกแยะ ไม่เคยคิด ไม่เคยเลือกอย่างถูกต้อง ได้แต่ใช้การตัดสินใจของตัวเอง ไหลไปตามกระแสน้ำ และนี่ก็เป็นสิ่งที่เธอเลือกเอง
เธอหยุดอยู่ด้านหน้ากำแพง ไม่มีทางไปแล้ว เธอกำหมัดด้วยความดื้อรั้น ไม่ได้หันกลับไป เสียงรองเท้าหนังด้านหลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ กลิ่นของผู้ชายคนนั้นก็ยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
อารมณ์เขาคงแย่มาก กลิ่นที่เยือกเย็นอยู่แล้วผสมกลิ่นเหล้ากับบุหรี่จางๆ เผยความอิดโรยเล็กน้อย เขาหยุดอยู่ด้านหลังเธอ ไม่มีใครพูดจา คนหนึ่งยืนอยู่ข้างหน้าคนหนึ่งคืนอยู่ข้างหลังอยู่อย่างนี้ ยืนแข็งทื่ออยู่เนิ่นนาน นานจนกระทั่งอี้เป่ยซีรู้สึกเมื่อยขา คนที่อยู่ด้านหลังจึงพูดขึ้น
“เธอรู้แล้วสินะ”
อี้เป่ยซีกัดริมฝีปาก ข่มน้ำตาในดวงตาของตัวเอง
“เป่ยซี ฉันไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังเธอ ฉันแค่รู้สึกว่ามันไม่สำคัญก็เท่านั้น”
“ไม่สำคัญ?” ดวงตาของเธอแดงก่ำเนื่องจากความโมโห เสียงหัวเราะเยาะเย้ยแสบแก้วหูมากในเวลากลางคืน ลั่วจื่อหานขมวดคิ้ว “นายไม่รู้หรอกว่ามันมีความหมายอะไรกับฉัน นายไม่รู้หรอกว่าพ่อแม่ต้องทนทุกข์เพราะเรื่องนี้มากแค่ไหน พี่เป่ยเฉินต้องทรมานมากแค่ไหน ฉันต้องเสียใจมากแค่ไหน คนหลายคนต้องแบกรับไว้ แต่มันกลายเป็นเรื่องไม่สำคัญสำหรับนาย”
“ฉันคิดมาตลอดว่าเป็นเพราะฉัน…ไม่มีสักวันที่ฉันไม่รู้สึกผิด ไม่มีสักวันที่ฉันไม่รู้สึกว่าตัวเองไม่คู่ควรที่จะมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เรื่องพวกนี้ไม่สำคัญในสายตานายงั้นเหรอ?”
“เป่ยซี ร่างกายเธอยังไม่หายดี พวกเรากลับไปค่อยคุยกันดีไหม”
อี้เป่ยซียกมือขึ้นปาดน้ำตาบนใบหน้าของตัวเอง น้ำเสียงสั่นเครือ “มันเรื่อง…ไม่สำคัญ ทำไมคุณต้องเอามาใส่ใจด้วย”
“เป่ยซี ฉันยอมรับว่าเรื่องนี้ฉันมีส่วนที่ติดค้างเธอ เธอจะโกรธฉันก็ได้ แต่ว่าอย่าล้อเล่นกับร่างกายของตัวเองได้หรือเปล่า ฉันจะพาเธอกลับบ้านอี้ก่อนดีไหม”
“ไม่ต้องรบกวนคุณหรอก”
ลั่วจื่อหานควบคุมมือของตัวเองที่ต้องการจะยื่นออกไป ถอนหายใจอย่างผิดหวัง “ถ้าเธอไม่อยากเห็นหน้าฉัน…ฉันจะจากไปสักพักก็ได้…เธอต้องดูแลตัวเองให้ดี”
น้ำตาเม็ดโตของอี้เป่ยซียังคงร่วงลงมาอย่างไม่เชื่อฟัง มันก็เป็นความเจ็บปวดในสายตาของลั่วจื่อหานเช่นกัน
เมื่อเช้าเขาก็รู้แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่ว่าถูกงานที่บริษัทรัดตัวไว้จนปลีกตัวออกมาไม่ได้ คิดไม่ถึงว่ามันจะเป็นเรื่องที่เขาไม่ต้องการเห็นที่สุดจริงๆ
ตอนนี้เขาอยากให้อี้เป่ยซีเป็นเหมือนเมื่อก่อนเหลือเกิน เธอที่ไม่คิดจะสืบเรื่องราวให้ชัดเจนหรือคิดให้ชัดเจน เดินไปแต่ละก้าวอย่างซึมกะทือและเชื่อในคำพูดของเขาอย่างใสซื่อ
แต่ว่านะ มันเป็นไปไม่ได้ ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถแสร้งทำเป็นไม่รู้ แสร้งว่ามันผ่านไปแล้ว แสร้งว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“เป่ยซี ฉันจะให้คนขับรถที่บ้านมารับเธอ เธอ อย่าหนีอีกเลย…”
ฉันขอโทษที่ฉันทำร้ายเธอ แต่ว่าฉันในตอนนั้นคิดวิธีอื่นไม่ออกจริงๆ วิธีที่จะทำให้เธอมาอยู่ข้างกายฉัน
ลั่วจื่อหานเห็นว่าคนที่อยู่เบื้องหน้าไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง ย่างก้าวดูสับสนราวกับว่ากำลังหลีกเลี่ยงอะไรบางอย่าง หันหลังจากไป อี้เป่ยซีมองดูแหวนบนมือของตัวเอง มันส่องประกายมืดมนภายใต้ค่ำคืนที่มืดมิด อี้เป่ยซียื่นมือถอดมันออกมาอย่างแรง ขว้างไปยังลั่วจื่อหาน มันร่วงลงพื้นพร้อมเสียงที่แจ่มชัด
ร่างของลั่วจื่อหานเอนไหว แต่ยังคงเดินไปข้างหน้า จนกระทั่งเขาลับสายตาไปอย่างสมบูรณ์แล้ว อี้เป่ยซีจึงวิ่งไปยังที่ที่แหวนหล่น ลูบคลำทั่วพื้นแต่หาไม่เจอ
หายแล้วก็หายไปเถอะ แม้ว่าเธอต้องการจะเอามันคืนมา มันก็คงไม่ยอมกลับมาแล้ว
จู่ๆ อี้เป่ยซีนึกถึงคำที่พี่ชายพูดกับตัวเองในอดีต
“พระเอกพวกนั้นมีอะไรดี เธอถึงได้ร้องไห้ฟูมฟายขนาดนี้”
“พี่ดูสิว่าพวกเขาดีกับนางเอกมากแค่ไหน ตอนที่โลกทั้งใบไม่สนใจนางเอก ก็เป็นที่พึ่งเดียวของนางเอก เป็นท้องฟ้าของนางเอก คอยปกป้องเธอ ไม่ยอมให้เธอเป็นอันตราย แต่ว่า เฮ้อ…”
อี้เป่ยเฉินจมอยู่ในความคิดครู่หนึ่ง “เป่ยซี”
“หืม?”
“เธอเคยคิดหรือเปล่าว่าเพราะเขาทำลายทุกอย่างของเธอ สุดท้ายก็เลยเป็นที่พึ่งสุดท้ายของเธอ พระเอกพวกนั้นน่ะ ไม่ได้คอยยืนปกป้องนางเอกจากข้างหลังหรอก แต่บีบบังคับให้พวกเธอต้องเลือกที่จะอยู่ใต้ร่มเงาของพวกเขา”
“พี่เป่ยเฉิน พี่คิดในแง่ร้ายเกินไปแล้ว”
“เธอคิดน้อยต่างหาก…”
รถลีมูซีนจอดอยู่ด้านหน้าอี้เป่ยซี คนบนรถรีบวิ่งเข้ามาหาอีเป่ยซี “เสี่ยวซี เสี่ยวซี เป็นอะไรไป? เกิดอะไรขึ้น?”
“พ่อคะ” อี้เป่ยซีกอดอี้เฉิง ร้องไห้หนักกว่าเดิม
“เอาล่ะๆ เป่ยซี พ่ออยู่นี่แล้ว ไม่เป็นไรแล้วนะ พ่ออยู่นี่แล้ว”
เมื่อกลับมาถึงบ้าน อี้เป่ยซีร้องไห้จนหลับไปแล้ว อี้เป่ยซีอุ้มลูกสาวที่รักของตัวเองออกมาอย่างระมัดระวัง คุณแม่รีบเข้ามาสมทบ เขารีบแสดงอาการให้เธอเงียบเสียง
“เป็นอะไรไป?”
“ไม่รู้ สงสัยทะเลาะกับลั่วจื่อหานมั้ง” เมื่อได้ยินชื่อของลั่วจื่อหาน อี้เป่ยซีก็ขมวดคิ้วอีกครั้ง จากนั้นก็ผ่อนคลาย แต่ว่ายังคงมีท่าทางทรมานมาก
คุณแม่อี้ช่วยเหลือพร้อมเดินอยู่ข้างพวกเขา “ก็ดีๆ อยู่ไม่ใช่เหรอ ทำไมจู่ๆ ก็เกิดเรื่องแบบนี้ได้ ไม่ได้ เดี๋ยวฉันจะต้องถามพวกเขา”
“เรื่องของลูกคุณอย่าเข้าไปยุ่งเลย”
“แต่ฉันจะมองดูเป่ยซีถูกลั่ว…” คุณแม่อี้เห็นคิ้วของอี้เป่ยซียับย่นอีกครั้ง รีบเปลี่ยนคำพูด “ถูกเด็กบ้านั่นรังแกไม่ได้หรอกนะ”
“ตอนนี้เรียกได้ว่าเขาอยู่ในโอวาทลูกสาวคุณจะตาย อยู่ในกำมือทุกวัน จะรังแกเขาได้ยังไง”
คุณแม่อี้ก็เห็นด้วย แล้วอะไรที่ทำให้อี้เป่ยซีร้องไห้เสียใจขนาดนี้ล่ะ เธอมองอี้เฉิงราวกับกำลังขอความช่วยเหลือ สามีของเธอก็ได้แต่ส่ายหน้า เขาก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนถึงได้เปลี่ยนไปกะทันหันเช่นนี้
อี้เฉิงวางอี้เป่ยซีลงบนเตียงอย่างระมัดระวัง แล้วช่วยห่มผ้าให้เธอ ออกไปจากห้องด้วยกันกับคุณแม่อี้
“เป่ยซีผอมลงเยอะเลย”
————