ตอนที่ 184 โดย Ink Stone_Romance

ตอนที่ 184 ความเชื่อใจที่สั่นคลอน (3)

             เมื่อห้องเข้าสู่ความมืดมิด อี้เป่ยซีจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้น คำพูดของความเป็นห่วงเป็นใยเหมือนปกติลอยเข้าหูของเธอ อี้เป่ยซีหันไป น้ำตาร่วงอยู่บนหมอนสีทึบ วงกลมสีเข้มค่อยๆ ขยายออก กลืนกินสีอันผ่อนคลายที่อยู่เคียงข้างกัน

            เมื่อถึงวันสุดสัปดาห์ วันที่ทั้งสองคนตกลงว่าจะจากไปพร้อมกัน อี้เป่ยซียืนอยู่ข้างหน้าต่าง มองไปข้างนอกด้วยความเลื่อนลอยเล็กน้อย หัวใจเหมือนถูกเส้นด้ายบางๆ มัดไว้ ทุกครั้งที่นึกถึงเขามันก็จะรัดแน่นจนฝังเป็นรอยแผลไขว้กัน และน้ำตาก็ไหลออกมาเป็นสายเลือด

            “เป่ยซี” คุณแม่อี้เปิดประตู ลูกสาวของตัวเองยังคงมีท่าทางเหมือนร่างไร้วิญญาณ เธอเป็นกังวลเล็กน้อย กลัวว่าสถานการณ์จะเป็นเหมือนตอนนั้นอีกครั้ง

            หลังจากลู่เยี่ยหวาตายแล้ว อี้เป่ยซีสามารถดึงเธอออกมาได้ แต่ว่าตอนนี้มีเพียงลั่วจื่อหานที่เป็นผู้ช่วยชีวิตหนึ่งเดียวของเธอ แต่ก็เป็นเขาอีกเช่นกันที่ทำร้ายเธอจนจมลึก ถ้าหากเกิดเรื่องอะไรกับอี้เป่ยซีอีก เธอก็คิดวิธีไม่ออกแล้วจริงๆ…

            อี้เป่ยซีก้มหน้ามองมือของตัวเอง เธออยากกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อนที่ยังคงหัวเราะได้อย่างเต็มที่ แต่ว่ามันเหนื่อยมากจริงๆ เหนื่อยเกินไปแล้ว เหนื่อยจนเธอไม่อยากตอบสนองใดๆ ไม่อยากคิดอะไรทั้งนั้น แค่นั่งเงียบๆ อยู่ตรงนี้ ราวกับว่าได้พลังงานทั้งหมดของเธอได้ถูกสูบไปหมดแล้ว

            “ลั่วจื่อหานรอลูกอยู่ข้างล่าง…ลูก ยังอยากจะไปเจอเขาไหม?”

            อี้เป่ยซีส่ายหน้า ผมที่ไม่ได้รับการหวีร่วงอยู่บนขนตา ดวงตาเธอสั่นไหวเบาๆ ไม่มีการเคลื่อนไหวอื่น

            “ได้ แม่จะให้เขากลับไป”

            คุณแม่อี้ยังคงปิดประตูลงด้วยความเป็นห่วงเล็กน้อย เมื่อเห็นลั่วจื่อหานจากบนบันไดก็รู้สึกโมโห ไหนบอกว่าจะปกป้องเป่ยซีอย่างดี จะไม่ให้ลูกสาวของเธอต้องเจ็บช้ำน้ำใจแม้แต่น้อย แล้วตอนนี้ล่ะ ตอนนี้เขาทำให้อี้เป่ยซีกลายเป็นอะไรไปแล้ว

            “เป่ยซีไม่อยากเจอเธอ เธอกลับไปเถอะ”

        ร่างของลั่วจื่อแข็งทื่อ ความผิดหวังอันหนักอึ้งผุดขึ้นในดวงตา เขาลุกขึ้นยืน ยังคงมีท่าทีนอบน้อม “คุณน้าครับ งั้นรบกวนคุณน้าบอกเป่ยซีว่าผมจะรอเขาที่สนามบิน ฝากด้วยนะครับ” พูดแล้วก็โค้งต่ำอย่างเป็นทางการมาก

            คุณแม่อี้ขมวดคิ้ว พยักหน้าอย่างไม่เต็มใจนัก “ถ้าเป่ยซีไม่ไป เธอก็กลับไปก่อนเถอะ”

            เขาหัวเราะ เจือปนความจนใจและอ้างว้าง “ไม่ล่ะครับ ผมจะรอเขาเสมอ”

            หลังจากอี้เป่ยซีรู้แล้วพูดเพียง ‘อืม’ คำเดียว  ยังคงยืนเหม่ออยู่ข้างหน้าต่าง จ้องมองท้องฟ้าที่มืดลงทุกที

            ท้องฟ้าที่สนามบินก็เหมือนกับท้องฟ้าเหนือศีรษะของอี้เป่ยซี มืดมิดจนแทบจะหยดหมึดออกมาได้ ทั้ง ๆ ไม่มีเมฆบนท้องฟ้า แต่กลับไม่มีดาวสักดวงหรือแม้แต่แสงจันทร์ ราวกับว่าทุกอย่างต่างถูกซ่อนตัว ถูกเก็บไว้และจากไปแล้ว

            ลั่วจื่อหานนายเคยพูดว่าพระอาทิตย์ขึ้นแล้ว แต่ว่านายไม่เคยบอกฉันว่าหลังจากพระอาทิตย์ขึ้นแล้ว ค่ำคืนจะยิ่งมืดมิด ยิ่งหนาวเหน็บและยิ่งยาวนานกว่าเดิม

            ฉันเคยคิดว่านายคือแสงสว่างของโลก ตอนนี้ถึงได้พบว่า นายไม่เพียงต้องการส่องสว่างโลกของฉันแต่สุดท้ายก็เอาทุกอย่างกลับไป หลังจากนั้นแม้จะมีแสงอาทิตย์ฉันก็มองไม่เห็นอีกแล้ว และไม่ต้องการเห็นอีกต่อไปแล้ว

            เธอสามารถยอมรับแผนหรือการจัดการเล็กๆ ในชีวิตรักได้ สามารถยอมรับการปรับใช้ผลประโยชน์เป็นครั้งคราวได้ แต่ว่าเธอรับไม่ได้จริงๆ รับไม่ได้จริงๆ ที่เขาเล่นตลกกับเธอเหมือนเป็นคนโง่ เหมือนกับพระเจ้าที่กำลังดูแคลนเธอ

            ทั้งๆ ที่เขารู้ถึงสาเหตุความทุกข์ใจทั้งหมด แต่ว่าทำไมถึงไม่บอกเธอ ทำไมไม่ช่วยเธอพิสูจน์ ทำไมถึงลงมือหลังจากที่เธอเดินผ่านขวากหนามมาแล้ว และบอกว่าไม่เป็นไรหลังจากที่ได้รับบาดเจ็บแล้ว

            ทั้งๆ ที่สามารถหลีกเลี่ยงเรื่องทั้งหมดนี้ได้…ทำให้เธอสามารถรักใครสักคนอย่างกล้าหาญได้ ทำให้เธอมีความสุขโดยปราศจากภาระใดๆ ได้ และไม่ต้องทรมานกับการดูถูกมากมายเพียงนี้…

            อี้เป่ยซีค่อยๆ ทรุดตัวลงไปกับพื้น บอกไม่ได้ว่าเกลียดชังหรือชอบลั่วจื่อหาน ทุกครั้งที่ยื่นมือออกไปคนที่ช่วยเหลือคือเขา แต่ว่าคนที่ทำให้เธอตกที่นั่งลำบากก็คือเขา ตอนนี้เธอไม่มีทางที่จะเผชิญหน้ากับเขาอีก

            เมื่อคิดว่าจะจากเขาไปในใจก็ทรมาน แต่ว่าเมื่อเจอหน้าเขาก็รู้สึกเสียใจ

            “ลั่วจื่อหาน ทำไมนายต้องทำแบบนี้ด้วย เพราะอะไร…”

            ลั่วจื่อหานยังคงรออยู่ที่ทางเข้าสนามบิน รถมุ่งหน้าไปยังสนามบินคันแล้วคันเล่า เขาไม่มีความสุขเลยแม้แต่วินาทีเดียว เขารู้ว่าอีเป่ยซีจะไม่มา แต่ว่าก็ยังอยากทำแบบนี้ ยังอยากรออย่างไร้ความหมาย เขาไม่มีทางเลือกนอกจากทำเช่นนั้น

            เขารู้ดีว่าว่าเบื้องหลังของบ้านลู่เซิงเป็นอย่างไร ดังนั้นจึงรู้สึกว่าในเมื่อไม่ได้สนิทสนมกับลู่เยี่ยหวามาก ก็ไม่มีความจำเป็นต้องตำหนิเธอเพื่อเขา แต่ว่าลั่วจื่อหานกลับคิดไม่ถึงว่าพ่อแม่ของลู่เยี่ยหวาจะไกล่เลี่ยมาถึงขั้นนี้ เขาก็แค่สงสัยจึงส่งคนไปสืบดู เมื่อผลมาอยู่ในมือของเขาแล้ว ลั่วจื่อหานก็คิดมาโดยตลอดว่าจะบอกเรื่องนี้กับเป่ยซีเมื่อไรดี

            เขาไม่กล้าและไม่แน่ใจ…เขาไม่แน่ใจว่าเขาจะชนะความรู้สึกที่อี้เป่ยเฉินอยู่กับเธอมานานหลายปีได้หรือเปล่า

            โทรศัพท์มือถือในกระเป๋าดังขึ้นอย่างบ้าคลั่ง ลั่วจื่อหานมองดูสายเรียกเข้า คิ้วขมวดกันแน่น เขาโทรมาทำไม?

            “ฮัลโหล”

            “ได้ยินว่านายยังรอคนอยู่ที่สนามบิน ยอมแพ้ซะเถอะ อี้เป่ยซีไม่กลับไม่กลับมาหรอก หืม เป็นไงล่ะ จะแกล้งทรมานตัวเองเพื่อเรียกร้องความสงสารจากอีกฝ่ายงั้นเหรอ สมใจแล้วสิ ผ่านครั้งนี้ไปใครเขาจะติดกับนายง่ายๆ อีกล่ะ”

            “นายแค่คิดจะมาหัวเราะเยาะฉันเหรอ?”

        ในตอนนั้นอารมณ์ลู่เยี่ยจิ่งดีมาก เมื่อได้ยินคำพูดของเขาสีหน้าก็มืดมนลง เจือปนความอันตรายเล็กน้อย “เปล่า ฉันอยากร่วมมือกับนาย”

            “ทำไมนายถึงคิดว่าฉันจะช่วยนาย”

            “นี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่นายจะกู้ภาพลักษณ์ของนายกลับมาไม่ใช่เหรอ ถึงยังไงเป่ยซีก็เกือบจะได้เป็นซ้อใหญ่ของฉันแล้ว ถ้านายช่วยซ้อใหญ่ของฉันคนนี้ลงโทษแล้วฆ่าฉัน…คนของพี่ชายฉัน เธอจะซาบซึ้งในตัวนายมากแค่ไหน”

            มือของลั่วจื่อหานบีบแน่น “ไม่สนใจ”

            “ลั่วจื่อหาน หรือว่านายจะทิ้งโอกาสชิ้นใหญ่ขนาดนี้ไปเหรอ? ตามจมูกนักธุรกิจของนายแล้ว นายก็รู้ว่าถ้าช่วยฉัน นายจะได้ผลประโยชน์มากแค่ไหน”

            “ฉันถูกจมูกนักธุรกิจทำร้ายจนน่าสมเพศไม่พออีกเหรอ?” ลั่วจื่อหานวางสาย หัวเราะขมขื่น

            “คุณชาย”

            ลั่วจื่อหานโบกมือ “ไปบ้านอี้”

            ไฟในห้องของอี้เป่ยซียังคงสว่างอยู่ สามารถมองเห็นเงาที่อ่อนแอได้จากชั้นล่าง ลั่วจื่อหานอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือออกไป ค่อยๆ วาดเป็นเค้าโครง

            เป่ยซี ฉันยอมรับผิดแล้ว เธอจะยกโทษให้ฉันได้หรือเปล่า?

            ทันใดนั้นหมัดหนักก็กระแทกลงบนหน้าใบหน้าครึ่งหนึ่งของเขา ของเหลวอุ่นๆ ไหลออกมาจากมุมปาก เขาเช็ดออกเงียบๆ

            “ลั่วจื่อหาน ฉันมองนายผิดไปจริงๆ” เซี่ยเช่อกำหมัดแน่น หน้าอกยังคงกระเพื่อมไม่หยุด กำลังง้างมืออีกครั้งก็ถูกหลานฉือเซวียนรีบรุดมาคว้าไว้

        “เซี่ยเช่อ ลั่วจื่อหานก็ทรมานมากนะ”

        “ทรมาน ตอนนี้เขาทรมานก็ไม่เท่าหนึ่งในหมื่นของเป่ยซีหรอก นายรู้ไหมว่าเขาอยากจะจบชีวิตของตัวเองเพราะเรื่องนี้กี่ครั้ง? แต่ว่านายที่รู้ความจริงทำอะไรอยู่ เอาความทุกข์ของอี้เป่ยซีทั้งหมดมาเป็นเครื่องมือของตัวเอง ลั่วจื่อหานนายทำให้ฉันเกลียดจริงๆ”

————