ตอนที่ 185 โดย Ink Stone_Romance

ตอนที่ 185 ความเชื่อใจที่สั่นคลอน (5)

             มือของลู่เยี่ยจิ่งไม่ได้ออกแรงอะไร อี้เป่ยซีดึงผมของตัวเองออกมาอย่างง่ายดาย ถอยหลังไปสองสามก้าว รักษาระยะห่างระหว่างคนสองคน

            ท่าทางที่ดูเหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้มของลู่เยี่ยจิ่งน่ากลัวมากจริงๆ เธอเหมือนกับว่าเคยเห็นรอยยิ้มแบบนี้ของลู่เยี่ยหวามาก่อน แม้จะไม่ได้ยิ้มให้เธอแต่กลับทำให้รู้สึกขวัญหนีดีฝ่อเล็กน้อย

            เพราะว่าเป็นพี่น้องกัน ฉะนั้นจึงมีหลายอย่างที่เริ่มเหมือนกันงั้นเหรอ? ลู่เยี่ยจิ่ง…จะเหมือนกับลู่เยี่ยหวาหรือเปล่า…อี้เป่ยซีรีบส่ายหน้า แล้วถอยไปอีกสองสามก้าว จนกระทั่งชนกับชั้นวางหนังสือของตัวเองจึงหยุด มองลู่เยี่ยจิ่งอย่างระแวดระวัง

            “นายก็รู้เรื่องหมดแล้ว…พวกเราก็ไม่น่าจะมีอะไรเกี่ยวข้องกันอีกแล้ว”

            ลู่เยี่ยจิ่งยิ้ม “ทำไมจะไม่เกี่ยวล่ะ?” เขากำลังจะเดินไปข้างหน้า ประตูก็ถูกคนเปิดพรวด ทันทีที่อี้เป่ยซีเห็นคนที่เข้ามาก็ต้องการวิ่งไปยังทิศทางของเขาตามจิตใต้สำนึก สุดท้ายก็ได้แต่ก้าวถอยหลัง ก้าวกลับมาอย่างเขินอายอีกครั้ง ก้มหน้า ไม่มองใครทั้งนั้น

            ลั่วจื่อหานสังเกตเห็นความเคลื่อนไหวน้อยๆ ของอี้เป่ยซี คิ้วขมวดกันแน่น แววตาที่มองลู่เยี่ยจิ่งยิ่งเปี่ยมด้วยความเกลียดชัง แม้แต่เจือปนการกล่าวโทษเล็กน้อย

            “ถ้างั้นอาซ้อ พวกเราก็ตกลงตามนี้” ลู่เยี่ยจิ่งยังคงยิ้มน้อยๆ กวาดสายตาเห็นสีหน้าที่บึ้งตึงของลั่วจื่อหานแล้วก็ยิ่งรู้สึกมีความสุข พูดจบก็ยังเดินผ่านไหล่ของลั่วจื่อหานออกจากห้องไป ปิดประตูอย่างแผ่วเบา วินาทีที่ประตูปิดลง ในห้องก็เข้าสู่ความเงียบงัน

            ลั่วจื่อหานเพียงแต่มองสำรวจเธออย่างลึกซึ้งอยู่ข้างๆ และไม่ได้พูดอะไร คลื่นความรู้สึกแปลกประหลาดมากมายกลับท่วมท้นในใจ มือสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้ สีหน้ายิ่งดูแย่ลง

            อี้เป่ยซีก้มหน้าต่ำ ไม่ได้สังเกตถึงเรื่องเหล่านี้ กลิ่นของฮอร์โมนที่คุ้นเคยอบอวลอยู่ในอากาศ หัวใจของเธอเต้นถี่ขึ้นเล็กน้อย ไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้สึกขาอ่อน บนหน้าผาก็มีเหงื่อเย็นๆ ซึมออกมา

            คนหนึ่งไม่ยอมมองตรงๆ อีกคนหนึ่งก็ไม่ยอมปลอบประโลม ได้แต่ยืนแข็งทื่ออยู่ในมุมเล็กๆ อยู่อย่างนั้น

            จนกระทั่งโทรศัพท์มือถือของอี้เป่ยซีส่งเสียงเพลงที่ไม่เข้ากันอยู่บนโต๊ะ ทั้งสองคนราวกับว่าได้รับนิรโทษกรรม ถอนหายใจอย่างแรง เธอรีบวิ่งไปรับสาย

            “ฮัลโหล”

            “เป่ยซี ลงมาสิ พี่จะพาเธอไปที่นึง”

            แม้ว่าอี้เป่ยซีจะบังคับตัวเองไม่ให้สนใจเขา ไม่ให้มองเขาอย่างไร เงาของลั่วจื่อหานก็ยังคงอยู่ที่มุมสายตาที่ไหนสักแห่ง แม้จะเป็นแค่มุมแต่ก็ดึงดูดความสนใจทั้งหมดของเธอ “ได้ ฉันจะลงไปเดี๋ยวนี้”

            อี้เป่ยซีกำโทรศัพท์มือถือแน่น ลั่วจื่อหานขวางหน้าประตูพอดี ถ้าจะออกไปก็ต้องเดินผ่านเขา แต่ว่าเธอไม่อยากเข้าใกล้เขาเลยจริงๆ ไม่อยากได้กลิ่นที่ยังคงทำให้เธอรู้สึกสบายใจ ไม่อยากมีปฏิสัมพันธ์ใดๆ กับเขา เธอลังเลราวกับว่าเจอคนแปลกหน้าอย่างไรอย่างนั้น

            “ฉัน จะออกไป”

            ลั่วจื่อหานดูเหมือนเพิ่งดึงสติกลับมา “อ่อ”

            ‘อ่ออะไรล่ะ นายดูไม่ออกหรือไงว่าตัวเองขวางทางอยู่’ มือของอี้เป่ยซีที่กำโทรศัพท์มือถือออกแรงอย่างช่วยไม่ได้ “ฉัน ต้องออกไป”

            “ฉันรู้แล้ว”

            ‘นายรู้แล้วทำไมไม่หลีกทาง?’ ราวกับว่าเพื่อยั่วโมโหอี้เป่ยซี ลั่วจื่อหานก้าวถอยหลังไปสองสามก้าว และขวางประตูพอดิบพอดี ครั้งนี้ถึงอย่างไรก็ออกไปไม่ได้นอกเสียจากว่าเขาจะหลีกทาง

            อี้เป่ยซีทั้งรู้สึกสงสัยและน่าขัน เขาต้องการจะทำอะไรกันแน่ ทั้งสองคนยืนอยู่ตรงนั้นโดยไม่พูดกันสักคำ กะจะมองตากันแบบนี้ตลอดไปหรือยังไง? ลั่วจื่อหานมีอารมณ์ผ่อนคลายแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน แล้วยังมาเป็นในเวลานี้ด้วย

            เธอไม่ต้องพูดอะไรมากอีก ในเมื่อเขาอยากยืนหน้าประตูก็ยืนไปเถอะ อี้เป่ยซีวางโทรศัพท์ในมือลงบนโต๊ะเสียงดังปัง กัดฟันโดยไม่รู้ตัว ลากเก้าอี้อย่างแรงแล้วนั่งลงหน้าโต๊ะเปิดหนังสือ

            มีสิ่งผิดแปลกบางอย่างล่องลอยอยู่ในอากาศ อี้เป่ยซีรู้สึกราวกับว่าอากาศรอบตัวล้วนมีจังหวะเต้นของหัวใจ แม้แต่หนังสือที่อยู่ในมือก็พลอยติดเชื้อไปด้วย เธอพยายามสงบสติอารมณ์ แต่ว่าผ่านไปสักพักใหญ่เธอก็ยังคงอยู่ที่ประโยคแรก เธอดึงๆ ผม วางหนังสือลงด้านข้างแล้วเปิดคอมพิวเตอร์

            อี้เป่ยซีเปิดเครื่องเล่นเพลงของตัวเอง จึงพบว่าในเพลย์ลิสมีแต่เพลงที่ลั่วจื่อหานร้องเพลงนั้นในหลากหลายรูปแบบ มีเวอร์ชั่นต่างๆ ซ้อนกันในเพลย์ลิสต์ของตัวเอง ไฟล์เพลงโปรดของฉันปรากฏขึ้นตรงหน้าเธอ

            เพราะเธอตั้งความหวังไว้สูงเกินไป อี้เป่ยซีกดลบทีละเพลง มองดูรายการที่ค่อยๆ ว่างเปล่า ในใจก็ว่างเปล่าตามไปด้วย ในขณะที่เธอกำลังจะลบไฟล์ต้นฉบับสุดท้ายทิ้ง มืออันใหญ่โตก็วางอยู่บนหลังมือของเธอ ลูกศรที่อยู่บนปุ่มลบกลับไปอยู่ที่ปุ่มเล่น เสียงของลั่วจื่อหานที่ดังขึ้นไร้ความอบอุ่น แต่โดดเดี่ยวและอ้างว้างภายในห้องเล็กๆ ทันใดนั้นน้ำตาก็ของอี้เป่ยซีก็พลันร่วงหล่นแล้ว

            ลั่วจื่อหานดึงอี้เป่ยซีเข้ามาในอ้อมกอดของตัวเองเงียบๆ เมื่อเห็นว่าเธอไม่ขัดขืน จึงถอนหายใจโล่งอก

            ฉากในอดีตวูบผ่านในสมองของอี้เป่ยซีอย่างรวดเร็วพร้อมกับเสียงดนตรี การพบหน้าที่เลือนลางในวัยเด็ก การพบกันอีกครั้งในสภาพสะบักสะบอม ลั่วจื่อหานที่อยู่เคียงข้างเธอตลอดเวลา ฉากที่เขาสาบานกับเธอว่าจะอยู่กับเธอตลอดไป ฝังรากลึกราวกับว่าเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน ราวกับว่าพอหลับไปแล้วเรื่องทั้งหมดก็จะเปลี่ยนแปลงจนทำให้โลกสั่นสะเทือน

            เธอรู้สึกเจ็บปวดในใจอีกครั้ง ผู้ชายคนนั้นที่เห็นเธอเป็นผู้กอบกู้ เขายอมลดตัวขนาดนี้ ลดตัวจนเป็นเพียงคนธรรมดาเพื่อให้ได้รับการดูแลจากเธอ ทั้งๆ ที่เขาอยู่สูงแบบนั้น กลับยอมที่จะเดินเข้าไปในโคลนตม…

            ลั่วจื่อหาน นายคือลั่วจื่อหานนะ นายผิดตั้งแต่แรกแล้ว แต่ว่าทำไมต้องผิดด้วยล่ะ?

            อี้เป่ยซีไม่รู้ว่าตัวเองยังตำหนิเขาอยู่อีกไหม ยังรู้สึกไม่อยากเข้าใกล้เขาอยู่หรือเปล่า เธอรู้เพียงแค่ในใจราวกับมีความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้เพิ่มขึ้นมา และเมื่อคิดถึงมันแล้วก็จะรู้สึกปวดใจ ปวดใจเหลือเกิน

            พวกเขาไม่ควรเป็นแบบนี้ และเธอก็ไม่ควรเป็นแบบนี้

            ถ้าหากไม่ได้เจอกันก็ดีสิ

            เสียงของโทรศัพท์มือถือดังขึ้นอีกครั้ง หลังจากผ่านไปเนิ่นนานจึงเงียบไป แล้วก็ดังอีกครั้งเล่าครั้งเล่า ราวกับว่าถ้าไม่รับก็จะไม่หยุดอย่างไรอย่างนั้น

            “บ้าจริง ถ้าเธอไม่รับอีกพี่ก็จะบุกขึ้นไปแล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นนี่นา มีคำๆ นึงที่บอกว่า คางคกสามขาน่ะหายาก แต่ว่าผู้ชายสองขามีถมไป เธออย่าคิดมากเลยนะ เด็กดี ลงมาเถอะพี่จะพาเธอไปเดินเล่น”

            เสียงที่ผ่านการประมวลผลของกระแสไฟฟ้าดังอยู่ในหูของลั่วจื่อหาน เขาขมวดคิ้ว แอบจำเรื่องนี้ไว้ในใจแล้ว

            “เปล่า ฉัน วันนี้ช่างมันเถอะ พรุ่งนี้นะ”

        “ทำไมวันนี้ถึงช่างมันล่ะ…” ทางนั้นเงียบไปครู่หนึ่ง ได้ยินเสียงคนสองคนปรึกษากันแว่วๆ สุดท้ายเหมือนเซี่ยเช่อเอ่ยขึ้นเสียงดัง “มันจะได้ยังไงเล่า” จากนั้นเสียงก็เริ่มไม่ชัดเจนแล้ว

————