“มีปัญหาอะไรหรือเปล่า?” เฉินเกอดึงเงินสองร้อยออกมาวางบนเคาน์เตอร์ พนักงานขายตั๋วรีบเรียกสติตัวเองและพูด “ขอโทษทีค่ะ ฉันแค่คิดว่าชื่อของคุณคุ้นมากเลย เหมือนเพื่อนคนหนึ่งของฉัน”
“งั้นเหรอ?” เฉินเกอยยิ้มอ่อนและไม่ได้ซักไซร้ต่อ พนักงานทำงานเร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัดและแค่ไม่กี่วินาทีก็ลงทะเบียนเสร็จ ตั๋วของสถาบันฝันร้ายค่อนข้างน่าสนใจ– มันเป็นจดหมายแนะนำตัว และชื่อของเฉินเกอก็เขียนอยู่บนนั้น
“ถือจดหมายแนะนำตัวกับเอกสารเอาไว้แล้วกรุณาต่อแถว เมื่อจำนวนผู้เข้าชมครบห้าคนพวกเราก็จะเริ่มการเข้าชมได้ค่ะ” หลังจากช่วยเฉินเกอลงทะเบียน พนักงานก็ดูไม่ค่อยดีนัก มือของเธอกดอยู่บนท้อง เธอรีบร้อนออกจากห้องขายตั๋วไป เฉินเกอหิ้วกระเป๋าไปต่อหลังผู้เข้าชมอีกสองคน เขาดูผ่อนคลายมากราวกับกลับมาบ้านของตัวเองอย่างนั้น
“พี่ชาย คุณมาคนเดียวเหรอ?” ที่ยืนอยู่ก่อนหน้าเขานั้นเป็นคู่รัก มือของพวกเขาสอดประสานกันอยู่และพวกเขาก็ดูค่อนข้างกระวนกระวาย
“ใช่ ผมค่อนข้างเบื่อน่ะ เลยมาเดินเล่นเสียหน่อย”
“คุณกล้ามากแน่ ๆ ที่มาที่นี่คนเดียว ที่นี่น่ากลัวมาก ผมเพิ่งคุยกับแฟนว่าถ้ามีคนไม่ครบ อย่างนั้นพวกเราก็จะยอมแพ้ดีกว่า” ผู้ชายนั้นสูงประมาณหนึ่งร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตรและสวมชุดสีดำกับแว่นตาหนา เขาดูใจดีและเป็นมิตร
“แต่ไม่ใช่ว่าคุณก็จะเสียเงินค่าตั๋วไปเปล่า ๆ เหรอ?” เฉินเกอไม่ค่อยเข้าใจ
“มันดีกว่าถ้าเทียบกับการวิ่งออกมาพร้อมน้ำตาหลังจากถูกหลอกให้กลัว!” ผู้ชายคนนั้นคิดว่าคำถามของเฉินเกอค่อนข้างประหลาด “เพื่อนของผมเคยมาบ้านผีสิงนี่ก่อนแล้ว และมันก็น่ากลัวมาก หลังจากนี้พวกเราเกาะกลุ่มกันไว้น่าจะดีกว่า”
“ได้” เฉินเกอเองก็มีบ้านผีสิง ดังนั้นเขาจึงไม่ประมาทศัตรู มันต้องมีเหตุผลให้สถาบันฝันร้ายประสบความสำเร็จมาในอดีต คนผู้ชายดูค่อนข้างขี้ขลาด เขาเอาแต่บอกแฟนสาวถึงความน่ากลัวของบ้านผีสิงนี่ แฟนสาวของเขาก็ให้ความร่วมมือเต็มที่– แค่คำอธิบายของเขาก็ทำให้ใบหน้าของเธอซีดเผือดแล้ว
พวกเขารออยู่อีกหลายนาทีก่อนที่ผู้หญิงอายุประมาณยี่สิบปีคนหนึ่งกับนักเรียนอีกสามคนจะเดินเข้ามา พวกเขาดูเหมือนไม่รู้จักกัน นักเรียนสามคนคุยกับเองและดูค่อนข้างตื่นเต้น หนึ่งในนั้นบอกว่าเขาเคยมาบ้านผีสิงนี่มาก่อนแล้วและยอมแพ้ตอนผ่านไปได้ครึ่งทางเพราะว่ามันน่ากลัวเกินไป
ผู้เข้าชมหญิงนั้นดูธรรมดา และยังไม่มีอะไรโดดเด่น– เธอเป็นคนที่กลืนหายไปในฝูงชนได้ง่าย ๆ เธอไม่พูดมากนักและยืนอยู่ที่ตรงมุมคนเดียว
“มีผู้เข้าชมครบแล้ว ทุกคนตามฉันมาค่ะ” พนักงานที่วิ่งไปเข้าห้องน้ำก่อนหน้านี้ออกมาจากทางเดินพนักงาน เธอถือกระเป๋านักเรียนสีแดงใบเก่ากับกล่องเก็บของสีน้ำเงินหลายกล่องมาด้วย “กรุณาอย่าใช้โทรศัพท์ตอนที่คุณอยู่ในบ้านผีสิง พวกเราจะเตรียมอุปกรณ์ให้แสงสว่างที่จำเป็นให้ อย่าวิ่งหรือว่าพยายามยุยงให้เกิดการต่อสู้ที่ในบ้านผีสิง อย่าแตะต้องตัวนักแสดง และแน่นอนว่า นักแสดงก็จะไม่แตะต้องตัวคุณ”
พนักงานพูดกฏต่าง ๆ ของบ้านผีสิงออกมาอย่างรวดเร็วก่อนที่จะเอื้อมมือเข้าไปในกระเป๋าและดึงไฟฉายเล็ก ๆ ออกมา “ตอนนี้ กรุณาเข้าแถวและรับไฟฉายของคุณไปค่ะ”
ตอนที่คู่รักที่ด้านหน้าเดินผ่านไป พนักงานก็ส่งไฟฉายให้พวกเขาทันที แต่ตอนถึงคราวเฉินเกอ พนักงานยกมือห้ามเขาเอาไว้ “คุณคะ คุณทิ้งกระเป๋าเอาไว้ข้างนอกได้ไหมคะ? พวกเราจะคืนมันให้หลังจากที่คุณเข้าชมเสร็จแล้ว”
เฉินเกอส่ายหน้า มีวิญญาณสีเลือดสี่ตนอยู่ในกระเป๋าสะพายหลังของเขา และเขาก็กังวลว่าทั้งตึกนี่จะแย่เอาหากเกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้น
“ฉันต้องขอโทษด้วยนะคะ แต่ว่านั่นเป็นกฎ ฉันหวังว่าคุณจะให้ความร่วมมือกับพวกเรา” พนักงานยืนยัน
“คุณกลัวว่าผมจะเอาของผิดกฏเข้าไป? ไม่เป็นไร ผมสามารถเปิดกระเป๋าให้คุณตรวจสอบได้” เทียบกับพนักงานของสถาบันฝันร้าย เฉินเกอนั้นดูมีเหตุมีผลมากกว่า เขาเปิดกระเป๋าของเขาต่อหน้ากลุ่มคน “ผมอ่านกฏของคุณหมดแล้ว ผมไม่ได้รับอนุญาตให้นำเชื้อเพลิง ของมีคม และอุปกรณ์ถ่ายวิดีโอเข้าไปในบ้านผีสิงของคุณ อย่างที่คุณเห็น ไม่มีของแบบนั้น”
ทุกคนมองเข้าไปในกระเป๋าของเฉินเกอ และสีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนเป็นสงสัยช้า ๆ
“ของพวกนี้มันอะไรกัน?” รองเท้าส้นสูงสีแดงสด และตุ๊กตาน่ารักนั้นอาจจะเข้าใจได้ว่าเป็นงานอดิเรกประหลาดของเขา แต่ว่าเครื่องเล่นเทปนี่คือ? ไว้เรียนภาษาอังกฤษเหรอ? แต่ว่าเขามาบ้านผีสิง ทำไมถึงเอาของพวกนี้มาด้วย?
สายตาของผู้เข้าชมคนอื่น ๆ ที่มองเฉินเกอเปลี่ยนเป็นประหลาด และสมองของพนักงานก็เต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม
“อันที่จริง ก็ไม่มีของอันตรายอะไร แต่ว่า…” พนักงานหยิบเครื่องเล่นเทปขึ้นมา เธอสงสัยว่าอาจจะมีกล้องตัวเล็ก ๆ อยู่ในของสิ่งนี้ พนักงานกดปุ่มเล่น เทปหมุน และก็มีเสียงแทรกดังขึ้น มันดูเหมือนจะเป็นเครื่องเล่นเทปธรรมดา ๆ จริง ๆ
“คุณหมายความว่ายังไง? ในบ้านผีสิงของคุณนี่ผมเอาเครื่องเล่นเทปเข้าไปก็ไม่ได้งั้นเหรอ? ไม่มีกฏแบบนั้นตอนที่ผมไปบ้านผีสิงอื่น!” เฉินเกอเถียงอย่างมั่นใจ
“แต่ว่าจุดสำคัญก็คือไม่มีใครคิดจะพกของอย่างนี้ไปด้วยตอนที่ไปบ้านผีสิง” หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง พนักงานก็วางเครื่องเล่นเทปกลับเข้าไปในกระเป๋าและตรวจดูของอื่น ๆ ในช่องด้านในกระเป๋า พนักงานพบหนังสือการ์ตูนสยองขวัญวาดด้วยมือและปากกาลูกลื่นที่ถูกเทปใสพันเอาไว้
“คุณเป็นนักเขียนการ์ตูนเหรอ?”
“ผมดูไม่เหมือนเหรอ?” เฉินเกอไม่ได้ปฏิเสธหรือว่ายอมรับ เขาแค่มองพนักงานเงียบ ๆ
พนักงานไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร เธอเก็บทุกอย่างเข้าไปในกระเป๋าแล้วส่งคืนเฉินเกอ “รับจดหมายแนะนำกับไฟฉายแล้วเข้าไปข้างในค่ะ”
เธอค้นในกระเป๋าอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะเจอไฟฉายสีแดงอันหนึ่งแล้วส่งให้เฉินเกอ ไฟฉายนี่ดูคล้ายกับไฟฉายของคนอื่น แต่ว่าของเฉินเกอเป็นสีแดงขณะที่ของคนอื่นเป็นสีเขียวทั้งหมด
หลังจากเดินผ่านประตูนิรภัย ผู้เข้าชมทั้งหมดก็เข้าไปในลิฟท์
“ในอีกสิบวินาที ฝันร้ายของคุณจะเริ่มต้นขึ้น ถ้าคุณทนไม่ไหวแล้วและต้องการยอมแพ้ คุณแค่ต้องร้องบอกใส่กล้อง” พนักงานมองผู้เข้าชมเดินเข้าไปในลิฟท์และจากนั้นก็ชี้ไปที่จดหมายแนะนำตัวที่ทุกคนในกลุ่มถือเอาไว้ เธอพูดพร้อมรอยยิ้มประหลาดบนใบหน้า “คราวนี้จำนวนผู้เข้าชมค่อนข้างน้อย เพื่อให้สมดุลกับความยากของพวกเรา ฉันจะบอกใบ้คุณเพิ่ม– ลองคิดดูนะคะ ว่าฝันร้าย ที่จริงแล้วคืออะไร?”
พนักงานกดปุ่มลิฟท์ ประตูปิด และลิฟท์ก็เริ่มเคลื่อนขึ้นไป
“ฉุยหมิง นายเคยมาที่นี่มาก่อน นายรู้ไหมว่าความลับเบื้องหลังจดหมายแนะนำตัวนี่คืออะไร?” นักเรียนคนหนึ่งถามเด็กชายข้าง ๆ เขา
“อย่าอ่าน ตอนที่เริ่มเข้าฉากนายมองปลายเท้าตัวเองเอาไว้” ฉุยหมิงนั้นดูเป็นเด็กวัยรุ่นขี้อายอายุสิบแปดคนหนึ่ง
“มันน่ากลัวขนาดนั้นเลยเหรอ?” นักเรียนคนอื่น ๆ นั้นไม่อยากเชื่อ เขาพยายามเปิดจดหมายแนะนำตัว แต่ว่าเพิ่งแกะได้ครึ่งทางตอนที่ไฟในลิฟท์ดับลง!
ความมืดที่จู่ ๆ ก็มาเยือน และลิฟท์จู่ ๆ ก็เต็มไปด้วยเสียงกรีดร้อง จากนั้น แสงไฟสีเขียวก็ปรากฏขึ้นจากผนังทั้งสี่ด้านของลิฟท์