ในลิฟท์ไม่มีจอบอกว่าพวกเขาอยู่ที่ชั้นไหนแล้ว ภายใต้แสงเรืองรองสีเขียว ใบหน้าตื่นตระหนกของผู้เข้าชมนั้นดูค่อนข้างน่ากลัว พวกเขาดูเหมือนเป็นผีที่กลับมาในวันที่เจ็ดหลังความตาย
“ในเมื่อไม่มีพนักงานมากับพวกเรา ใครจะช่วยอธิบายได้ไหมว่านี่หมายถึงการเข้าชมเริ่มต้นอย่างเป็นทางการแล้วใช่ไหม?” ผู้ชายคนที่เดินอยู่ด้านหน้าถาม เขามาพร้อมกับแฟนสาว ดังนั้นจึงตัดสินใจว่าเขาไม่ควรยอมแพ้ง่ายเกินไป
“เหล่าฉุยเคยมาที่นี่ครั้งหนึ่ง ถ้าคุณมีคำถามอะไร ถามเขาได้” เด็กที่ตัวเตี้ยที่สุดในสามคนดึงแขนฉุยหมิง คนแรกนั้นดูเหมือนจะไม่สะทกสะท้านกับความน่ากลัว แต่ว่าร่างกายของเขานั้นซื่อสัตย์กว่ามาก ลิฟท์เคลื่อนที่ต่อไปและผู้เข้าชมหลายคนก็หันไปหาฉุยหมิง
เด็กหนุ่มนั้นตัวสูงกว่าเพื่อน ผิวของเขาขาวมาก และเขาก็หน้าแดงจากการตกเป็นจุดสนใจ “พวกเรายังไม่ถือว่าเข้าฉากอย่างเป็นทางการ ลิฟท์จะเปิดออกส่งพวกเราเข้าไปในฉาก สถาบันฝันร้ายมีทั้งหมดหกชั้น แต่ละชั้นมีเรื่องราวของตนเอง ส่วนลิฟท์จะเปิดออกชั้นไหนนั้นเป็นการสุ่ม”
“ครั้งก่อนเธอมาชั้นไหน?” ชายในชุดดำถาม
“ผมก็บอกแน่ไม่ได้ ตัวเลขชั้นนั้นเขียนไว้ที่ในทางเดิน แต่วันนั้น ผมยอมแพ้ก่อนที่จะเดินเข้าไปในทางเดินด้วยซ้ำ” ฉุยหมิงดูเป็นเด็กซื่อสัตย์คนหนึ่ง เขาตอบทุกคำถามที่คนอื่นถามเขา
“ไม่กล้าเข้าไปในทางเดิน? นี่เป็นเพราะว่ามีนักแสดงซ่อนตัวอยู่ในทางเดินเหรอ?” เมื่อเฉินเกอพูด เขาก็มีบรรยากาศของผู้เชี่ยชาญ
ฉุยหมิงพยักหน้า “มีพนักงานทำงานที่นี่เยอะมาก และพวกเขาก็ทำหน้าที่ได้ดี ทางเดินเป็นที่หนึ่งที่พวกเขาให้ความสนใจ นอกจากมันจะจำเป็นมาก ๆ พวกเราควรจะหลีกเลี่ยงที่นั่น
“เข้าใจแล้ว” เฉินเกอหันไปมองเด็กนักเรียนทั้งสาม เวลาผ่านไป บรรยากาศในลิฟท์ก็ราวกับจะหายใจไม่ออก เด็กสามคนเบียดตัวเข้าหากันและมันก็เป็นฉุยหมิงที่ดูขี้อายที่ดูมีสติที่สุด
“ตามความเข้าใจของผม การเข้าชมสถาบันฝันร้ายนั้นอาจจะยาวถึงสองชั่วโมงได้ หลังจากนี้ คงมีหลายส่วนที่พวกเราต้องร่วมมือกัน” เฉินเกอมองเพื่อนร่วมทีม “ผมชื่อเฉินเกอ ให้ผมเรียกพวกคุณที่เหลือยังไงดีครับ?”
“พวกเราเป็นเพื่อนร่วมชั้นกัน เขาชื่อฉุยหมิง นี่หลี่ป๋อ และผมแซ่กั่ว ดังนั้นเรียกผมว่าเสี่ยวกั่วก็ได้” ในนักเรียนทั้งสามคน ฉุยหมิงนั้นตัวสูงและขี้อายที่สุด หลี่ป๋อนั้นร่างใหญ่กว่า และเขาก็ดูน่ารักทีเดียว เสี่ยวกั่วนั้นผอมมากและเตี้ยที่สุดในหมู่พวกเขา เขาค่อนข้างพูดเก่งถึงแม้ว่าจะดูขี้อายเท่า ๆ ฉุยหมิงก็ตาม
“ผมชื่อหลี่หยวน และนี่แฟนผมเอง เซว่ลี่” หลังจากคู่รักแนะนำตัวแล้ว ทุกคนก็หันไปหาผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงมุมเงียบ ๆ ผู้หญิงคนนั้นดูเหมือนเธอเพิ่งเลิกกับแฟนมาและยังทำใจไม่ได้ ดวงตาของเธอนั้นแดงและฉ่ำน้ำตา และเธอก็อาจจะมาที่นี่เพียงเพื่อระบายอารมณ์
อารมณ์ของเธอดูไม่ค่อยมั่นคง หวังว่าเธอจะไม่หมดสติไปในบ้านผีสิงนะ
เฉินเกอมองผู้หญิงคนนั้นด้วยดวงตาหยินหยาง ตอนที่เขาส่งบัตรประจำตัวของตนเองให้พนักงาน เขาก็จำพนักงานของสถาบันฝันร้ายเอาไว้แล้ว ตอนที่พนักงานส่งของให้เขา เขาก็ถูกจงใจทำให้แตกต่างจากคนอื่น เฉินเกอสังเกตเห็นเรื่องนั้นชัดเจน แต่ว่าเขาก็ใจดีพอที่จะไม่ทำให้เรื่องวุ่นวายขึ้น
ตอนนี้เมื่อมีคนแปลกหน้าอยู่ในกลุ่มด้วย ความคิดแรกของเฉินเกอก็คือสงสัยว่าอันที่จริงแล้วเธอเป็นพนักงานของสถาบันฝันร้าย
เขามองเธออยู่นานแต่ไม่สามารถพบร่องรอยของเครื่องสำอางบนใบหน้าของเธอ หากสมมติว่าเธอเป็นพนักงานที่นี่จริง ๆ ก็หมายความว่าเธอเป็นนักแสดงที่ไม่ได้อาศัยการแต่งหน้าพิเศษ
หลังจากจดรายละเอียดเหล่านี้ไว้ในใจแล้ว เฉินเกอก็หยุดให้ความสนใจกับเธอต่อ
ตึ้ง!
ลิฟท์สั่น และผู้เข้าชมทั้งหมดก็คว้าราวที่ตรงผนังเอาไว้ หลายวินาทีให้หลัง ประตูก็เปิดออกช้า ๆ และกลิ่นเหม็นประหลาดก็ลอยเข้ามาในพื้นที่แคบ ๆ เทียบกับความเป็นธรรมชาติที่บ้านผีสิงของเฉินเกอแล้ว กลิ่นนี่มีความเป็นสารเคมี และมันยังติดอยู่ในจมูกของผู้เข้าชม ประตูลิฟท์เปิดออกสู่โลกแห่งความมืด
“พวกเราควรจะออกไปไหม?”
“พี่ฉุย นี่เป็นชั้นที่นายมาเมื่อครั้งก่อนไหม?”
“มันดูไม่เหมือนอย่างนี้นะ ตอนที่ประตูเปิดเมื่อครั้งก่อน มันเปิดเข้าไปที่ห้องโถงใหญ่ที่จัดเลี้ยงต้อนรับนักเรียนใหม่”
“นี่… ทำไมที่นี่มันถึงมืดขนาดนี้?”
“มีใครอยู่ไหม?” เสี่ยวกั่วคว้าแขนฉุยหมิงขณะที่ขยับไปทางประตูลิฟท์ช้า ๆ เขาเปิดไฟฉายและกำลังจะส่องไฟออกไปข้างนอกตอนที่หัวหัวหนึ่งจู่ ๆ ก็โผล่ออกมาจากด้านหนึ่งของประตู
เสียงกรีดร้องก้องในลิฟท์ทันที นักเรียนทั้งสามคนเกาะกลุ่มกันแน่น และหลี่หยวนกับเซว่ลี่ก็กอดกันแน่น ผู้หญิงเงียบ ๆ ก็ผงะไปด้านหลังก้าวหนึ่ง และหลังของเธอก็กระแทกเข้ากับผนังลิฟท์ ทั้งกลุ่ม มีเพียงเฉินเกอที่ไม่ได้รับผลกระทบเหมือนเขาคิดเอาไว้แล้วว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น
หลังจากเสียงกรีดร้องจางไป เจ้าของหัวก็กดเปิดไฟที่ในทางเดิน ไฟสีเขียวในลิฟท์ดับลงและโคมไฟเพดานแบบโบราณในทางเดินก็ส่องสว่างขึ้น ไฟกะพริบดับ ๆ ติด ๆ สายไฟโผล่ออกมา และแสงก็ดึงให้เงาของเหล่าผู้เข้าชมดูยาวขึ้น
“พวกเธอเป็นนักเรียนใหม่?” พนักงานที่ด้านนอกลิฟท์ยืนอยู่ใต้แสงไฟ เขาสวมเครื่องแบบของโรงเรียนที่ไม่เข้ารูปเอาเสียเลย “ผมขอดูจดหมายแนะนำตัวของคุณได้ไหม?”
หลังจากตรวจตั๋ว พนักงานก็ทำท่าทางประหลาด “พวกเราไม่มีนักเรียนใหม่มานานมากแล้ว มีข่าวลือบอกว่าที่นี่ไม่ปลอดภัย บอกว่าที่นี่มีผีสิง แต่นั่นล้วนเป็นข่าวลือมุ่งร้ายที่คู่แข่งของเรากุขึ้น ที่นี่เป็นแค่โรงเรียนธรรมดา ๆ เท่านั้น”
หลี่หยวนและเซว่ลี่เป็นคู่แรกที่เข้าลิฟท์มา ดังนั้นตอนที่ออกจากลิฟท์ พวกเขาก็อยู่ด้านหน้าเช่นกัน ตอนที่ทั้งสองคนกำลังจะก้าวเท้าออกไป จู่ ๆ ก็มีเสียงดังอยู่ข้างหูพวกเขา “อย่าไป! หนีไป! อย่าไปที่นั่น!”
เซว่ลี่นั้นกลัวแทบตายแล้วและเธอก็กรีดร้องวิ่งออกจากลิฟท์ไป ผู้เข้าชมคนอื่น ๆ ก็ทำตามไปด้วย ตอนที่ทุกคนออกมาจากลิฟท์แล้วก็มักจะมีใครสักคนหันกลับไปดูเสมอ ที่ผนังด้านในของลิฟท์นั้นมีใบหน้าสีเขียวซีดที่กำลังกรีดร้อง โชคร้าย ผู้เข้าชมนั้นออกจากลิฟท์ไปแล้ว ประตูลิฟท์สีแดงเลือดที่ตกแต่งด้วยสายไฟประหลาดก็ปิดลงช้า ๆ เสียงกรีดร้องของผู้ชายคนหนึ่งก้องอยู่ในลิฟท์ที่ว่างเปล่า
“เครื่องฉายภาพสามมิติ?” เฉินเกอมองไปที่ใบหน้านั้น มันดูเหมือนจริงมาก แต่ว่าดวงตาค่อนข้างว่างเปล่าและมองไปที่จุดเดียวเท่านั้น นี่น่าจะเป็นการตั้งค่าของโปรแกรม ถ้ามีคนยืนอยู่ตรงนั้นมันก็จะน่ากลัวมาก แต่โชคไม่ดี ในเมื่อไม่มีใครอยู่ตรงนั้น มันก็ดูประหลาด
“ดูสิ มักจะมีคนพยายามทำลายชื่อเสียงของเรา แต่ว่าพวกเราอันที่จริงแล้วก็เป็นโรงเรียนธรรมดา ๆ เลย” รุ่นพี่ในชุดเครื่องแบบนำนักเรียนใหม่เดินลึกเข้าไปในทางเดิน “โรงเรียนจัดงานเลี้ยงต้อนรับให้พวกเธอทุกคน พวกเธอควรจะไปถ่ายรูปแล้วก็ส่งรายงานตรวจร่างกายของพวกเธอก่อน ถ้าไม่มีปัญหาอะไร ก็ไปที่งานเลี้ยงต้อนรับที่ชั้นสาม”
หลังจากเดินไปได้ไม่กี่ก้าว รุ่นพี่คนนั้นก็หยุด เขาผลักเปิดประตูห้องที่ด้านข้าง “เข้ามาถ่ายรูปก่อน”
คำ ‘ชมรมถ่ายภาพ’ เขียนเอาไว้บนประตูไม้ พื้นที่ด้านในนั้นกว้างกว่าที่คิดเอาไว้ อุปกรณ์ถ่ายรูปหลายชิ้นถูกทิ้งเอาไว้ที่ตรงมุม และมีเครื่องฉายภาพอยู่ที่กลางห้องกำลังฉายภาพยนตร์อยู่