“มา ไปยืนหน้าฉากสิ” รุ่นพี่ในชุดเครื่องแบบที่ไม่พอดีหยิบกล้องโพลารอยด์ขึ้นมาจากโต๊ะและเร่งให้ผู้เข้าชมทั้งหมดไปยืนทางซ้ายของเครื่องฉาย “นับสามแล้วพูด ชีส นะ”
รุ่นพี่กดปุ่มถ่ายรูป นิ้วของเขาไม่ได้ขยับออกจากแฟลชเลย ดังนั้นแฟลชจึงกะพริบต่อเนื่อง ในห้องมืด แฟลชสว่างจ้าจนมองอะไรไม่เห็น และผู้เข้าชมทั้งหมดก็ยกมือขึ้นมาบังตาตัวเองเอาไว้
“เอาละ รูปเรียบร้อยแล้ว ฉันจะไปดูว่าหมอมาถึงแล้วหรือยัง พวกเธอก็แจกรูปพวกนี้ให้แต่ละคน คำแนะนำสุดท้าย อย่าแตะต้องอะไรในห้องนี้”
ตอนที่รุ่นพี่พูดอย่างนั้น กล้องก็ยังคง ‘คาย’ ภาพออกมา เขาสุ่มหยิบรูปใบหนึ่งขึ้นมา ยัดมันเข้าไปในกระเป๋าและออกไปหลังจากวางกล้องกลับไปบนโต๊ะ
อุณหภูมิของเครื่องปรับอากาศในห้องนั้นเย็น ลมพัดไล้ผิวกายนอกร่มผ้าของผู้เข้าชม เด็กหนุ่มที่ชื่อฉุยหมิงกับหลี่ป๋อนั้นเดินไปทางโต๊ะด้วยกัน พวกเขาหยิบรูปขึ้นมาจากพื้น “พวกเราทางที่ดีก็ทำตามที่เขาแนะนำ มีภารกิจไขปริศนาหลายอย่างในโรงเรียนร้างนี่และเงื่อนงำก็มักจะซ่อนอยู่ในอุปกรณ์ประกอบฉากเล็ก ๆ แบบนี้”
ฉุยหมิงนั้นมีประสบการณ์มาก่อน ครั้งก่อน เขาข้ามขั้นตอนการเก็บรวบรวมและวิเคราะห์อุปกรณ์ประกอบฉากเหล่านี้ ดังนั้นสุดท้ายแล้วเขาก็ได้แต่ยอมแพ้ หยิบรูปขึ้นมาแล้วฉุยหมิงก็ส่งพวกมันให้เพื่อนร่วมทีมตอนที่จู่ ๆ เขาก็ชะงัก “ทำไมถึงมีรูปเกินมา?”
ฉุยหมิงยืนอยู่ถัดจากเฉินเกอที่อยู่ด้านหลังกลุ่ม เฉินเกอนั้นยังไม่ได้รูป แต่ว่ามีรูปอยู่ในมือของฉุยหมิงสามใบ ไม่นับของเขาเองกับเฉินเกอ ก็ยังมีเกินมารูปหนึ่ง
“รูปนั่นน่าจะมีปัญหาแล้ว! บ้าชะมัด! ดูนี่สิ!” หลี่หยวนกรีดร้องตอนที่ชี้ไปที่รูปที่ตัวเองถือเอาไว้ “มีคนเกินมาในรูปหมู่!”
ตอนที่ผู้เข้าชมคนอื่นได้ยินอย่างนั้น พวกเขาก็ก้มลงไปมองรูปของตัวเอง และพวกเขาก็ตกใจที่พบว่ามีคนที่เกินมายืนอยู่ถัดจากเซว่ลี่ตอนที่พวกเขาถ่ายรูป เธอสวมเครื่องแบบของสถาบันฝันร้าย ใบหน้าของเธอซีด และเธอก็จ้องตรงเข้ามาในกล้องขณะที่ศีรษะของเธอเอนพิงอยู่บนไหล่ของเซว่ลี่
“นี่มัน! แต่ว่าฉันไม่รู้สึกอะไรเลยนะ!” เซว่ลี่ปัดไหล่ตัวเองรัว ๆ เธอดูเป็นผู้หญิงที่มีการศึกษาที่ไม่เคยปล่อยให้ตัวเองสบถหยาบคาย
เฉินเกอมองรูป “รูปนี่ไม่ได้ถูกดัดแปลง หรือพูดอีกอย่างหนึ่ง นักแสดงที่ซ่อนอยู่ในห้องก่อนหน้าแล้วแอบออกมาตอนที่รูปถูกถ่าย”
เป็นรุ่นพี่คนนั้นที่เลือกตำแหน่งให้พวกเขายืนตอนที่ถ่ายรูป สีของกำแพงด้านหลังพวกเขานั้นต่างไปจากส่วนอื่นที่เหลือ เมื่อมองใกล้ ๆ แล้วก็บอกได้ว่าตรงจุดนั้นโป่งนูนออกมาเล็กน้อย
“ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่ต่อแล้ว ไปกันเถอะ” เซว่ลี่กอดหลี่หยวนเอาไว้แน่น
“อย่าเดินไปไหนมาไหนคนเดียว ฟังคำแนะนำของพนักงานจะปลอดภัยที่สุด” ฉุยหมิงเตือน “ไม่ว่าฉากจะน่ากลัวแค่ไหน คุณก็จะไม่เจออะไรที่น่ากลัวเกินไป แต่ถ้าคุณหลุดออกไปจากเรื่องราวที่วางเอาไว้ คุณอาจจะไปเจอเข้ากับผีและสัตว์ประหลาดอื่น ๆ ที่ซ่อนอยู่ในฉากอื่นและถึงตอนนั้นคุณก็จะได้รู้ความหมายที่แท้จริงของคำว่าสิ้นหวัง”
“ได้” เซว่ลี่พิงอยู่กับไหล่ของหลี่หยวน เธอรีบโยนรูปทิ้งไป เธอกลัวเกินกว่าจะถือมันเอาไว้ ดวงตาของเธอกวาดมองรูปที่ฉายอยู่บนจอ เซว่ลี่ไม่เคยดูหนังเรื่องนี้มาก่อน นักแสดงหลักนั้นเป็นนักเรียน พวกเขามีป้ายชื่อชมรมถ่ายรูปติดอยู่และหนังนั่นก็ถ่ายทำในห้อง “เดี๋ยวก่อนนะ มาดูหนังนี่สิ นี่มันแปลกเหมือนกันนะ”
ทุกคนหันไปดูหนัง นักเรียนที่ในหนังกำลังทำความสะอาดห้องขณะที่นักเรียนคนหนึ่งเจอวิดีโอเทปเก่า ๆ ที่ด้านหลังตู้ใบหนึ่ง พวกนักเรียนมามุงดู พวกเขาดูสงสัยและตัดสินใจจะดูว่ามีอะไรอยู่ในเทปนี่
หนังไม่มีเสียง– มันเหมือนพวกเขากำลังดูหนังเงียบอยู่ ต้องขอบคุณที่บรรดานักแสดงนั้นมีทักษะการแสดงที่ดีและพวกเขาก็อธิบายเนื้อเรื่องผ่านสีหน้าและการกระทำได้ ในหนัง นักเรียนวางเทปในเครื่องเล่นเทป และก็เกิดภาพประหลาดตามมา ผู้เข้าชมในบ้านผีสิงยืนอยู่ในห้องของชมรมถ่ายภาพและดูหนังเกี่ยวกับนักเรียนชมรมถ่ายภาพดูหนัง อยู่ในห้องเดียวกัน
สถานที่ซ้อนทับกัน และกระทั่งมุมของหนังยังคุ้นเคย มีเพียงคนดูเท่านั้นที่เปลี่ยนไป ความคล้ายคลึงเช่นนี้นั้นสามารถนำไปสู่ภาพหลอนทางจิตใจ หลังจากปรับเครื่องเล่นแล้ว หนังก็เริ่มเล่น มันดูเหมือนจะเป็นเทปบันทึกกิจกรรมที่โรงเรียนจัด
บันทึกนั้นสั้นมาก ยาวเพียงแค่หนึ่งนาทีเท่านั้น หลังจากหนังจบ เด็กนักเรียนก็เล่นมันซ้ำหลายครั้ง และพวกเขาก็เริ่มทะเลาะกัน ในเมื่อเป็นหนังเงียบ ผู้ชมจึงบอกไม่ได้ว่าพวกเขากำลังทะเลาะกันเรื่องอะไร หลังจากการทะเลาะนั้นยุติลง พวกเขาก็เริ่มเล่นเทปอีกครั้ง
ตอนที่เทปหมุนไปได้สี่สิบสี่วินาที นักเรียนคนหนึ่งก็กดปุ่มหยุด นิ้วของเขาชี้ไปที่ทางเดินที่มุมจอและพูดบางอย่างด้วยสีหน้าที่แข็งทื่ออย่างหวาดกลัว
หนังขยายภาพขึ้นมา และผู้เข้าชมก็ได้เห็นชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้น ตอนที่โรงเรียนจัดกิจกรรมบางอย่าง มีเงาเงาหนึ่งวูบผ่านทางเดินไป
นักเรียนทะเลาะกันอีกครัง บางทีอาจจะเพราะมีบางคนไม่เห็นด้วย คิดว่านั่นเป็นแค่ความผิดพลาดของเทปบันทึก การทะเลาะของพวกเขาไปถึงไหนไม่รู้ แล้วนักเรียนก็ออกไปจากห้องทีละคนสองคน เหลือไว้แค่นักเรียนคนที่เป็นคนแรกที่พบเงานั่น
นักเรียนคนนั้นเล่นเทปซ้ำหลายครั้งเหมือนพยายามพิสูจน์อะไรบางอย่าง น่าประหลาด ตอนที่เขาเล่นเทปซ้ำ เงาร่างคนในทางเดินก็ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งในที่สุดก็มองเห็นหน้าของคนผู้นั้นได้
มันเหมือนกับว่าคนที่ในทางเดินนั้นขยับเข้ามาใกล้มากขึ้น ตอนที่เขาเล่นซ้ำเป็นครั้งที่สาม ก็สามารถมองเห็นใบหน้าซีดเผือดของผู้หญิงที่มีเลือดเปื้อนเปรอะยืนอยู่ในทางเดิน
ความสนใจของผู้ชมนั้นถูกดึงเข้าไปในหนังมากขึ้น จุดสนใจของหนังนั้นขยับไปมาระหว่างนักเรียนและเทปบันทึกและเครื่องเล่นที่อยู่บนจอ ในที่สุด ในการเล่นซ้ำครั้งที่ห้า ใบหน้าที่ทางเดินก็ชัดเจนที่สุด!
สีหน้าบิดเบี้ยวนั่นทำให้นักเรียนรู้สึกไม่ดี และมันก็ทำให้หัวใจของผู้ชมนั้นเหมือนถูกความกลัวบีบรัดเข้ามา นักเรียนที่ในหนังเริ่มตัวสั่น เขาพยายามเล่นเทปเป็นครั้งที่หกด้วยมือสั่น ๆ นั่น
เป็นอีกครั้ง เทปถูกหยุดที่วินาทีที่สี่สิบสี่แต่ว่าครั้งนี้ เงาในทางเดินหายไป นักเรียนเกาหัวและเอนตัวเข้าไปใกล้หน้าจอมากขึ้น เขามองทางเดินที่มุมจอใกล้ ๆ จากนั้น จอที่แขวนอยู่บนกำแพงก็เลื่อนหลุด และใบหน้าน่าสยองก็ปรากฏอยู่บนผนังด้านหลังหน้าจอ!
ปัง!
ก่อนที่ผู้ชมจะมีโอกาสกรีดร้อง ประตูห้องชมรมถ่ายภาพก็ถูกผลักเปิดและรุ่นพี่ก็กรีดร้องสุดเสียง “เร็ว! วิ่ง! ฉันบอกพวกเธอแล้วว่าอย่าแตะต้องอะไรในห้องนี้ไม่ใช่เหรอ!”
ก่อนที่ผู้เข้าชมจะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เซว่ลี่ก็รู้สึกว่าถูกผลักศีรษะ เธอหันกลับไปดูและใบหน้าที่ควรจะอยู่ในหนังกลับมาปรากฏที่ด้านหลังเธอ!
“อ๊า!” สติของเธอพังทลาย เซว่ลี่ลากหลี่หยวนวิ่งออกจากห้องเร็วที่สุดเท่าที่เธอจะทำได้ นี่ทำให้ความวุ่นวายกระจายไปทั่วทั้งกลุ่มที่เหลือ มีเพียงเฉินเกอที่ยังยืนอยู่กับที่ถือกระเป๋าเอาไว้ ศึกษาเครื่องฉายที่บนผนังที่ด้านหลังห้องชมรมถ่ายภาพ
“พวกเขาคนหนึ่งดึงประตูเปิดเพื่อดึงดูดความสนใจของผู้เข้าชมขณะที่อีกคนแอบออกมาจากทางเดินของพนักงาน จังหวะเวลานั้นไร้ที่ติ นี่ทำได้ก็ต่อเมื่อมีการฝึกซ้อมหลายต่อหลายครั้ง สถาบันฝันร้ายนี่ประมาทไม่ได้เลยเหมือนกัน”