ตอนที่ผู้เข้าชมทั้งหมดออกไปจากห้องแล้วรุ่นพี่ก็ปิดประตูห้องชมรมถ่ายภาพทันทีและเอาแต่พึมพำ “เป็นไปได้อย่างไร? เธอกลับมาแล้ว!”
มีเสียงปังดังมาจากด้านหลังประตูเรื่อย ๆ ประตูทั้งบานสั่นเหมือนมันจะหลุดออกมาเมื่อไหร่ก็ได้ รุ่นพี่คนนั้นเป็นนักแสดงที่ดีทีเดียว ด้วยอิทธิพลจากเขา ผู้เข้าชมที่ตื่นตระหนกอยู่แล้วก็ยิ่งกระวนกระวาย
“ที่นี่มีปัญหานิดหน่อยน่ะ ยังไงก็ไปตรวจสุขภาพสำหรับนักเรียนใหม่กันก่อน ในห้องที่ด้านหน้านั่น หมอมาถึงแล้ว” รุ่นพี่เค้นรอยยิ้มออกมา ประตูสั่นอย่างแรง ในทางเดินมืด ๆ ผู้เข้าชมนั้นยังไม่ได้หวาดกลัวนักเมื่อมีคนนำทาง แต่สำรวจฉากด้วยตัวเองนั้นเป็นงานยากไปสักนิด
“พวกเธอทุกคนมัวทำอะไรอยู่ตรงนี้? ไปสิ!” เสียงของรุ่นพี่เปลี่ยนเป็นเร่งเร้า เขาทิ้งน้ำหนักพิงประตูห้องชมรมถ่ายภาพเอาไว้ ถึงอย่างนั้นประตูก็ยังสั่นอย่างแรง
“พวกเราควรจะฟังเขา ไปกันเถอะ” ฉุยหมิงและหลี่หยวนนำทั้งกลุ่มเดินออกไป ก่อนที่พวกเขาจะไปได้ไกล รุ่นพี่ที่ขวางประตูเอาไว้จู่ ๆ ก็เสริม “อ้อ ฉันจะบอกพวกเธออีกอย่าง! ลิฟท์มีปัญหานิดหน่อยและมันก็ใช้การไม่ได้ชั่วคราว พยายามอย่าเดินไปชั้นอื่นเพราะว่าในช่องบันไดน่ะ…”
เขาพูดได้ครึ่งทางตอนที่แขนซีดเผือดข้างหนึ่งจะเอื้อมออกมาจากกลางประตูแล้วดึงชายผู้เคราะห์ร้ายเข้าไปในห้อง
“ช่วยฉัน! ช่วยฉันด้วย!” เสียงกรีดร้องสุดเสียงของรุ่นพี่ก้องไปในโถง ใบหน้าซีดเผือดของเขาเบียดอยู่ระหว่างประตู แก้มของเขาเต็มไปด้วยเลือด และเขาก็โบกแขนไปมาอย่างบ้าคลั่งเพื่อขอความช่วยเหลือ “ช่วยฉันที! ดึงฉันออกไป!”
สีสีแดงเลือดกระฉูดออกมาจากด้านหลังศีรษะของเขาและมันก็สาดกระจายไปทั่ว ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ คนอื่นย่อมไม่กล้าเข้าไปใกล้ ผู้เข้าชมยืนนิ่งอึ้งอยู่มองรุ่นพี่ถูกลากเข้าไปในประตูช้า ๆ และเลือดก็นองอยู่บนพื้น
“ช่วยฉัน!” รุ่นพี่กรีดร้องเสียงดัง ตอนนั้นเอง เฉินเกอ ที่อยู่ด้านหลังของกลุ่มก็เดินไปข้างหน้า รองเท้าของเขาเหยียบไปบนสีแดงบนพื้น ‘เลือด’ นี้ไม่เหนียวเท่าเลือดจริง มันเป็นสีแดงที่เอามาละลายกับน้ำ เฉินเกอเอื้อมมือไปที่ประตูแล้วคว้ามือของรุ่นพี่เอาไว้อย่างไม่ลังเล
“ช่วย…” ก่อนที่เขาจะทันพูดจบ เฉินเกอก็ผลักเขาไปที่ด้านหลังประตูแล้วก็ล็อกประตูไว้ ทางเดินเงียบไปในทันที กระทั่งผีที่ด้านในห้องก็ยังงุนงง
ผู้เข้าชมที่เหลือเบิกตากลมกว้างมองเฉินเกอ ฝ่ายหลังนั้นแค่พูดอย่างอาย ๆ “โทษทีครับ ผมว่ามือผมลื่นไปน่ะ”
หลังจากเฉินเกอเดินห่างจากห้องนั้นมาสามเมตร ประตูก็เริ่มสั่นอีกครั้งและเสียงกรีดร้องของรุ่นพี่กับเสียงหัวเราะชั่วร้ายของผีผู้หญิงจากด้านในห้องชมรมถ่ายภาพก็ดังออกมา
“พนักงานพวกนี้อย่างน้อยที่สุดก็รู้จักปรับตัวไปตามสถานการณ์” เฉินเกอกลับไปที่ด้านหลังกลุ่มและเขาก็พบว่าผู้เข้าชมคนอื่น ๆ ยังมองมาที่เขา “อย่ามัวยืนอยู่ที่นี่– พวกเราต้องรีบไปหาหมอ เมื่อกี้นี้ นักเรียนคนนั้นบอกว่าบันไดไม่ปลอดภัย และตอนนี้พวกเราก็อยู่ใกล้กับบันไดเกินไป บางทีอาจจะมีบางอย่างคลานออกมาจากที่นั่นหลังจากนี้ อย่างไรเสียพวกคุณก็ได้เห็นในหนังไปแล้วก่อนหน้านี้ ผีปรากฏตัวครั้งแรกที่บันได”
ด้วยน้ำเสียงสงบและการวิเคราะห์เฉียบคม หลังจากผลักรุ่นพี่ไปสู่ความตายแล้ว ความสามารถของเฉินเกอในการรักษาสติเอาไว้ก็ทิ้งความประทับใจไว้ให้กับผู้เข้าชมคนอื่น ๆ
“คุณพูดถูก พวกเราอยู่ใกล้บันไดเกินไปตอนนี้” หลี่หยวนนั้นค่อนข้างกลัว เขามองบันไดที่ด้านหลังตัวเองและทางเดินมืด ๆ ที่ด้านหน้า เขาไม่กล้าเดินไปต่อ– ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาจะไปเจอเข้ากับสัตว์ประหลาดชนิดไหน เขาขยับไปด้านหน้าสองสามก้าวก่อนจะหยุด เขาหันกลับมาขอความช่วยเหลือเฉินเกอ “พี่ชาย คุณนำทางพวกเราไปดีไหม?”
“คุรอยากอยู่ระวังหลังเหรอ? อันที่จริง มันอันตรายกว่าเดินนำข้างหน้านะ ท้ายกลุ่มน่ะใกล้กับบันไดที่สุด และใครจะไปรู้ คุณอาจจะพบคนอื่นที่เกินมาเดินอยู่ด้านหลังคุณก็ได้?”
“พอแล้วครับ! ผมจะเดินนำข้างหน้าเอง!” หลี่หยวนคว้ามือเซว่ลี่ และเซว่ลี่ก็กอดเอวหลี่หยวนแน่น คู่รักคู่นี้เหมือนพวกเขากำลังเดินเข้าไปในดงกับระเบิดและเดินช้ามาก ๆ เห็นแล้วเฉินเกอก็ส่ายหน้านิด ๆ
ผู้เข้าชมพวกนี้เป็นผู้เข้าชมธรรมดาทั้งหมด ถ้าคนพวกนี้ไปเข้าชมบ้านผีสิงของเขาละก็ พวกเขาคงไม่รอดจากฉากระดับหนึ่งดาวด้วยซ้ำ ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่พวกเขาจะหวาดกลัวทุกอย่าง
บนผนังติดหลอดไฟเอาไว้ทุกสิบเมตร แสงไฟกะพริบ แต่ดูเหมือนจะไม่มีจังหวะเฉพาะเจาะจง ซึ่งเพิ่มบรรยากาศหลอนขึ้นไปอีก สถาบันฝันร้ายนั้นสร้างบรรยากาศได้ดี แต่ว่ามันก็ยังสู้บ้านผีสิงของเฉินเกอไม่ได้ เฉินเกอปลดกระเป๋าสะพายหลังลงและมองเวลาและตัดสินใจไม่เสียเวลาอีกต่อไป “ถ้าฉันรีบหน่อย ฉันก็อาจจะกลับทันรถไฟเที่ยวบ่าย”
เขาดึงปากกาลูกลื่นที่มีเทปกาวพันเอาไว้ออกมา เฉินเกอเสียบมันไว้ในกระเป๋าเสื้อ สำหรับฉากเล็ก ๆ แบบนี้ ผีปากกาก็มากเกินพอแล้ว
“มา ผมจะนำทางเอง” เปิดไฟฉายสีแดงแล้วเฉินเกอก็เดินไปที่ด้านหน้าคนเดียว ผู้เข้าชมที่ด้านหลังต้องเริ่มวิ่งเพื่อตามเขาให้ทัน
“มีกล้องสองตัวติดตั้งไว้ที่สองด้านของทางเดิน ที่ตรงกลางทางเดินมีกล้องหนึ่งตัวที่สามารถหมุนได้หนึ่งร้อยแปดสิบองศา นี่เป็นกล้องสามตัวที่ฉันมองเห็นจากไกล ๆ ถ้ายังมีกล้องอื่นอีก จุดบอดก็ควรจะเป็นไม่กี่ที่นี่” เฉินเกอพึมพำกับตัวเองขณะเดินไปตามทางเดิน ผู้เข้าชมไม่เข้าใจการกระทำของเขาเลยสักนิด พวกเขาไม่รู้ว่าทำไมถึงมีคนให้ความสนใจกับตำแหน่งกล้องรักษาความปลอดภัยในบ้านผีสิง บางทีนี่อาจจะเป็นวิธีที่ผู้เชี่ยวชาญเข้าชมบ้านผีสิง
เฉินเกอเดินอยู่นานแต่ว่าไม่เจอห้องไหนที่น่าจะเป็นห้องพยาบาลหรือว่าห้องตรวจสุขภาพ เขาทำได้แค่หันไปเคาะประตูทีละบาน
“มีใครอยู่ไหมครับ? พวกเรามาที่นี่เพื่อตรวจร่างกาย” ตอนที่เขาเคาะประตูที่สาม ก็มีเสียงฝีเท้า และเมื่อประตูถูกผลักเปิด กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อฉุนกึกก็ลอยออกมา หมอในชุดเสื้อกาวน์สีขาวยืนอยู่ที่ประตู เขามองผู้เข้าชมและถามอย่างประหลาดใจ “ทำไมถึงมีแค่พวกเธอ? รุ่นพี่ที่นำทางพวกเธอมาไปไหนเสียล่ะ?”
ผู้เข้าชมทุกคนหันไปมองเฉินเกอ แต่ไม่มีใครกล้าบอกว่าคนผู้นี้ผลักรุ่นพี่คนนั้นเข้าไปในห้องผีสิงแล้ว
“รุ่นพี่ถูกผีจับตัวไป และเขาก็บอกพวกเราให้มาหาคุณกันเอง” เฉินเกออธิบายอย่างสงบ
“อย่างนั้นเหรอ?” หมอดูงุนงง “ทำไมพวกเธอไม่เข้ามาก่อนล่ะ เพื่อความเป็นส่วนตัว ก็เข้าไปในกั้นห้องนั่นห้องละคน ถ้ากรอกเอกสารเสร็จแล้วก็ออกมาได้”
ประตูเปิดและผู้เข้าชมก็ได้เห็นเตียงหลังหนึ่งที่ในห้องพยาบาล มันมีผ้าห่มคลุมเอาไว้ แต่ว่าแขนผอม ๆ ข้างหนึ่งยื่นออกมาที่ปลายเตียงด้านหนึ่ง ตู้เก็บของที่ด้านหลังห้องมีเลื่อย กระบอกฉีดยาที่ใหญ่กว่าปกติสิบเท่า เหล็กเจาะสีดำ และค้อนหน้าตาน่ากลัวที่เล็กกว่าค้อนคุณหมอนักเจาะกะโหลกเพียงเล็กน้อย
“หมอครับ ของพวกนี้มีไว้ทำอะไรเหรอ?” เฉินเกอเดินไปทางตู้แต่ว่าถูกหมอรั้งเอาไว้อย่างรวดเร็ว “นั่นเป็นอุปกรณ์ตรวจร่างกายน่ะ”
หมอหัวเราะอย่างน่ากลัวและหันไปมองผู้เข้าชมคนอื่นด้วยสายตามุ่งร้าย “เข้าไปกรอกเอกสารในห้องกันก่อน หลังจากตรวจร่างกายเสร็จ พวกเธอก็เริ่มต้นชีวิตนักเรียนที่นี่อย่างเป็นทางการ”
“ได้ครับ” เฉินเกอมองค้อนที่ด้านในตู้และถูมือเข้าด้วยกันอย่างไม่รู้ตัว เขาเป็นคนแรกที่เข้าไปในกั้นห้องเล็ก ๆ