ในห้องที่กั้นไว้นั้นเล็กมาก มีแบบฟอร์มกับปากกาแขวนเอาไว้ที่บนผนัง เฉินเกอหยิบฟอร์มขึ้นมาดู “กรุณาเลือกหนึ่งอย่างที่คุณไม่กลัว”

แถวแรกนั้นมีตัวเลือกระหว่างความมืดกับที่แคบ “นี่เป็นการทดสอบทางจิตใจอย่างหนึ่งเพื่อดูว่าผู้เข้าชมมีภาวะทางจิตผิดปกติใดหรือไม่งั้นเหรอ?”

เฉินเกอนั้นไม่กลัวความมืดหรือว่าการติดอยู่ในที่แคบ ๆ เขากำลังจะสุ่มเลือกตัวเลือกตอนที่ความคิดหนึ่งผ่านเข้ามาในใจเขา ไม่ใช่ว่าสถาบันฝันร้ายจะออกแบบเส้นทางพิเศษให้ตามคำตอบที่ให้ไว้ที่นี่เพื่อหลอกผู้เข้าชมให้ถึงระดับสูงสุดหรอกนะ?

หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง เฉินเกอก็วงคำว่าความมืด ด้วยดวงตาหยินหยาง ความมืดไม่ส่งผลอะไรกับเขาเลยสักนิด แถวที่สองนั้นเป็นรูปสองรูป หนึ่งเป็นแมงมุม และอีกหนึ่งเป็นงู

แถวที่สามนั้นให้เลือกระหว่างฆาตกรบ้าคลั่งและวิญญาณร้าย แถวที่สี่เป็นรูปสองรูปของหุ่นศพ หนึ่งไม่มีหัว และอีกหนึ่งมีเลือดท่วม

เฉินเกอตอบคำถามทั้งหมดอย่างรวดเร็ว เขาเปิดประตูห้องและเดินออกมาพร้อมกับแบบฟอร์ม เฉินเกอใช้เวลาไม่ถึงครึ่งนาทีด้วยซ้ำ หมอเพิ่งส่งผู้เข้าชมคนสุดท้ายเข้าห้องไป ดังนั้นเขาจึงยังไม่ทันหันกลับมา

“คุณยังมีแบบทดสอบอื่นที่ผมต้องทำไหม?” เฉินเกอวางแบบฟอร์มลงบนโต๊ะและมองไปยังค้อนและเลื่อยที่ในตู้ บางทีอาจจะเพราะเรื่องความปลอดภัย ของพวกนี้ยังมีเชือกมัดเอาไว้และคงไม่สามารถเอาออกไปได้ง่าย ๆ

“เธอทำเสร็จแล้วเหรอ?” หมอดูเหมือนจะกำลังคิดอะไรอยู่และจู่ ๆ เฉินเกอก็โผล่ออกมาทำให้เขาตกใจเหมือนกัน

“ประหลาดใจขนาดนั้นเหรอครับ?” เฉินเกอเห็นบางอย่างนูนขึ้นมาในกระเป๋าของหมอ– มันดูเหมือนจะมีรูปร่างเหมือนรีโมท น่าจะมีกับดักบางอย่างอยู่ในกั้นห้อง แต่ในเมื่อเฉินเกอออกมาเร็วเกินไป หมอจึงไม่มีโอกาสใช้มัน

“ฉันแนะนำให้เธออ่านแบบฟอร์มอย่างละเอียด แต่ละคำถามนั้นมีความหมายของมันอยู่ ตัวเลือกของเธอจะช่วยให้ฉันตัดสินบุคลิกภาพของเธอ และพวกเราก็จะสามารถออกแบบระบบช่วยเหลือเธอได้” หมอพูดด้วยน้ำเสียงเมตตาและกังวล ตอนที่ทั้งสองคนคุยกัน ผู้เข้าชมคนอื่น ๆ ก็ออกมาจากกั้นห้องทีละคนจนเหลือแค่สองห้องสุดท้ายที่ยังปิดอยู่

“น่าจะผ่านไปสามนาทีแล้ว พวกเธอทำไมถึงช้าขนาดนี้?” หลี่หยวนกอดแขนของเซว่ลี่ไว้– คู่รักคู่นี้ติดกับหนึบเหมือนกาว

หมอก็เริ่มหมดความอดทนแล้วเหมือนกัน เขาเคาะประตูเบา ๆ “คุณผู้หญิง คุณเสร็จหรือยังครับ?”

ไม่มีคำตอบ หมอเคาะประตูอีกครั้งก่อนที่ประตูจะแง้มออก ผู้หญิงที่พูดน้อยคนนั้นเดินออกมาจากคอกกั้นและส่งแบบฟอร์มให้หมอ ฟอร์มนั้นค่อนข้างเปียก หมอมองลงไปโดยไม่รู้ตัวและพบว่ามันชุ่มน้ำตาไปแล้ว

ผู้หญิงคนนั้นตอบสองสามคำถามแรกอย่างซื่อตรง แต่เริ่มจากคำถามที่สี่ เหมือนจิตใจของเธอถูกกระทบกระเทือน และเธอก็เริ่มเขียนคำว่า ‘ตาย’ ลงไปในรูปหลายต่อหลายครั้ง ด้วยสายตาหยินหยาง เฉินเกอเห็นถ้อยคำทั้งหมดถูกเขียนเอาไว้ที่บนรูปหุ่นไร้หัว เขาสงสัยว่านี่จะเป็นหนึ่งในเนื้อเรื่องของบ้านผีสิงหรือว่าเป็นเรื่องบังเอิญ

หมอลังเลก่อนที่จะพับแบบฟอร์มแล้วเก็บมันเข้าไปในกระเป๋า “ขอบคุณสำหรับการกรอกข้อมูล ตอนนี้ กรุณาตามรุ่นพี่ที่นำทางพวกเธอมาที่นี่ไปร่วมพิธีต้อนรับ”

“รุ่นพี่คนนั้นถูกผีจับตัวไปแล้ว และเขาก็ถูกขังเอาไว้ในห้องชมรมถ่ายภาพ” เฉินเกอเตือนเขา เขาพบว่าหมอนั้นค่อนข้างใจลอย เขาลืมไปแล้วว่ารุ่นพี่ถูกจับตัวไปแล้ว

“โอ้ ใช่ ถ้าอย่างนั้นฉันจะนำพวกเธอไปที่นั่นเอง” หมอเดินไปที่ประตูกำลูกบิดประตูเอาไว้ “ฉันตรวจดูสีหน้าของพวกเธอแล้ว และไม่มีใครมีปัญหาทางร่างกายหรือว่าทางจิตใจ เมื่อพวกเธอเดินออกไปจากประตูนี้ พวกเธอก็จะกลายมาเป็นนักเรียนที่สถาบันฝันร้ายอย่างเป็นทางการ ในฐานะที่ปรึกษาของโรงเรียน ฉันมีคำแนะนำสุดท้าย อย่าเปิดประตูห้องไหนในโรงเรียนมั่ว ๆ และอย่าเชื่อสิ่งที่คนแปลกหน้าบอก”

ประตูเปิดออก หมอกดเปิดไฟฉายของตัวเองแล้วเดินก้มหน้าต่ำนำทางไป ผู้เข้าชมตามหลังเขาไปติด ๆ พวกเขาเดินไปได้สองสามก้าวตอนที่ผู้เข้าชมได้ยินเสียงเล็บครูดกับประตูดังมาจากด้านหลังพวกเขา

หันกลับไปมองก็พบว่ามีเด็กหญิงในชุดเครื่องแบบโรงเรียนยืนอยู่ที่มุมทางไปบันได ใบหน้าของเธอซีดขาวราวกับกระดาษ และเธอยังมีรอยยิ้มน่าขนลุก แขนของเธอโบกมาทางกลุ่มผู้เข้าชมไม่หยุด

แสงสลัวที่ตรงมุมกะพริบ เด็กหญิงปรากฏและหายลับไปในความมืด ริมฝีปากของเธอแย้มออก แต่ว่าไม่มีเสียงดังออกมา มันเหมือนเธอกำลังพูดบางอย่าง

“มีผีอยู่ด้านหลังพวกเรา!” หลี่ป๋อ เด็กหนุ่มร่างอ้วนกรีดร้องขณะที่เขาเบียดตัวเข้ากับกลุ่มและขดตัวอยู่ด้านหลังหมอ ตอนที่ทุกคนเห็นเด็กหญิง พวกเขาก็เคลื่อนไหวเร็วขึ้นอย่างไม่รู้ตัว และเฉินเกอก็ถูกทิ้งเอาไว้ด้านหลังกลุ่มอีกครั้ง เขาหันกลับไปมองเด็กหญิง ตอนที่คนอื่น ๆ ถูกการแต่งหน้าน่ากลัวของเด็กหญิงหลอก เฉินเกอกลับมองปากเด็กหญิง

“อย่าตามหมอไป”

“อยู่ให้ห่างจากเขา”

“ระวังพวกผู้ใหญ่”

“วิ่ง”

เด็กหญิงดูเหมือนจะให้คำใบ้แก่เหล่าผู้เข้าชม แต่นอกจากเฉินเกอแล้วก็ไม่มีใครเห็น

“ทำไมพวกเราถึงต้องระวังผู้ใหญ่ด้วย?” เฉินเกอจู่ ๆ ก็นึกถึงรายละเอียดหนึ่ง รุ่นพี่ที่ปรากฏตัวก่อนหน้านี้นั้นสวมเครื่องแบบที่ดูเล็กกว่าตัวอย่างน่าสงสัย “หรือว่ารุ่นพี่คนนั้นไม่ใช่นักเรียนแต่ว่าเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่ง?”

เฉินเกอจ้องเด็กหญิงที่ตรงมุมนิ่ง คำนวณระยะห่างระหว่างตัวเขากับเด็กหญิง “ถ้าฉันพุ่งออกไป ฉันสามารถย่นระยะทางนี้ได้ภายในห้าวินาที ก่อนที่หมอจะทันได้มีปฏิกริยา ฉันก็จะไปถึงตัวเด็กหญิงและกลายเป็นส่วนหนึ่งของผี”

เทียบกับภารกิจของโทรศัพท์เครื่องดำ การมาเยี่ยมชมบ้านผีสิงอื่นนั้นเป็นวันหยุดและเฉินเกอก็ค่อย ๆ ค้นพบความสนุก “ฉันจ่ายค่าตั๋วไปแล้ว ตราบใดที่มันยังอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ ฉันสามารถที่จะลองวิธีที่ฉันต้องการ เพื่อเพิ่มความสร้างสรรค์ของผู้เข้าชมและช่วยให้พวกเขาผ่อนคลาย นั่นเป็นจุดมุ่งหมายของบ้านผีสิง”

เนื้อหาที่เดิมนั้นมีเพียงเส้นทางเดียวกลับเปิดออกว้างออกโดยเฉินเกอ เขาตื่นเต้นมากขึ้น “ช่วงหลัง ๆ มานี้ฉันวุ่นวายกับการจัดการกับโทรศัพท์เรื่องดำ วันนี้ ฉันควรจะผ่อนคลายและคลายเครียด”

ม่านตาของเขาหดแคบลง และเฉินเกอก็จ้องเป๋งไปยังเด็กหญิงที่ตรงมุมขณะที่รอยยิ้มอบอุ่นปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา

ผงแป้งบางส่วนหล่นลงจากใบหน้าซีดเผือด เด็กหญิงจู่ ๆ ก็ตัวสั่นตอนที่เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเฉินเกอ เธอเซถอยไปด้านหลังโดยไม่รู้ตัวและจากนั้นก็หายตัวไปในความมืด

“เธอขี้อายเกินไป ผีจริง ๆ ไม่ควรมีท่าทีอย่างนี้” เฉินเกอแบกกระเป๋าสะพายหลัง มือล้วงอยู่ในกระเป๋า เดินไปตามทางเดินสลัวแต่เขาก็ไม่พบอะไรชัดเจน

“หมอนั้นแทนความมืดดำในใจผู้ใหญ่ ทำหน้าที่ปิดบังความลับในโรงเรียน เด็กหญิงที่ตรงมุมแทนผี ไม่ต้องการถูกพบเห็นและหายตัวไปทันทีที่ฉันเคลื่อนไหว ในเมื่อไม่มีฝ่ายไหนเป็นตัวแทนของความดี อย่างนั้นฉันเปลี่ยนตัวเองไปเป็นฝ่ายที่สามในโรงเรียนผีนี่ดีไหมนะ?”