ตอนพิเศษ 2-14 ยอน ชิน

วุ่นรักบุปผาร้อยเล่ห์

สองพี่น้องกอดกันแน่นและร้องไห้โฮอย่างเศร้าโศก ยุนเกลียดเวลาสตรีร้องไห้มาก แล้วยิ่งร้องกันสองคนก็แทบจะบ้าเลยทีเดียว เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาให้แล้วกลับหลังหัน แต่จู่ๆ ก็เอะใจกับคำที่คุ้นเคยจากสิ่งที่นางโลมพูดเมื่อสักครู่

 

 

“เดี๋ยวนะ เมื่อวานเจ้าได้รับรองแขกผู้สูงส่งอย่างนั้นหรือ”

 

 

ใบหน้างดงามกลายเป็นเลอะเทอะเปรอะเปื้อน นางโลมที่กำลังร้องไห้หยุดร้องทันทีด้วยความประหลาดใจ และมีเสียงสะอึกดังออกมาแทนน้ำตา นางคงจะพูดเรื่องที่ห้ามพูดออกมาแน่ๆ

 

 

“ดูท่าคงจะตอบยากสินะ ข้าจะไม่ถามซักไซ้แล้วกัน”

 

 

ไม่ได้รู้ก็ไม่เป็นไร แต่นางโลมคว้าชายเสื้อของเขาที่กำลังจะหันหลังกลับอย่างรวดเร็ว

 

 

“ไม่เจ้าค่ะ ข้าจะมีเรื่องที่บอกผู้มีพระคุณไม่ได้ได้อย่างไรกันเจ้าคะ”

 

 

นางโลมทำท่าลังเลสักพัก จากนั้นกัดริมฝีปากหนึ่งทีแล้วขยับปากเข้าไปใกล้กับหูของฮอน

 

 

“แขกที่มาเมื่อวานคือองค์ชายใหญ่ของประเทศนี้เจ้าค่ะ”

 

 

องค์ชายใหญ่? สิ่งที่ยุนคิดไว้อย่างมากก็แค่คู่แข่งคนอื่นที่มาจากประเทศอื่นเท่านั้นเอง ถ้าเทียบกับการตกปลาแล้ว ถือว่าเป็นปลาตัวมหึมาเลยทีเดียว

 

 

“ชิน ไม่ใช่สิ องค์…”

 

 

“ชู่!”

 

 

เดี๋ยวใครก็ได้ยินเข้าหรอก นางรีบปิดปากเขาอย่างว่องไว แต่ก็ไม่สามารถปิดรอยยิ้มของยุนที่เกินออกมาได้ ไอ้หมอนี่ หน้าตาดีหน่อยก็กล้าทำทุกอย่างเลยสินะ

 

 

“เข้าใจแล้ว แล้วได้ยินอะไรมาบ้างไหม”

 

 

ยุนลดเสียงลงอย่างเต็มที่ขณะกระซิบถามนาง ลางสังหรณ์ของเขากำลังบอกว่าจะได้ข้อมูลสำคัญจากตรงนี้

 

 

“สิ่งที่ได้ยินหรือเจ้าคะ”

 

 

“อย่างเช่น เรื่องเกี่ยวกับองค์หญิงอะไรแบบนั้น”

 

 

เรื่องเกี่ยวกับองค์หญิง นางครุ่นคิดอย่างเงียบๆ ก่อนจะพยักหน้าเหมือนกับนึกบางอย่างออก

 

 

“มะรืนนี้ซึ่งก็คือพรุ่งนี้ จะมีการสู่ขอจากองค์ชายรองแห่งอุนกุกเจ้าค่ะ ถ้ารู้ว่าเป็นคนอารมณ์ฉุนเฉียวก็คงจะหนีไปเป็นพันลี้แน่ พระองค์ตรัสเช่นนี้เจ้าค่ะ”

 

 

ชิ้นส่วนที่กระจัดกระจายเข้ากันได้อย่างลงตัว ดูเหมือนจะต้องเตรียมตัวให้เสร็จและปรับแก้แผนที่จะเข้าไปยังพระราชวังเสียหน่อยแล้ว

 

 

ในเมื่อให้ข้อมูลสำคัญขนาดนี้มาก็คงจะไม่สามารถปล่อยให้กลับไปเปล่าๆ ได้ เขาจึงควักถุงเงินถึงหนึ่งที่รีดไถ ไม่ใช่สิ ที่ได้มาจากตำหนักพระมเหสีออกมาแล้วส่งให้นางโลมไปทั้งถุง ในวันข้างหน้าเขาอาจจะรู้สึกเสียดายที่ใจป้ำเกินไป แต่สำหรับนางโลมแล้วมันเป็นเงินที่เปรียบดั่งแสงสว่างที่ส่องลงมาท่ามกลางความสิ้นหวังในชีวิต

 

 

“นี่เป็นค่าข้อมูล จะเอาไปซื้อชุดสวยๆ ให้น้องหรือจะเอาไปขัดหลังก็ตามใจเลย ถ้าอย่างนั้นข้าขอตัวก่อน”

 

 

นางโลมสะดุ้งตกใจหลังจากเปิดดูถุงเงินนั้น แล้วปิดมันเหมือนเดิม ไม่ใช่เหรียญทองแค่อันเดียว แต่มากถึงสิบอัน เป็นเงินที่มีมูลค่าสูงจนสามารถใช้ไถ่ตัวออกมาได้ ซื้อบ้านได้หนึ่งหลัง และหลังจากนั้นก็ยังอยู่กินได้อีกหลายปี

 

 

“ข้าไม่สามารถรับมันไว้… ท่านจอมยุทธ์”

 

 

หลังจากทิ้งสองพี่น้องขี้แยไว้และออกมาจากตลาด ยุนก็รีบทำทุกอย่าง เสาะหาผู้หญิงที่เย็บชุดขาย จ่ายค่าชุดแล้วแต่งตัวให้เรียบร้อยเหมาะสม ซื้อกระดาษที่คุณภาพดีที่สุดและเขียนจดหมายขอแต่งงานด้วยพู่กันอันนั้นที่เสด็จพ่อเขวี้ยงใส่แล้วขยำทิ้งอยู่หลายรอบ

 

 

เพราะว่าต้องจัดการทุกอย่างที่คิดไว้ว่าจะใช้เวลาเตรียมประมาณสองสามวันภายในคืนเดียว เขาจึงมึนงงไม่มีสติและเวลาก็ยังจะไม่พอด้วย

 

 

ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้ก็คงจะให้คนที่ใช้แรงงานได้หนักติดตามมาด้วยหนึ่งคน หลังจากเตรียมทุกสิ่งทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็พับชุดใหม่กับจดหมายขอแต่งงานแล้ววางไว้ตรงหัวนอนอย่างเรียบร้อย และได้เข้านอนในตอนช่วงรุ่งสาง นั่นจึงทำให้เขาตื่นสาย

 

 

“เวรเอ๊ย ต้องไปถึงก่อนเจ้านั่นสิ!”

 

 

ยุนรีบวิ่งไปที่พระราชวัง จากนั้นควักราชสาส์นหนึ่งฉบับกับสร้อยคอที่ทำมาจากทองออกมาจากหน้าอกให้ทหารเฝ้าประตู บนราชสาส์นมีตราประทับรับรองของพระราชาแห่งฮเยกุกอยู่ ส่วนสร้อยคอก็มีลวดลายที่เป็นสัญลักษณ์ราชวงศ์ของฮเยกุกถูกประทับตราไว้อย่างชัดเจน

 

 

ณ พระราชวังที่เขาเข้ามาสาย เขาได้พบกับสตรีผู้งดงามที่สุดจากบรรดาทุกคนที่เคยเห็นมาตั้งแต่เกิดจนถึงตอนนี้ ถึงจะเป็นการอกตัญญูแต่นางงดงามยิ่งกว่าเสด็จแม่เสียอีก นี่ข้าปล่อยให้สตรีผู้งดงามถึงเพียงนี้รอนานเลยสินะ ยุนนำจดหมายขอแต่งงานที่เขียนและขยำทิ้งแล้วทิ้งอีกหลายรอบเมื่อคืนออกมายื่นให้ตรงหน้า

 

 

“องค์ชายใหญ่แห่งฮเยกุก ยูยุนมาที่นี่เพื่อขอองค์หญิงใหญ่แห่งแทซากุกอภิเษกอย่างเป็นทางการพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

 

 

* * *

 

 

 

 

แม้จะเป็นพิธีอภิเษกสมรสครั้งแรกที่เป็นการเชื่อมสัมพันธ์ทางสายเลือดระหว่างประเทศพันธมิตร แต่การเตรียมการทั้งหมดก็เสร็จสิ้นอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบ เพราะนอกจากองค์ชาย ไม่ใช่องค์รัชทายาทและองค์หญิงแล้ว พระราชาทั้งสองฝ่ายที่ไม่ชอบความวุ่นวายอยู่แล้วแต่แรกต่างมีความคิดเห็นตรงกัน

 

 

พิธีอภิเษกสมรสถูกจัดขึ้นที่พระราชวังของแทซากุก ของหมั้นที่กองเท่าภูเขาและคณะผู้แทนพระองค์จากฮเยกุกมาถึงตรงเวลา พวกเขาเก็บรักษาราชสาส์นที่ตวัดเขียนลวกๆ ของพระราชาแห่งฮเยกุกไว้อย่างดีราวกับทรัพย์สมบัติที่มีค่า ราชสาส์นที่ถูกประทับตราเพื่อให้คู่รักกษัตริย์แห่งแทซากุกได้เปิดออกด้วยตัวเองมีเนื้อหาข้อความที่สั้นและกระชับเป็นอย่างยิ่ง

 

 

[ไว้คอยดูเถอะ เพราะราชธิดาของเจ้า ข้าถึงต้องทำหน้าที่พระราชาเฮงซวยนี่ไปอีกสิบปี]

 

 

ฮอนกับรยูฮานั่งเคียงกันที่ลานหน้าพระที่นั่งซึ่งเป็นช่วงที่เข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงโดยสมบูรณ์และมองดูพิธีอภิเษกสมรสชองยอนกับยุน ณ ด้านบนสุดของพระราชวังซึ่งมักจะมีเก้าอี้สามตัวถูกวางไว้ในยามที่มีงานใหญ่ บัดนี้ถูกเติมเต็มพื้นที่อันกว้างขวางด้วยเก้าอี้เพียงแค่สองตัว ฮอนจับมือรยูฮาที่หันไปมองข้างๆ อยู่ตลอดเพราะรู้สึกอึดอัดอย่างเงียบๆ

 

 

“ก่อนเสด็จย่าจะสวรรคต มีสิ่งที่พระองค์ทรงตรัสกับแค่หม่อมฉันเท่านั้นด้วยเพคะ”

 

 

“อะไรหรือ”

 

 

“ยามพวกเราเข้าพิธีอภิเษกสมรส เสด็จย่าตรัสว่าเห็นว่าหม่อมฉันเป็นหลานสะใภ้ตั้งแต่วันนั้นที่จัดพิธีเลือกคู่อภิเษกสมรสรอบแรกแล้ว”

 

 

น้ำตาที่คลออยู่ตรงหางตาของรยูฮาร่วงหล่นลงบนฝ่ามือที่จับประสานกัน

 

 

“เคยตรัสว่ายอนงดงามมากเพคะ พระองค์จะทรงทราบใช่ไหมว่านางได้พบกับคู่ชีวิตและแต่งงานแล้ว”

 

 

“พระมเหสีไปทูลพระองค์ที่พระราชสุสานแล้วไม่ใช่หรือ เสด็จย่าน่าจะกำลังมีความสุขอยู่ไม่น้อย”

 

 

ในระหว่างที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกันด้วยเสียงที่ได้ยินกันและกันเท่านั้นอยู่นั้น ยอนกับยุนก็หันหน้าตรงมายังพระที่นั่ง คำนับสี่ครั้ง ภาพของยอนที่ยืนเคียงข้างกับยุนและโค้งคำนับสี่ครั้งอย่างช้าๆ สุดท้ายก็ทำให้ฮอนต้องร้องไห้ ซึ่งไม่ใช่หยดน้ำตาหนึ่งหยดเหมือนรยูฮาก่อนหน้านี้ แต่ร้องไห้เป็นน้ำตกที่ไหลพรากลงมาตามมือ ถึงจะพยายามปิดแล้วก็ตาม

 

 

“เลิกร้องได้แล้วเพคะ หม่อมฉันอายไปหมดแล้ว”

 

 

“ฮึก ลูกสาวของพวกเรา ฮึก”

 

 

เฮ้อ รยูฮาถอนหายใจ เลิกปลอบฮอนและวางมือที่จับไว้อยู่ลงเบาๆ ถ้าจะเสียใจขนาดนี้แล้วจะตัดสินใจให้แต่งทำไม พร้อมกับบ่นเบาๆ ภายในใจ นางเองก็รู้สึกโหวงๆ เหมือนกัน แต่เพราะว่าฮอนเล่นใหญ่เล่นโตไปแล้ว นางจึงไม่แสดงออกมา