ตอนพิเศษ 2-13 ยอน ชิน

วุ่นรักบุปผาร้อยเล่ห์

นางพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความจริงจัง ฮอนไม่มีทางเมินเฉยต่อสายตานั้นได้ สุดท้ายก็เป็นชัยชนะของยอนอีกเหมือนเคยตั้งแต่เกิดจนถึงตอนนี้

 

 

“ให้องค์ชายแห่งฮเยกุกเข้ามาข้างใน”

 

 

แม้จะมีแขกอยู่ แต่การเห็นใจก็ไม่ได้อยู่ในพจนานุกรมของพระราชาแห่งแทซากุก ถึงจะเป็นเช่นนั้นแต่ใบหน้าขอยอฮึนก็ปรากฏความไม่พอใจแวบหนึ่ง แม้จะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ แต่ก็ไม่พ้นสายตาของรยูฮาไปได้

 

 

“องค์ชายแห่งฮเยกุกเสด็จ”

 

 

จูฮวานพูดจบ ประตูก็เปิดออกในเวลาเดียวกัน จากนั้นองค์ชายแห่งฮเยกุกจึงเข้ามาด้านในพร้อมโค้งถวายการคำนับอย่างมีมารยาท

 

 

“องค์ชายใหญ่แห่งฮเยกุก ยูยุน ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”

 

 

ยอฮึนขมวดคิ้วเล็กน้อย เสียงทุ้มต่ำนั้นเหมือนเคยได้ยินมาก่อน ส่งผลให้ความตั้งมั่นว่าจะไม่หันไปมองโดยเด็ดขาดไม่สามารถเอาชนะความอยากรู้อยากเห็นได้ พอค่อยๆ หันหน้าไปหาต้นเสียง ดวงตาก็ถึงกับเบิกโพลงด้วยความตกใจและงงงวย ไม่ใช่หรอกมั้ง คงจะเป็นคนหน้าตาคล้ายกันแน่ๆ แต่คำพูดของอีกฝ่ายที่แสร้งทำเป็นรู้จักเขาก็ทำให้ความหวังอันริบหรี่แตกออกเป็นเสี่ยงๆ

 

 

“ยินดีที่ได้พบกันที่นี่พ่ะย่ะค่ะ เมื่อวานข้าทำเสียมารยาทไปเสียเยอะทีเดียว องค์ชายรองแห่งอุนกุก”

 

 

เสียงหัวเราะอวดดีและคุ้นหู ทุกคนภายในห้องต่างรับรู้ถึงบรรยากาศแปลกๆ ไหลเวียนระหว่างยุนกับยอฮึน ซึ่งคนสนุกอย่างเห็นได้ชัดที่สุดคือฮอนกับชิน แต่ความคิดของรยูฮาต่างหากที่กำลังสนุกที่สุด

 

 

“ว่าจะแนะนำให้รู้จักกันเสียหน่อย แต่ดูเหมือนจะรู้จักกันแล้วสินะ”

 

 

“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมได้บังเอิญรู้จักกับองค์ชายแห่งอุนกุกพอดี”

 

 

ฮอนผงกศีรษะพร้อมกับชี้ไปตรงตำแหน่งที่ให้ยุนนั่ง มีที่นั่งตั้งมากมาย แต่เขากลับชี้ที่นั่งข้างๆ ยอฮึน ช่างเป็นเจตนาที่ชัดเจน

 

 

“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท แต่ก่อนจะนั่ง กระหม่อมขอกล่าวเหตุผลที่มาหาก่อนได้หรือไม่”

 

 

ฮอนมองเห็นโฮจินในอดีตจากท่าทางของยุนที่กำลังพูดอย่างทรงพลัง เจ้ากรมกลาโหมจอมอวดดีนั่นสบายดีหรือเปล่านะ ความคิดถึงปรากฏบนริมฝีปากของฮอนที่ยิ้มแย้มออกมาโดยไม่รู้ตัว

 

 

“ว่ามาสิ”

 

 

ยุนโค้งตัวลงหนึ่งครั้งเป็นการขอบคุณ จากนั้นจึงนำจดหมายสีแดงฉบับหนึ่งออกมาจากหน้าอก ขันทีรับมันมาและส่งต่อให้กับฮอน ระหว่างนั้นยุนก็จ้องมองยอนพร้อมกับยิ้มอย่างสดใส สายตาของยอนเองก็จับจ้องดวงตาของยุนเช่นกัน ผิดกับตอนมองยอฮึนก่อนหน้านี้

 

 

“องค์ชายใหญ่แห่งฮเยกุก ยูยุน มาที่นี่เพื่อสู่ขอองค์หญิงแห่งแทซากุกอย่างเป็นทางการพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

 

 

* * *

 

 

 

 

สิบห้าวันก่อน ณ พระราชวังฮเยกุก

 

 

ยุนกำลังเงี่ยหูฟังเสียงของเสด็จพ่อท่ามกลางเหล่าเสนาบดีที่นั่งแน่นขนัดเต็มท้องพระโรง

 

 

“องค์รัชทายาทยุนมีพฤติกรรมโอหัง เกียจคร้านในการเรียน ไม่คู่ควรกับตำแหน่งองค์รัชทายาท ผู้นำพาฮเยกุกในภายภาคหน้า จึงถูกถอดถอนจากตำแหน่งนั้น และให้ขานเรียกว่าองค์ชายใหญ่แทน”

 

 

องค์รัชทายาทผู้ถูกปลด หน้าอกของผู้ที่หมอบกราบอยู่กับพื้นเย็นเฉียบเต็มไปด้วยความดีใจ

 

 

“และแต่งตั้งแบค องค์ชายรองให้ขึ้นเป็นองค์รัชทายาทเพื่อสร้างรากฐานของประเทศ องค์ชายรอง แบค จงปฏิบัติตามพระราชโองการ ฝึกฝนทั้งทางร่างกายและจิตใจ อย่าได้ประมาทเลินเล่อ”

 

 

สมบูรณ์แบบ แม้ว่าจะเป็นการอตัญญูต่อเสด็จแม่ผู้ปกป้องตนจนวินาทีสุดท้าย แต่หากเป็นน้องชายก็คงจะทำได้ดีกว่าตนอย่างแน่นอน เขาจึงเชื่อใจและไม่มีข้อกังขาใดๆ และในเย็นวันนั้น หลังจากปลดโซ่ตรวนที่ผูกข้อเท้าอย่างแน่นหนาด้วยชื่อว่าองค์รัชทายาทเรียบร้อยแล้ว ยุนก็เปลี่ยนเป็นชุดลำลองเข้าพบผู้เป็นพ่อ

 

 

“ถูกใจเจ้าหรือไม่ล่ะ”

 

 

มันคือคำถามแรกที่จินเอ่ยถามพร้อมกับขมวดคิ้วทันทีที่ได้เห็นหน้าลูกชายคนโต

 

 

“กระหม่อมไม่ทราบว่าเสด็จพ่อตรัสถึงเรื่องอะไรพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

“คงจะชอบล่ะสิ ที่พ้นจากตำแหน่งนั้นแล้ว ให้ตายเถอะ ไอ้ลูกอกตัญญูนี่”

 

 

แม้ยุนจะไม่ได้ตอบเป็นคำพูด แต่คำตอบทั้งหมดปรากฏอยู่บนสีหน้ายิ้มแย้มแล้ว ปีนี้ยุนอายุยี่สิบเอ็ดชันษา ซึ่งเป็นอายุที่สามารถขึ้นครองราชบัลลังก์แทนได้ หากจินจะหลบหนีไปกลางดึกเหมือนกับพี่ชายของเขาก็ย่อมได้ แต่ตอนนี้ผู้นั่งตำแหน่งองค์รัชทายาทคือองค์ชายรองที่มีอายุได้เพียงสิบปีเท่านั้น ดังนั้นจินจึงต้องทำหน้าที่พระราชาต่อไปอีกสิบปี

 

 

“ในเมื่อกระหม่อมเป็นองค์รัชทายาทที่ถูกปลดแล้ว ก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ในวังต่อไปอีกทำไม กระหม่อมจึงจะเตรียมตำหนักส่วนตัวและย้ายออกไปอยู่ที่นั่นพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

“ทำอะไรก็ทำ”

 

 

“แถมตอนนี้ก็ถึงวัยแล้วด้วยจึงคิดว่าจะอภิเษก ดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

 

 

อภิเษก? กะทันหันแบบนี้เนี่ยนะ จินเพ่งมองใบหน้าลูกชายที่คล้ายกับตนอย่างกับแกะสักพัก แล้วสะบัดมืออย่างรำคาญ

 

 

“งั้นก็จัดการเอาเองแล้วกัน ทำเรื่องสู่ขอเองแล้วก็จัดงานเองเลย”

 

 

แม้จะไม่ค่อยอ่อนโยนนัก แต่ก็ถือว่าเป็นพระบรมราชานุญาต ยุนยิ้มแย้มพร้อมกับโค้งหนึ่งทีก่อนจะนำสมุดเล็กๆ เล่มหนึ่งออกมาจากด้านในแขนเสื้อ

 

 

“นี่คือของขวัญที่กระหม่อมขอมอบให้แทนคำขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

บนหน้าปกของสมุดเล่มเก่านั้น ไม่มีอะไรถูกเขียนอยู่เลย ยุนวางมันไว้บนโต๊ะแล้วถอยกลับไปด้านหลัง

 

 

“อะไรน่ะ”

 

 

“รายชื่อเหล่าขุนนางที่มั่งมีจากการขูดรีดประชาชนและสถานที่ที่เก็บหลักฐาน มันช่วยกระหม่อมไว้มากในการหาเงินหลบหนี แต่ตอนนี้ไม่มีประโยชน์แล้ว กระหม่อมจึงจะนำมาถวายให้เสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

แต่ว่า ขอเงินหน่อย พู่กันบินตรงไปหาคนเอ่ยต่อท้ายอย่างระวัง ลอยเฉียดหูยุนอย่างน่าหวาดเสียว ก่อนจะปักโดนหัวของขันทีผู้น่าสงสารเต็มๆ และร่วงลงพื้นเหมือนเจ้าตัว

 

 

“ออกไปซะ ก่อนเจ้าจะโดนดี”

 

 

“พ่ะย่ะค่ะเสด็จพ่อ พู่กันนี้กระหม่อมจะคิดว่าเสด็จพ่อมอบให้ จะนำไปด้วยแล้วกัน”

 

 

แม้จะยอมถอยออกจากตำหนักของพระราชาแต่โดยดี แต่ยุนก็ไม่ยอมแพ้ ผู้อยู่ข้างเขาตลอดกาล สตรีเพียงผู้เดียวที่เสด็จพ่อยอมก้มหัวให้อยู่ใกล้ๆ กันนี้เอง เขามุ่งหน้าไปหาเสด็จแม่และกวาดทรัพย์สินเงินทองเท่าที่จำเป็นจนแทบเกลี้ยงตำหนักพระมเหสี จากนั้นก็ออกเดินทางออกจากฮเยกุกโดยไม่ลืมตรวจสอบสิ่งของต่างๆ ที่เตรียมไว้ใช้ระหว่างเดินทางเป็นครั้งสุดท้ายด้วย

 

 

และเป็นเรื่องบังเอิญที่ได้เผชิญหน้ากับบุรุษเจ้าสำราญเจ้าเล่ห์ผู้หนึ่งในเมืองหลวง ซึ่งไม่ได้มาเยี่ยมเยียนนานแล้ว ไม่คิดว่าคนผู้นั้นจะเป็นถึงองค์ชายรองแห่งอุนกุก ไม่คิดไม่ฝันเลยจริงๆ ยุนมองดูอีกฝ่ายเฉกเช่นอีกฝ่ายมองตน คงไม่คิดว่าเขาเป็นองค์ชายใหญ่แห่งฮเยกุกด้วยเหมือนกัน เขาก็แค่รู้สึกไม่พอใจที่เด็กสาวกับนางโลมหน้าตาสะสวยถูกปฏิบัติด้วยไม่ดีเท่านั้น

 

 

“ร่างกายท่านมีค่าขนาดไหนล่ะ”

 

 

ดูจากที่ไม่สามารถตอบคำถามได้ คงจะไม่ได้มีค่าขนาดนั้นสินะ ยุนยิ้มเยาะพร้อมกับไม่ลังเลที่จะชักดาบสีนิลซึ่งได้รับจากเสด็จพ่อออกมา

 

 

“ไอ้นี่ รู้ไหมว่าข้าคือใคร”

 

 

“ข้าถามตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะ ว่าท่านคือใคร”

 

 

“อีกเดี๋ยวข้าก็จะได้เป็นราชบุตรเขยของแทซากุก……!”

 

 

“ตายจริง ใต้เท้า!”

 

 

เจ้าบ้านั่นพูดเรื่องอะไรน่ะ ราชบุตรเขยของแทซากุกน่ะคือข้าต่างหาก เสียงคนใช้ที่ปิดปากเจ้าเสเพลนั่นคือเสียงของขันทีอย่างแน่นอน ในขณะที่ประกอบชิ้นส่วนเข้าด้วยกันทีละชิ้นในหัว ยุนก็อุ้มนางโลมกับสาวใช้ในคราวเดียวและพาไปซ่อนตัวในซอยด้านหลัง

 

 

“ขะ ขอบคุณที่ช่วยเจ้าค่ะ”

 

 

เด็กสาวน้ำตาหยดแหมะๆ พร้อมกับจับมือยุนแน่น แต่ท่าทีของนางโลมดูค่อนข้างแปลกทีเดียว เด็กคนนั้นเป็นแค่สาวใช้ แต่นางโลมก็น้ำตาคลอและโค้งคำนับให้กับเขาเช่นกัน

 

 

“ดูเหมือนว่าจะรักคนใช้มากเลยสินะ”

 

 

“ไม่ใช่ นางไม่ใช่คนใช้เจ้าค่ะ”

 

 

นางโลมส่ายหย้าที่เปียกชื้นด้วยน้ำตา

 

 

“เด็กคนนี้คือน้องแท้ๆ ของข้าเจ้าค่ะ แต่เพราะว่าสายเลือกของพวกเรามีกันแค่สองคน ข้า ฮึก ก็เลยต้องมาเป็นนางโลมเพื่อเลี้ยงน้อง ฮึกๆ เด็กที่จิตใจดีคนนี้อยากจะช่วยอะไรก็ได้สักอย่างจึงอาสามาเป็นสาวใช้เจ้าค่ะ แล้ว ฮึก เมื่อวานข้าได้เงินมาจากแขกผู้สูงส่งพอสมควรจึงตั้งใจจะออกมาซื้อชุดสวยๆ ให้น้องสักตัว ฮึก”

 

 

“ฮึก ฮือ พี่”