ตอนที่ 354 ยังคงเป็นพี่ใหญ่ที่เอ็นดูข้า

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

“อ๋อเดี๋ยวนี้รู้จักเถียงแล้วใช่หรือไม่?” ตู๋กูถิงฟาดไม้กวาดออกไปใส่แรงมากกว่าเดิม

 

 

“ที่ไม่ได้เรื่องที่สุดก็คือเจ้า เจ้ารอง บอกให้เจ้าฝึกวรยุทธ์ก็ไม่ยอมฝึก รู้จักแต่ใช้ปากพูดมากดีนัก ในเมื่อเจ้าพูดเก่งถึงเพียงนี้ ทำไมไม่เห็นกล่อมให้ฮ่องเต้ทรงปล่อยน้องสาวของเจ้ากลับมาเฮอะ?”

 

 

“ท่านปู่เองก็ถวายฏีกาไปแล้วมิใช่หรือ? ก็ไม่เห็นว่าท่านจะพาน้องเล็กกลับมาได้เหมือนกันนิ” ดูท่าตู๋กูเจวี๋ยคงจะเกรงว่าตนเองจะมีชีวิตอยู่นานเกินไปแล้ว ถึงได้กล้ามาต่อปากต่อคำกับตู๋กูถิง

 

 

แต่เขาก็หลบลี้เก่งกาจนัก ท่านปู่ฟาดไม้กวาดมาทีไร ล้วนฟาดลงไปที่ร่างของพี่ใหญ่ทั้งสิ้น

 

 

ตู๋กูจุนไม่ร้องแม้แต่คำเดียว ทั้งยังตัดสินใจออกปากปกป้องตู๋กูเจวี๋ยอีกด้วย

 

 

“ท่านปู่ น้องรองร่างกายไม่แข็งแรง ก่อนหน้านี้ยังถูกเทพธิดาแห่งสายน้ำลี่เหอกักตัวเอาไว้ใต้ดินนานถึงเกือบเดือน ท่านลงมือเบาๆ หน่อย อย่าได้ตีเขาจนตาย”

 

 

ตู๋กูเจวี๋ยน้ำตาไหลพราก “ยังคงเป็นพี่ใหญ่ที่เอ็นดูข้า!”

 

 

“ไอ้เจ้ากระต่ายเปรียว กล้าไปท้าทายเทพพิทักษ์สายน้ำ ไม่มีความสามารถจะออกมาเอง ยังจะต้องให้น้องสาวไปช่วยเจ้า เจ้ามันน่าจะถูกเทพธิดาแห่งสายน้ำส่งไปสวรรค์ยิ่งนัก!” ตู๋กูถิงโกรธจนหนวดเคราปลิวกระจาย ถลึงตาโต “น้องสาวอายุเท่าไร่ เจ้ามันอายุเท่าไหร่ วันทั้งวันรู้จักแต่หาเรื่องให้น้องสาว เจ้ารู้จักความละอายบ้างหรือไม่?”

 

 

“ยังมีเจ้าอีก เจ้าใหญ่! ตัวหรือก็ใหญ่โตเสียเปล่า กลับไม่เห็นเจ้าปกป้องน้องสาวให้ดี!”

 

 

ตู๋กูจุน “ท่านปู่ ข้าผิดไปแล้ว”

 

 

สองพี่น้องถูกอบรมให้ปกป้องน้องสาวด้วยชีวิตมาตั้งแต่เล็กจนโต

 

 

ที่จริงความคิดเช่นนี่ฝังลึกจนแนบแน่นอยู่แล้ว โดยเฉพาะกับตู๋กูจุนที่เป็นพี่ใหญ่ ยิ่งต้องรับภาระหนักกว่า

 

 

“เจ้ารองเจ้ากระต่ายเปรียว หัดเรียนรู้จากพี่ใหญ่เอาไว้บ้าง ผิดแล้วก็บอกว่าผิด อย่าได้มาเถียงกับข้าที่เป็นผู้อาวุโส!”

 

 

ตู๋กูถิงยกไม้กวาดขึ้นมาอีกครั้ง เริ่มตีใหม่อย่างดุดัน

 

 

เจียงเหม่ยหยู่ถูกทอดทิ้งเหมือนดั่งเป็นอากาศธาตุ ได้แต่ยืนอยู่ข้างๆ เฉยๆ

 

 

อย่าได้เห็นว่านี่เป็น ‘การอบรมสั่งสอน’ หลานทั้งสอง ในสายตาของเจียงเหม่ยหยู่แล้ว นี่คือความรักความอบอุ่นอย่างที่สุด

 

 

นางถึงกับคาดหวังว่าเขาจะใส่ใจลูกๆ และหลานๆ ของนางด้วยการถามไถ่เช่นนี้บ้าง แต่ว่าน่าเสียดายเขากลับไม่เคยเหลือบแลเลยสักครั้ง แค่เลี้ยงเอาไว้เท่านั้น ดีก็ปล่อยพวกเขา ไม่ดีก็แล้วแต่พวกเขา….

 

 

ราวกับว่าเป็นคนที่ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวพันกับเขาเลยทั้งสิ้น

 

 

นี่ต่างหากคือบทลงโทษที่แท้จริง

 

 

เดิมทีนึกว่าพอเขากลับมาแล้วก็จะมาเป็นที่พึ่งพิงให้กับนาง แต่ว่าตอนนี้ดูแล้ว ที่พึ่งอันใดกัน ใจของเขาอยู่แต่กับคนของบ้านสายหลักเท่านั้น…..ไม่เคยจะหันกลับมาเหลียวแลนางเลยสักนิดเดียว

 

 

เพียงครู่เดียว ตู๋กูถิงก็ถือไม้กวาดวิ่งไล่ตีตู๋กูเจวี๋ยไปทั่วทั้งสวนแล้ว

 

 

เหล่าคนใช้ในจวนที่เห็นล้วนไม่แปลกใจอะไร ก่อนหน้านี้ตอนที่คุณหนูยังอยู่ในจวน คุณชายรองก็เป็นคนที่ถูกตีมากที่สุดอยู่แล้ว

 

 

ภาพที่นายท่านถือไม้กวาดไล่ตีสั่งสอนคนจึงพบเห็นเป็นเรื่องธรรมดา

 

 

เพียงแค่ไม่ได้เห็นมาสองปีแล้วเท่านั้นเอง……

 

 

ตู๋กูเจวี๋ยถูกไล่ตีร้องหงิงๆ จนต้องวิ่งหนีออกไปที่นอกจวน

 

 

ด้านนอกจวนมีคนกลุ่มใหญ่คอยชมดูเรื่องสนุกสนาน ในที่สุดพวกเขาไม่ต้องรอนาน ก็ได้เห็นใต้เท้าอวี้สื่อแห่งเมืองหลวง ถูกท่านปู่ของตนเองไล่ตีอย่างดุดัน

 

 

ฮิ ฮิ ฮิ……ช่างไม่รู้จักละอายบ้างเสียเลย

 

 

ผู้คนทั้งหลายต่างพากันหัวเราะ จะว่าไปแล้วคนในจวนตระกูลตู๋กูก็ไม่มีท่าทางของพวกผู้สูงส่งอย่างตระกูลใหญ่เอาเสียเลยจริงๆ

 

 

มีที่ไหนกันที่ประมุขของบ้านจะมาถือไม้กวาดไล่ตีลูกหลานของตนเอง ……นี่มิเท่ากับว่าส่งเสริมให้คนได้เห็นเรื่องที่น่าขบขันหรอกหรือ?

 

 

ผู้คนต่างก็ชมดูจนเป็นที่สนุกสนาน อย่างไรเสียก็มีคนมาเล่นงิ้วให้ดู หากไม่ดูก็ถือว่าเสียเปล่า

 

 

ไม่แน่ว่าอีกประเดี๋ยวอาจจะมีทีเด็ดกว่านี้อยู่อีกด้วย พวกเขาต่างก็พากันรอดูว่าฝ่าบาทจะลงแส้อย่างไร

 

 

ก่อนหน้านี้จวนอ๋องตระกูลตู๋กูเอาแต่ปิดประตูไม่รับแขกทำให้ผู้คนต่างก็ไม่พอใจ พอได้เห็นฉากเช่นนี้ในใจแต่ละคนต่างก็เกิดความยินดีขึ้นมา

 

 

“ได้ยินว่าสองพี่น้องไม่อาจเชิญไทเฮาน้อยออกจากวังมาได้ เพราะเหตุนี้จึงถูกตี”

 

 

“ฮิ ฮิ… ตู๋กูถิงนึกว่าตนเองเก่งกาจมากนักหรืออย่างไร? เขาต้องการให้ไทเฮาออกจากวัง ฝ่าบาทก็ต้องทรงยอมหรือ?”

 

 

“ยังมิใช่เพราะอวดเบ่งว่าตนเองมีคุณความดีหรอกหรือ? เหลียงจวิ้นอ๋องผู้นั้นก็ตายไปแล้ว แม่ทัพก่อตั้งแคว้นอีกสามคนที่พิการก็พิการไปแล้ว ที่ถูกเนรเทศก็โดนเนรเทศไปแล้ว ตอนนี้ก็เหลือแต่เขาเพียงผู้เดียว ทั้งยังสยบแดนเป่ยเจียงลงได้ จะมิให้ภาคภูมิใจได้หรือ?”

 

 

“จะภาคภูมิใจเพียงไรก็ไร้ประโยชน์ ในเมื่อสายตาของเขาไม่มีใครทั้งสิ้นเช่นนี้ก็ถือเป็นความผิดของเขาอยู่ดี”

 

 

“ยิ่งไปกว่านั้นสายตาของเขายังไม่เหลือบมองใคร ก็เท่ากับว่าไม่มีฝ่าบาทอยู่ในสายตา!”

 

 

“ใช่เลย ก่อนหน้านี้เขาก็ปกป้องอี้อ๋องหนุนให้เป็นฮ่องเต้ ตอนนี้ฝ่าบาทไม่ทรงเอาความเขา เขากลับดีนัก ปฏิเสธงานเลี้ยงพระราชทาน ทั้งยังจะขอให้ไทเฮาออกจากวัง? เฮอะ เฮอะ น่าหัวเราะ!”

 

 

ผู้คนต่างก็พากันแทะเมล็ดแตง จิบน้ำชากันไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

 

 

ในตอนนั้นเอง ก็เห็นรถม้าสีทองที่พ่วงอาชาแปดตัว ผ่านเข้ามาในท้องถนน

 

 

แปดอาชาของโอรสสวรรค์ นี่เป็นกฏของแคว้นต้าโจว

 

 

สีทองที่เหลืองอร่าม ยิ่งเป็นสีประจำของราชวงศ์ต้าโจว นอกจากโอรสสวรรค์แล้ว ผู้อื่นไม่อาจใช้ได้

 

 

พอผู้คนเหลือบไปเห็นรถม้าคันนั้นต่างก็พากันตื่นตะลึงขึ้นมา

 

 

พวกเขาต่างก็คิดกันไปมากมายว่า ฮ่องเต้อาจจะทรงลงแส้ใส่ตู๋กูถิง แต่คิดไม่ถึงว่าฮ่องเต้จะเสด็จมาด้วยพระองค์เอง?

 

 

นับตั้งแต่ฝ่าบาททรงขึ้นครองราชย์ก็ทรงกระทำเรื่องใหญ่ๆ มาแล้วไม่น้อย สามารถกล่าวได้ว่าในบรรดาฮ่องเต้ทั้งสามพระองค์ ฝ่าบาททรงเป็นผู้ที่แสดงพระราชอำนาจอยู่เสมอ

 

 

คราวนี้ เกรงว่าตู๋กูถิงเองก็คงไม่รอดแน่!

 

 

เพียงครู่เดียวรถม้าก็มาถึงปากประตูจวนตู๋กู

 

 

ทันทีที่ตู๋กูเจวี๋ยเห็นรถม้า ก็กลิ้งกระโดดไปหาเหมือนลิงตัวหนึ่ง

 

 

เขาคิดว่า…หากกระโดดไปอยู่ข้างกายฝ่าบาท ท่านผู้เฒ่าหรือจะยังตีเขาได้อีก?

 

 

พึ่งจะกระโดดโผเข้าไป ยังไม่ทันได้เห็นคนข้างในให้ชัดๆ ก็ถูกเท้าข้างหนึ่งถีบออกมา

 

 

“โอ๊ย!” ตู๋กูเจวี๋ยส่งเสียงร้องโอดโอย เท้านั้นเรี่ยวแรงมหาศาล เขากลับต้องกลิ้งเกลือกไปตามพื้นอีกหลายตลบ ถึงจะลุกขึ้นมาได้ ทำเอาเขาถึงกับมึนงงไปเลยทีเดียว

 

 

เมื่อครู่เหมือนจะได้เห็นชายเสื้อสีทองแวบหนึ่ง…..เป็นจีเฉวียนหรือ?

 

 

ฮ่องเต้สุนัขผู้นั้น อยู่ดีๆ จะเตะเขาทำไม โมโหโกรธาเรื่องใดมาหรือไง?

 

 

ท่านปู่คือคนที่ผิดใจกับฝ่าบาท แล้วมาลงที่เขาทำไม?

 

 

แถมยังถูกเตะออกมาต่อหน้าผู้คนตั้งมากมาย ต่อให้เขาหน้าหนาเพียงไรก็ยังอดจะรู้สึกอับอายไม่ได้

 

 

จะอย่างไรเขาก็เป็นถึงขุนนางอวี้สื่อแห่งเมืองหลวง ต่อไปจะให้คนมาหัวเราะเยาะได้หรือ?

 

 

รอบๆ จวนตระกูลตู๋กูล้วนแล้วแต่เป็นโรงน้ำชาและร้านค้า

 

 

ผู้คนมองผ่านหน่าต่างและที่นั่งลงมาล้วนสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน

 

 

“ดูสิ ฝ่าบาทกำลังทรงหาความลำบากใจมาให้ตระกูลตู๋กูแล้ว!”

 

 

“เฮอะ เฮอะ ตู๋กูเจวี๋ยที่ปากมากผู้นั้น สมควรถูกเตะมานานแล้ว ลูกถีบของฝ่าบาทครั้งนี้ช่างทำได้โดนใจผู้คนนัก!”

 

 

“เกรงว่านี่พึ่งจะเป็นการเริ่มต้นเท่านั้น ทุกท่านโปรดล้างตาคอยดูให้ดี ดูสิว่าฝ่าบาทของพวกเราจะทรงจัดการกับไอ้เฒ่าตู๋กูถิงนั่นเช่นไร!”

 

 

“เฮอะ เฮอะ เฮอะ……”

 

 

ผู้คนต่างก็พากันหัวเราะพลาง เฝ้าดูไปพลางๆ ที่จริงแล้วมิใช่เพราะพวกเขาชิงชังอะไรตู๋กูถิง แต่เพราะคนผู้นั้นกระทำตนอย่างไม่คำนึงถึงหน้าผู้อื่น ทั้งยังเป็นไอ้แก่หัวแข็งที่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง จึงอยากจะให้มีเรื่องอะไรขึ้นมาสั่งสอนเขาเพื่อลดทอนความหยิ่งผยองลงไปบ้าง

 

 

ที่สุดแล้ว จะอย่างไรแคว้นต้าโจวยังต้องการให้ตาเฒ่านั่นช่วยขยายดินแดนออกไป ย่อมไม่อาจทำอะไรบีบคั้นเขาถึงตายได้

 

 

ตู๋กูถิงเห็นตู๋กูเจวี๋ยถูกถีบออกมาครั้งหนึ่งก็ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็เห็นเขาสาวเท้าเข้าไปหาตู๋กูเจวี๋ย

 

 

ตู๋กูเจวี๋ยคิดว่าท่านปู่ใจดีมีเมตตา จะช่วยฉุดดึงเขาขึ้นมา คิดไม่ถึงว่าท่านปู่กลับฟาดไม้กวาดลงมาอีกชุดใหญ่อย่างไม่เกรงอกเกรงใจ “บอกให้เจ้าฝึกยุทธ์ ก็ไม่ฝึก! ถึงได้ถูกคนเขาถีบเอามากกว่าผู้อื่น เจ้าบอกมาสิเจ้ามันใช้การอะไรได้มั่ง!”