ตอนที่ 355 ท่านปู่ ข้ายังมีประโยชน์อยู่นะ

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ตู๋กูเจวี๋ยชักจะรู้สึกสงสัยแล้วสิว่าตนเองใช่หลานแท้ๆ หรือไม่

 

 

เขากอดแขน กอดอกตนเอง เกลือกกลิ้งอยู่บนพื้น “ท่านปู่ ข้ายังมีประโยชน์อยู่นะ ข้าสามารถเจรจาความบ้านเมืองได้ เป็นขุนนางแถวหน้าของต้าโจว!”

 

 

“เพ้ย! ปากอย่างเจ้าเช่นนี้ แค่ข้าเห็นลิ้นไก่เจ้าก็รำคาญแล้ว!” ตู๋กูถิงเล็งตรงไหนได้เป็นต้องตีตรงนั้น ตีเสียจนตู๋กูเจวี๋ยต้องวิ่งหนีเป็นวงกลม

 

 

ตู๋กูจุนไล่ตามมา พอเห็นเหตุการณ์แม้มีใจแต่ก็ไม่อาจช่วยเหลือได้

 

 

น้องรองปากมากจริงๆ หากว่าพูดน้อยลงไปสักสองประโยคเชื่อว่าท่านปู่คงจะยอมเพลามือลงไปบ้าง

 

 

เขาเองก็ไม่กล้าเข้าไปห้าม เพราะเกรงว่าหากยิ่งห้ามท่านปู่อาจจะตีหนักยิ่งกว่าเดิม

 

 

ภายในรถม้า ฮ่องเต้ทรงทอดพระเนตรผ่านรอยแยกของผ้าม่านมองเห็นทั้งหมดอย่างชัดเจน

 

 

ตู๋กูซิงหลันนั่งอยู่ข้างกายเขา นางเห็นชัดเจนเลยว่ามุมพระโอษฐ์ของฝ่าบาทปรากฏรอยยู่ขึ้นมา

 

 

“ฝ่าบาท….ทรงถีบพี่รองของข้าทำไม?” ตู๋กูซิงหลันถามอย่างไม่เข้าใจ

 

 

“เราเกรงว่าจะเป็นคนร้าย มาทำอันตรายเจ้า” จีเฉวียนตรัสด้วยพระพักตร์เรียบนิ่ง

 

 

จะว่าอย่างไรดี…..พระองค์ได้รับคำเตือนจากอู๋เหนียงจื่อแล้วว่าจะต้องเชื่อมไมตรีกับคนในครอบครัวของซิงซิง แต่พอพึ่งจะมาถึงประตูบ้านผู้อื่น ก็ถีบพี่รองของนางเข้าให้แล้ว

 

 

ฝ่าบาทกำลังทรงหงุดหงิดพระทัย

 

 

ชั่วเวลาสั้นๆ ในตอนนั้น ตู๋กูซิงหลันก็ไม่รู้ว่าสมควรจะพูดสิ่งใดดี นางมองดูพี่รองที่ถูกตีอย่างดุดัน มองดูท่านปู่ที่มีผมขาวโพลน

 

 

ท่ามกลางอากาศที่เย็นจัดในฤดูหนาว เขากลับสวมใส่เพียงเสื้อสีเขียวบางๆ เส้นผมเกล้ามวยเสียบปิ่นไม้ชิ้นหนึ่งเท่านั้น

 

 

ทั้งๆ ที่อายุก็มากแล้ว แต่กลับยังดูหนุ่มแน่นองอาจอยู่เลย

 

 

 

 

คิดๆ ดูแล้วยามที่อยู่ในวัยหนุ่มจะต้องหล่อเหลา เป็นบุรุษที่ใครๆ ก็หลงใหลเป็นแน่

 

 

ตู๋กูซิงหลันกวาดตามองไป ก็รู้สึกสนิทสนมคุ้นเคยอย่างยิ่ง

 

 

“ซิงซิง ดูเหมือนว่าเราจะทำให้เกิดเรื่องยุ่งยากขึ้นมาเสียแล้ว” จีเฉวียนทอดพระเนตรมองดูตู๋กูเจวี๋ยที่ถูกตีอย่างดุดัน ก็ต้องยื่นพระหัตถ์ไปนวดคลึงขมับ

 

 

ตู๋กูซิงหลันไม่รู้ว่าที่ทรงตรัสนั้นหมายความเช่นไร เพียงตอบว่า “ฝ่าบาท ลูกถีบนี้ของพระองค์ไม่ได้ทำให้พี่รองถึงตาย ไม่ใช่เรื่องใหญ่”

 

 

พี่รองที่ซื่อโง่เหมือนกับท่อนไม้ผู้นั้นโดนตีไปเสียบ้างก็ไม่เป็นไร

 

 

ตอนที่นางมอบเกล็ดงูของชือหลีให้เขาไปนั้น รู้ไหมว่าเขาพูดว่าอะไร

 

 

“น้องชือหลีให้เกล็ดงูกับข้ามาทำไม? ทำกวาซา [1] หรือ?

 

 

“ไม่รู้ว่าจะใช้ได้หรือไม่นะ…..อืมกลิ่นคาวนี่ออกจะหนักไปหน่อยนะ”

 

 

“หากเอาไปใช้ขูดผิวจนถลอก จะติดเชื้อหรือไม่? หากข้าตายไปน้องเล็กจะเสียใจไหม? เจ้าเสียใจแล้วใครจะคอยปลอบใจเจ้ากัน….”

 

 

ตอนนั้นตู๋กูซิงหลันที่หงุดหงิดขึ้นมาก็อยากจะซัดเขาให้ลงไปกองกับพื้นสักครั้งเหมือนกัน

 

 

ตอนนี้เห็นเขาถูกท่านปู่ทุบตี จึงไม่เพียงไม่คิดจะเข้าไปห้าม แต่ยังอยากจะเสริมให้อีกสักเท้าด้วยซ้ำ

 

 

วิญญาณทมิฬ “….” ก็ไม่รู้ว่าทำไม อยู่ๆ มันก็ชักจะรู้สึกสงสารตู๋กูเจวี๋ยขึ้นมาบ้างแล้ว

 

 

ที่ด้านนอกรถม้า ในที่สุดตู๋กูถิงก็ไล่ตีจนเหนื่อย เขาค่อยสังเกตเห็นรถม้าของโอรสสวรรค์

 

 

เขาคว้าเจ้าลูกกระต่ายตัวที่สองที่หัวปูดโนนั่นขึ้นมา จากนั้นก็มองไปทางรถม้า

 

 

วันนี้คือการกินเลี้ยงในบ้าน เขาแค่ต้องการให้คนในครอบครัวกลับมาอยู่พร้อมหน้า ไม่ต้องการให้ใครอื่นใดมาวุ่นวาย

 

 

ฮ่องเต้กับครอบครัวของเขาชะตาตกฟากไม่สอดคล้องกัน ไม่ใช่คนที่อยากจะต้อนรับสักเท่าไร

 

 

ภายในรถม้า จีเฉวียนยิ่งคิดก็ยิ่งนึกถึงเรื่องก่อนหน้านี้ที่เขาบีบคั้นตู๋กูซิงหลัน ทั้งยังบังคับให้ตู๋กูถิงไปออกรบที่เป่ยเจียง

 

 

นี่สมควรจะทำเช่นไรดี?

 

 

เคราะห์กรรมกลับมาตามสนอง ฟ้าดินมิได้ปล่อยปละผู้ใดไปเปล่าๆ

 

 

ฝ่าบาทกระแอมเสียงครั้งหนึ่ง สีพระพักตร์ยังคงเรียบเฉย แต่ในพระทัยซ่อนความกังวลไว้….

 

 

ตู๋กูซิงหลันเหลือบตามองดูเขา ก็เห็นว่าพระหัตถ์ที่อยู่บนพระชานุของจีเฉวียนกำแน่นขึ้นมา

 

 

นางเอียงศีรษะเกิดความคิดว่า หรือเขาคงจะไม่ลงรอยกับท่านปู่ คิดจะหาเรื่อง?

 

 

นี่ไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่กระมัง?

 

 

พอคิดได้เช่นนี้ นางก็ยื่นมือไปตบบนหลังพระหัตถ์ของจีเฉวียนเบาๆ “ฝ่าบาท ท่าทางของพระองค์ทำให้ผู้อื่นหวาดกลัวแล้วนะเพคะ”

 

 

พอหลังมือได้สัมผัสกับความอบอุ่นจากนาง จีเฉวียนก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาเล็กน้อย แม้แต่กระดูกสันหลังที่เกร็งจนแข็งของเขาก็ยังผ่อนคลายลง

 

 

พระองค์พลิกพระหัตถ์มาจับมือของตู๋กูซิงหลันเอาไว้ “เรารู้สึกตื่นเต้นอยู่บ้าง”

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “หืม?”

 

 

พระองค์เป็นโอรสสวรรค์ จะมาเจอกับขุนนางของตนเองไยจะต้องตื่นเต้นกัน?

 

 

คนที่จะต้องตื่นเต้นสมควรจะเป็นท่านปู่มากกว่า

 

 

นางชักจะไม่เข้าใจจีเฉวียนอีกแล้ว ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเขาจะตื่นเต้นไปทำไม

 

 

จีเฉวียนเองก็มิได้ทรงอธิบายสิ่งใด เพียงแต่สูดลมหายพระทัยลึกๆ ต่อหน้าตู๋กูซิงหลันอยู่หลายครั้ง ค่อยสั่งให้องครักษ์เปิดม่านรถขึ้น

 

 

เหล่าฝูงชนในโรงน้ำชาต่างก็พากันตื่นตัวขึ้นมา “มาแล้ว มาแล้ว ….ฝ่าบาทเสด็จมาด้วยพระองค์เองจริงๆ แล้ว!”

 

 

“คราวนี้มีงิ้วสนุกๆ ให้ได้ดูกันแล้ว!”

 

 

ทันทีที่ม่านของรถม้าเปิดออก จีเฉวียนก็ทรงสบพระเนตรกับท่านผู้เฒ่าโดยตรง

 

 

ตู๋กูถิงเคยได้เข้าเฝ้าจีเฉวียนมาก่อนแล้ว เขาย่อมสามารถสงบใจได้โดยง่าย แต่ตอนนี้เมื่อได้เห็นพระพักตร์ของพระองค์ เขาก็คิดถึงพระพักตร์ของพระองค์ในครั้งก่อนที่ทรงใช้หลานสาวมาบีบบังคับเขา

 

 

ท่านผู้เฒ่ารู้สึกคันไม้คันมือขึ้นมาในทันที อยากจะเอาไม้กวาดในมือฟาดพระองค์สักรอบเช่นกัน

 

 

เอาให้หนักหนากว่าไอ้เจ้าลูกกระต่ายนั่นเสียอีก

 

 

ข้อนิ้วของท่านผู้เฒ่าที่กำไม้กวาดเอาไว้กลายเป็นสีขาว ยามที่เขาสวมใส่ชุดสีเขียวเช่นนี้และไม่ได้ทุบตีผู้คน ดูไปแล้วก็เหมือนสุภาพชนที่เยือกเย็นและดูสงบนิ่ง

 

 

น่าเสียดายที่สองตาคู่นั้นมีแต่ไอสังหาร

 

 

ตู๋กูถิงเข้าสู่สนามรบตั้งแต่อายุได้สิบสามปี ทำสงครามต่อเนื่องมาหลายสิบปี ต่อให้ที่สวมใส่เป็นเพียงชุดผ้าฝ้ายธรรมดา แต่ว่าพลังที่สะท้อนออกมาจากร่างก็ทำให้คนต้องตระหนกอยู่ดี

 

 

กลิ่นอายของโลหิตและไอสังหารหมุนเวียนอยู่รอบตัวเขา เนื่องเพราะผ่านการฆ่าฟันมามากเกินไป กระทั่งตู๋กูซิงหลันก็ยังสามารถมองเห็นไอสีดำที่เกิดจากการสังหารได้จากบนหน้าผากของเขา

 

 

เส้นคิ้วกระบี่ของเขาวาดยาวและชี้ขึ้นบน เพียงแค่เขากวาดตามองดูใครเข้าสักครั้งก็แทบจะทำให้คนผู้นั้นอ่อนละลายกลายเป็นโคลนไปได้

 

 

ยังดีที่ผู้ที่มาพบกับเขาก็คือจีเฉวียน หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่นเกรงว่าคงต้องร้องไห้หาบิดามารดาขึ้นมาในทันทีแล้ว

 

 

มิน่าเล่าพี่ชายทั้งสองที่ยามปกติต่างก็ช่างก่อเรื่องโผงผางกันไปคนละด้าน พออยู่ต่อหน้าท่านปู่ถึงได้มีแต่โดนตีสถานเดียว

 

 

จีเฉวียนย่อมมิใช่คนตาบอด ย่อมมองออกถึงสายตาที่มองมายังพระองค์นั้นปราศจากความปรานี

 

 

แต่ทั้งหมดนี้ล้วนอยู่ภายใต้ความคาดหมายของพระองค์อยู่แล้ว

 

 

ฮ่องเต้ทรงประทับนั่งอย่างสง่างาม เพียงแต่สายลมที่พัดผ่านมาทำให้เส้นพระเกศาที่รวบไว้เพียงครึ่งเดียวปลิวกระจายขึ้นมา ถึงแม้ว่าฝ่าบาทจะทรงอยากจะประทับนั่งให้ดูสุภาพเรียบร้อยที่สุด แต่ภาพลักษณ์ที่ปรากฏออกมากลับไม่ใช่เลยสักนิด

 

 

นี่ควรต้องเรียกว่า ต้นไม้อยากหยุดนิ่งแต่สายลมกลับไม่หยุดพัด [2]

 

 

ทั้งพระเกศาและฉลองพระองค์โบกโบย ยิ่งหนุนนำให้พระองค์ทรงดูสูงส่งและข่มผู้อื่นยิ่งขึ้นอีก

 

 

ยิ่งยามเมื่อทรงสบพระเนตรกับท่านผู้เฒ่า ก็แทบจะเกิดประกายไฟฟาดระหว่างคนทั้งสอง

 

 

เหล่าคนที่มาชมงิ้วต่างก็ยิ่งตื่นเต้นดีใจ

 

 

“ดูสิประกายดาบคมธนูนั่นสิ เฮอะ เฮอะ เฮอะ วันนี้จะต้องมีเรื่องสนุกเกิดขึ้นอย่างแน่นอน”

 

 

“เอ๋ พวกเจ้าคิดว่าฮ่องเต้ของพวกเรากับเจ้าเฒ่าหนังหนาผู้นั้น ใครจะได้เปรียบกว่ากัน?”

 

 

“คนหนึ่งเป็นขุนนาง คนหนึ่งเป็นเจ้าชีวิต นี่ยังจะต้องเปรียบเทียบอีกหรือ ย่อมต้องเป็นฮ่องเต้ของพวกเราเป็นฝ่ายกดขี่ข่มเหงอยู่แล้วสิ”

 

 

“ข้าว่าก็ไม่แน่ กับตู๋กูถิงที่เป็นไอ้เฒ่าหนังหนาผู้นั้น อดีตฮ่องเต้เคยทรงมีราชโองการไปเรียกเขาเข้าเฝ้าถึงสิบสองครั้ง กลับถูกเขาโยนทิ้งโดยไม่ยอมอ่านเสียด้วยซ้ำ เขาหรือจะเห็นฝ่าบาทอยู่ในสายตา?”

 

 

“นี่ย่อมพูดยากแล้ว ต้องคอยดูให้ดีว่าฝ่าบาทจะทรงจัดการกับไอ้เฒ่าผู้นี้เช่นไร”

 

 

ฝูงชนที่ถกเถียงกันยกใหญ่ เมื่อยังไม่ได้ข้อสรุปต่าก็พากันแทะเมล็ดแตงจิบน้ำชากันต่อไป

 

 

สายลมที่พัดขึ้นมาทำให้หิมะที่เกาะอยู่บนต้นไม้ในจวนตระกูลตู๋กูร่วงกราวลงมาบนรถม้า

 

 

ม้าทรงพลันถีบกีบขึ้นมาด้วยความตื่นตกใจ!

 

 

ทันใดนั้นรถทรงก็เกิดโคลงเคลงขึ้นมา

 

 

 

 

——

 

 

ตอนต่อไป “พวกเจ้าช่างไร้น้ำใจ”

 

 

——

 

 

[1] การรักษาด้วยแพทย์แผนจีนที่ช่วยขับเลือดลมชนิดหนึ่ง ใช้หวีไม้ขูดกับผิวหนังไล่เลือดเสียออกมา

 

 

[2] 树欲静而风不止: เปรียบเทียบว่าสถานการณ์ไม่เป็นไปตามใจคิด​​​​​​​