ตอนที่ 356 พวกเจ้ามันไร้น้ำใจ

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

จีเฉวียนทรงตัดสินพระทัยเข้าไปประคองสาวน้อยที่อยู่ข้างพระองค์ 

 

 

ม้าตื่นตระหนกอย่างยิ่ง จนรถม้าแทบจะพลิกคว่ำลงมาบนพื้น 

 

 

ก่อนหน้านี้ผ้าม่านบนรถม้าเปิดออกเพียงแค่ครึ่งเดียว ตู๋กูถิงจึงมองไม่เห็นว่าภายในรถม้ายังมีหลานสาวของตนเองอยู่ด้วย 

 

 

พอม่านบนรถม้าไหววูบ ถึงได้เผยให้เห็นใบหน้าครึ่งหนึ่งของตู๋กูซิงหลัน ไม้กวาดที่อยู่ในมือของตู๋กูถิงร่วงลงไปบนพื้นในทันที 

 

 

เขาพุ่งตัวออกไปข้างหน้า พลิกตัวขึ้นไปบนหลังม้าคว้าสายบังเ**ยนเอาไว้ด้วยมือข้างเดียว คนก็ขี่อยู่บนหลังม้าที่กำลังตื่นตระหนก 

 

 

ม้าตัวนั้นยิ่งตื่นตกใจกว่าเดิม มันถีบเท้าส่งเสียงร้องดังกึกก้อง 

 

 

ฉากนี้ทำเอาคนทั้งหลายถึงกับพลอยตื่นตะลึงไปด้วย แค่หิมะตกลงมาม้าก็ถึงกับแตกตื่นเลยหรือ ตู๋กูถิงผู้นั้นจงใจวางแผนเอาไว้หรือไม่? 

 

 

ที่เขากระโดดขึ้นไปขี่หลังม้าที่กำลังตื่น เพราะคิดจะจัดการฝ่าบาทที่อยู่ในรถม้าให้ถึงปางตายเลยใช่ไหม? 

 

 

ท่ามกลางความตื่นตะลึงของผู้คน ก็เห็นตู๋กูถิงกำหมัดขึ้นมา ซัดหมัดลงไปที่หัวม้าครั้งหนึ่ง 

 

 

จนได้ยินเสียงดัง ‘ปัก’ 

 

 

ทันใดนั้นม้าที่ตื่นตระหนกก็พลันสงบลง มันส่ายคอไปมา จากนั้นก็ล้มลงไปบนพื้นทั้งตัว 

 

 

ทำเอาม้าทรงอีกเจ็ดตัวตกใจอยู่ไม่น้อย แต่ก็ไม่กล้าเคลื่อนไหววู่วาม 

 

 

หมัดนั้นของตู๋กูถิงที่ซัดลงไปทำเอาสมองของม้าที่กำลังตื่นแทบจะแยกออกมา 

 

 

คราวนี้ ทั่วทั้งถนนสายตะวันออกก็สงบเงียบลงไปในทันที เหลือแต่เพียงเสียงหิมะที่ตกลงมาเบาๆ เท่านั้น 

 

 

ม้าตัวนั้นหอบหายใจอย่างหนักหน่วง เพียงครู่เดียวก็กลายเป็นดั่งไส้ตะเกียงที่ดับไป 

 

 

ผ่านไปอีกพักใหญ่ผู้คนที่อยู่บนโรงน้ำชาถึงได้พากันได้สติขึ้นมา 

 

 

“ดูนั่นสิ! นี่เขาถึงกับกล้าจัดการกับม้าทรงตรงๆ เพื่อให้ฮ่องเต้ได้ทอดพระเนตร!” 

 

 

“ม้าทรงของราชวงศ์แพงถึงขนาดไหน เขาถึงกับต่อยมันตายภายในหมัดเดียว? แล้วเช่นนี้พระพักตร์ของฝ่าบาทยังจะไปเหลืออะไรอีก?” 

 

 

……………………. 

 

 

ตู๋กูถิงลงมาจากหลังม้าแต่แรกแล้ว จากนั้นก็มุดศีรษะเข้าไปภายในรถม้า 

 

 

ทันทีที่มุดเข้าไปก็เห็นหลานสาวของตนเองถูกฝ่าบาทโอบกอดเอาไว้ในพระอุระอย่างแนบแน่น 

 

 

เขาพลันรู้สึกว่าผักกาดขาวที่กรอบหวานของตนเองถูกหมูกินเข้าไปเสียแล้ว! 

 

 

ตู๋กูซิงหลันที่ขาพิการยังไม่ทันหายดี ก็ต้องมาถูกเขย่าอยู่ในรถม้า เขย่าเสียจนหัวสมองของนางทั้งเจ็บทั้งมึนไปหมดแล้ว 

 

 

หากมิใช่เพราะว่าถูกจีเฉวียนกอดเอาไว้ เกรงว่านางคงจะถูกเหวี่ยงจนหลุดกระเด็นออกไปแล้ว 

 

 

กลับเป็นจีเฉวียนที่ถูกกระแทกไปมาจนกลายเป็นเกราะเนื้อให้กับนาง 

 

 

“นี่มันเคราะห์กรรมอันใด!” ตู๋กูถิงได้แต่กดจุดเหรินจง [1] ของตนเอง จากนั้นก็สูดลมหายใจลึกๆ อีกหลายๆ ครั้ง 

 

 

เขาพยายามจ้องมองไปที่ตู๋กูซิงหลัน ด้วยสายตาที่ทั้งเจ็บปวดทั้งขุ่นเคือง โดยไม่ยอมสนใจหมูที่มากินผักกาดขาวอย่างจีเฉวียน 

 

 

เขายื่นมือเข้าไปหาตู๋กูซิงหลัน “ดวงใจเอ๋ย มาให้ปู่อุ้มเถอะ” 

 

 

ตู๋กูซิงหลันตกตะลึงไปเล็กน้อย ผ่านไปพักใหญ่นางถึงได้ค่อยๆ ยู่ปากขึ้นมา “ท่านปู่ ขาของข้าใช้การไม่ได้แล้ว จึงลุกไม่ขึ้น” 

 

 

ตู๋กูถิง “ดวงใจน้อยๆ เอ๋ย ปู่ปวดใจแทบแย่แล้ว” 

 

 

ว่าแล้วเขาก็ขยับเข้าไปทั้งตัวจนถึงเบื้องหน้าจีเฉวียนและตู๋กูซิงหลัน 

 

 

หลังจากนั้นก็ส่งสายตาเป็นเชิง ‘ขอให้พระองค์รู้สึกตัวเสียบ้าง’ ออกมา 

 

 

จีเฉวียนมองดูเขา ก็หันไปมองดูสาวน้อยในอ้อมกอด ก็กล่าวอย่างจริงจังว่า “เราอายุน้อยร่างกายบึกบึนแข็งแรง ให้เราอุ้มนางเหมาะสมที่สุดแล้ว ท่านผู้เฒ่าอายุมากแล้ว หากพลาดล้มไปก็จะไม่ดี” 

 

 

ตรัสแล้ว พระองค์ก็ทรงกอดตู๋กูซิงหลันแนบแน่นกว่าเดิม หลังจากนั้นก็เสด็จลงจากรถม้าไปต่อหน้าต่อตาของตู๋กูถิง 

 

 

หลังจากที่ขาของตู๋กูซิงหลันพิการ เวลาออกไปไหนๆ ล้วนไม่ต้องการใช้ขาอีกแล้ว 

 

 

จีเฉวียนก็คือสองขาที่เดินได้ของนาง ทั้งยังเป็นขาที่มีพละกำลังเป็นพิเศษ 

 

 

หากว่าต้องเป็นเช่นนี้ต่อไปนางก็รู้สึกว่าคงจะไม่ดีเท่าไหร่ หลังจากที่นางวอนขออยู่หลายครั้ง จีเฉวียนก็หาคนมาทำรถเข็นให้กับนาง 

 

 

ตู๋กูซิงหลันวาดแบบขึ้นมาด้วยตนเอง 

 

 

เป็นเก้าอี้รถเข็นที่สามารถบังคับความเร็วและทิศทางได้ด้วยตนเอง ฝีมืองดงาม 

 

 

และยังสำเร็จตามแบบที่นางวาดอีกด้วย 

 

 

จีเฉวียนพึ่งจะอุ้มตู๋กูซิงหลันลงมา เหล่าองครักษ์ก็ปูเบาะนุ่มลงไปบนเก้าอี้รถเข็นเรียบร้อยแล้ว 

 

 

ที่ด้านข้างยังมีร่มคันหนึ่งอีกด้วย ป้องกันมิให้นางโดนละอองหิมะจนเปียกชื้น 

 

 

จีเฉวียนไม่อยากจะวางนางลงไปด้วยซ้ำ ตัวนุ่มๆ เช่นนี้ พออุ้มเอาไว้ช่างอบอุ่นเหลือเกิน 

 

 

แต่ว่าเมื่อเช้านี้ได้ทรงตกลงกับนางแต่แรกแล้ว เขาย่อมไม่อาจบิดพลิ้ว 

 

 

ได้แต่วางนางลงไปเบาๆ ค่อยคลุมผ้าห่มให้อย่างเรียบร้อย เขาห่อเสียจนตู๋กูซิงหลันกลายเป็นบ๊ะจ่างลูกหนึ่ง 

 

 

“น้องเล็ก เจ้ากลับมาแล้ว” พอตู๋กูเจวี๋ยเห็น ก็วิ่งออกมาในทันที เขาคุกเข่าร้องไห้คร่ำครวญอยู่เบื้องหน้านาง “พอข้ากับพี่ใหญ่ไม่อาจรับเจ้ากลับมา ก็เกือบจะถูกท่านปู่ตีจนขาหักแล้ว เจ้าดูสิ ข้าน่าสงสารหรือไม่เล่า?” 

 

 

“หากรู้แต่แรกว่าจะถูกจัดการเช่นนี้ ข้าก็ควรจะหักขาตนเองทิ้งเสียจะได้พิการเป็นเพื่อนน้องเล็ก” ตู๋กูเจวี๋ยคร่ำครวญอย่างปราศจากน้ำตาสักหยด พอหันกลับไปมองดูตู๋กูจุนที่ติดตามมาก็กล่าวว่า “อย่างไรเสียพี่ใหญ่ก็มีพละกำลังมาก อีกหน่อยก็มาเป็นขามนุษย์ทั้งสองข้างให้ข้าก็แล้วกัน ตั้งแต่เล็กจนโตมีแต่เจ้าที่เขายอมอุ้ม ยังไม่เคยอุ้มข้าบ้างเลยนะ!” 

 

 

ทำไมตู๋กูซิงหลันถึงได้รู้สึกว่าตัวแสบผู้นี้กำลังแอบจิกกัดจีเฉวียนอยู่เล็กๆ กัน? 

 

 

ตู๋กูจุน “บ่าของข้า นอกจากน้องเล็กแล้วก็จะไม่แบกใครอีกทั้งนั้น” 

 

 

ตู๋กูเจวี๋ย “พวกเจ้ามันไร้น้ำใจ!” 

 

 

ตู๋กูซิงหลัน คิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนหน้านี้พี่ใหญ่สมควรเคยอุ้มองค์หญิงใหญ่ ….และก็เคยอุ้มเสี่ยวหยวนเฟยมาด้วยกระมัง? 

 

 

“เจ้ากระต่ายรอง ข้าผู้เฒ่าสมควรจะเย็บปากเจ้าไว้ ด้านนอกลมแรง เจ้ากลับปล่อยให้นางอยู่ข้างนอก ตากลมตากหิมะกระนั้นหรือ?” 

 

 

ตู๋กูเจวี๋ยรีบคว้ามือของตู๋กูซิงหลันเอาไว้แนบแน่น ครางหงิงๆ “น้องเล็ก เจ้าต้องช่วยข้านะ” 

 

 

เขาพึ่งจะพูดจบก็เห็นตู๋กูถิงกำลังลงมาจากรถม้า ก้าวเพียงแค่สองสามครั้งก็มาถึงเบื้องหน้าตู๋กูซิงหลัน เขาไม่สนใจจะพูดกับตู๋กูเจวี๋ยอีก ในสายตามีแต่เพียงหลานสาวยอดดวงใจเท่านั้น พอมองดูนาง อารมณ์เมื่อครู่ก็สลายไปจนหมด “ยอดดวงใจเจ้ากลับมาแล้ว กลับมาก็ดีแล้ว” 

 

 

พูดแล้ว ตู๋กูถิงก็รีบหันหลังกลับไป ปาดเช็ดน้ำตาไหลลงมา 

 

 

ท่าทางของเขาคล้ายดั่งชายชราที่ถูกทอดทิ้งไว้เพียงลำพังที่บ้านมานานแล้ว 

 

 

ฮ่องเต้ผู้ไม่ได้รับการใส่พระทัยเลยแม้แต่น้อยไม่เพียงไม่พิโรธ กลับถอนพระทัยออกมาอย่างโล่งอก 

 

 

มุมพระโอษฐ์ยังคงขมวดแน่น ใกล้จะกลายเป็นปมขึ้นมาแล้ว 

 

 

เมื่ออยู่ต่อหน้าท่านปู่และพี่ชายของนาง เขาก็ไม่มีพื้นที่ให้แสดงเลยสักนิด ได้แต่ยืนอยู่ข้างๆ เก้าอี้รถเข็นของนางเท่านั้น 

 

 

ดังนั้นถึงแม้ว่าจะมีตู๋กูถิงมายืนอยู่ตรงหน้า พระองค์ก็ไม่มีทีท่าจะหลีกให้เลยสักนิด 

 

 

มีแต่ได้ปกป้องอยู่ข้างกายนาง จีเฉวียนถึงได้รู้สึกวางใจ ดังนั้นจึงไม่คิดจะย้ายไปที่ใดทั้งสิ้น 

 

 

สีหน้าของสองพี่ชายตู๋กูไม่น่าดูอย่างที่สุด ส่วนตู๋กูถิงนั้นถึงกับเขียวคล้ำไปแล้ว 

 

 

“ดูบรรยากาศที่เปี่ยมไปด้วยประกายดาบและคมธนูนั่นสิ ที่ฝ่าบาททรงนำไทเฮามาคงเพื่อใช้เป็นตัวประกันละมั้ง?” 

 

 

“ย่อมใช่แน่นอน เขาลือกันว่า……ที่ไทเฮาทรงขาพิการก็เป็นเพราะว่าฝ่าบาททรงฟาดจนหักไป!” 

 

 

“มีพูดกันเช่นนี้ด้วยหรือ? มิใช่ว่านางสร้างผลงานยิ่งใหญ่ตอนอยู่ในเมื่อกู่เย่วหรือไร?” 

 

 

“โถ่ นั่นนับเป็นอะไรได้กัน …..ต่อให้ไม่มีไทเฮา เพียงแค่ความสามารถของฝ่าบาท จะช้าหรือเร็วเหลียงจวิ้นอ๋องผู้นั้นก็ต้องจบสิ้นอยู่ดี ต้องตระกูลตู๋กูนี่สิ ถึงจะนับว่าเป็นพี่ใหญ่ตัวจริง! จะต้องเป็นเพราะว่าฝ่าบาททรงคิดจะบีบบังคับไทเฮาเพื่อสั่งการตระกูลตู๋กู แล้วไทเฮาผู้นั้นจะยอมได้อย่างไรกัน นางคงจะหนี ถึงได้ถูกฝ่าบาทจับหักขาเสีย มิเช่นนั้นทำไมถึงได้ไม่หายสักที?” 

 

 

“ท่านผู้นี้กล่าวได้อย่างมีเหตุมีผล” 

 

 

“ดูสีหน้าที่เขียวคล้ำของตาเฒ่านั่นสิ นี่ชัดเจนเลยว่าพระองค์ทรงกำลังควบคุมไทเฮาอยู่ พวกเจ้าว่าไทเฮาเหมือนกับเป็นหุ่นเชิดหรือไม่เล่า?” 

 

 

“คล้าย คล้ายมาก” 

 

 

 

 

 

—— 

 

 

ตอนต่อไป “ลมกรรโชกก่อนพายุใหญ่จะมา” 

 

 

—— 

 

 

[1] 人中: จุดที่อยู่ระหว่างปากกับจมูก แพทย์แผนจีนจะกดจุดนี้เมื่อผู้ป่วยสลบหมดสติหรือเป็นลม เพื่อกระตุ้นสมองให้รู้สึกตัว