บทที่ 430.2 บางครั้งการกลับมาพบกันอีกครั้งก็เลวร้ายที่สุด

กระบี่จงมา! Sword of Coming

กู้ช่านกับลวี่ไช่ซางเดินตรงไปที่รถม้าคันหนึ่ง แม่นางเปิดสาบเสื้อสองคนนั่งอยู่ในรถม้าอีกคันหนึ่ง

ในสายตาของผู้ฝึกตนอิสระในทะเลสาบซูเจี่ยนซึ่งเป็นสถานที่ที่ปลาและมังกรนับหมื่นปะปนกัน ความเหมือนเพียงอย่างเดียวระหว่างกู้ช่านกับลวี่ไช่ซางก็คงจะเป็นเพราะคนทั้งสองต่างก็มีอาจารย์ที่ดี ทว่าความสัมพันธ์ของคนทั้งสองกลับไม่เลวเลยทีเดียว

กู้ช่านยังคงสอดมือสองข้างไว้ในชายแขนเสื้อ แล้วจู่ๆ ก็ใช้ศอกถองลวี่ไช่ซางที่อยู่ข้างกาย หัวเราะชั่วร้ายพลางพูดเสียงเบาว่า “หากเจ้าไปที่บ้านเกิดของข้าแล้วไม่มีตบะอะไรเลย ข้ากล้าพูดเลยว่ายามที่เจ้าเดินอยู่ในตรอกเล็กต้องถูกพวกหนุ่มโสดบ้าตัณหาที่เดินผ่านทางมามองด้วยสายตาหิวกระหาย วิ่งไล่ตามมาลูบคลำเนื้อตัวเจ้า ถึงเวลานั้นเจ้าก็จะต้องร้องไห้โฮวิ่งไปที่หน้าประตูบ้านข้า เคาะประตูบ้านข้าอย่างแรง ตะโกนเรียกกู้ช่าน กู้ช่าน แย่แล้ว มีบุรุษจะฉีกเสื้อผ้าของข้า ฮ่าๆ แค่นึกภาพก็ตลกแล้ว แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าที่ตลกกว่านั้นคืออะไร คือหลังจากที่พวกตะพาบเหล่านั้นถอดกางเกงของเจ้าแล้วกลับสบถด่าโฉงเฉง แม่งเอ้ยมันมีไอ้จ้อนด้วย! ที่ตลกสุดๆๆ ไปเลย รู้หรือไม่ว่าคืออะไร? สุดท้ายพวกเขาก็กัดฟัน ตัดสินใจเด็ดขาด ยังคงพลิกตัวเจ้ากลับหันหลังแล้วจัดการเจ้าตรงนั้น…โอ้ย ไม่ไหวๆ ข้าปวดท้องไปหมดแล้ว”

กู้ช่านหัวเราะฮ่าๆ กุมท้องตัวงอพลางเดินไปด้วย

ลวี่ไช่ซางสีหน้าเย็นชา “น่าขยะแขยง!”

คนทั้งสองทยอยกันขึ้นไปนั่งในห้องโดยสารรถม้า ลวี่ไช่ซางถึงได้ถามเสียงเบา “ทำไมถึงเปลี่ยนการแต่งกาย? เมื่อก่อนเจ้าไม่ชอบสวมชุดหรูหราพวกนี้ไม่ใช่หรือ?”

กู้ช่านหลับตาลง ไม่เอ่ยอะไร

ลวี่ไช่ซางลังเลเล็กน้อย “หยวนหยวนเป็นคนมีอุบายลึกล้ำ มารดาของเขายังเคยมีความสัมพันธ์กับผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดคนหนึ่งของราชวงศ์จูอิ๋ง คนไม่น้อยของทะเลสาบซูเจี่ยนรู้สึกว่านี่เป็นคำกล่าวอ้างที่เกาะหวงหลีจงใจใช้ขู่ให้ผู้อื่นกลัว แต่อาจารย์ของข้าเคยบอกว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงแท้แน่นอน ตัวตนแรกเริ่มสุดของมารดาหยวนหยวนก็คืออนุภรรยาที่ผู้ฝึกกระบี่ฝีมือร้ายกาจคนนั้นโปรดปรานมากที่สุด แม้ว่าจะไม่อาจมอบสถานะที่ถูกต้องให้นางได้ แต่ความสัมพันธ์ควันธูปต้องยังคงอยู่ เจ้าต้องระวังให้มาก หากฆ่าหยวนหยวนที่มีใจคิดร้าย ก็หมายความว่าเจ้าจะต้องถูกผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดหมายหัว!”

กู้ช่านไม่ได้ลืมตา เพียงตวัดมุมปากโค้งขึ้น “อย่าคิดถึงหยวนหยวนในแง่ร้ายขนาดนั้นเลยน่า”

ลวี่ไช่ซางกล่าวอย่างเดือดดาล “นี่ข้าหวังดีต่อเจ้านะ! หากเจ้าไม่เก็บไปใส่ใจจะต้องเสียเปรียบแน่! คนในครอบครัวของหยวนหยวนล้วนเป็นพวกคนเลวที่ชอบแอบทำร้ายผู้อื่นลับหลัง!”

ในที่สุดกู้ช่านก็ลืมตาขึ้น ถามว่า “ต่อให้หยวนหยวนจะเลวแค่ไหน ยังจะเลวสู้ข้ากู้ช่านได้หรือ?”

ลวี่ไช่ซางพลันปิดปากหัวเราะคิก

กู้ช่านพูดหยอกด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานเลียนแบบเขา “น่าขยะแขยง”

อยู่ดีๆ ลวี่ไช่ซางก็รู้สึกเสียใจเล็กน้อย เขามองกู้ช่าน ‘เด็กชาย’ ที่เปลี่ยนไปในทุกๆ ปีผู้นี้ ใครเล่าจะมองเขาเป็นเด็กคนหนึ่ง กล้าหรือ?

แม้แต่อาจารย์ของเขา ผู้ฝึกตนผู้เฒ่าจำนวนน้อยนิดที่สามารถทำให้สกัดคงคาเจินจวินเกิดใจกริ่งเกรงได้ผู้นั้นก็ยังเคยบอกว่าคนประหลาดอย่างกู้ช่านนี้ เว้นเสียจากว่าวันใดวันหนึ่งตายอย่างเฉียบพลัน ไม่ทันระวังจึงตายไปดั่งคำกล่าวที่ว่าทำกรรมใดไว้กรรมนั้นย่อมคืนสนอง หาไม่แล้วหากปล่อยให้เขาผูกไมตรีรวบรวมกองกำลังใหญ่ที่ไม่ค่อยมีความสัมพันธ์กับเกาะชิงเสียมาเป็นสมัครพรรคพวกได้จริงๆ ต่อให้เป็นเทพเซียนห้าขอบเขตบนก็คงไม่แน่เสมอไปว่าจะกล้ามีเรื่องกับเขา

ลวี่ไช่ซางถามเบาๆ “กู้ช่าน เมื่อไหร่เจ้าถึงจะจริงใจกับข้าได้สักที”

กู้ช่านดึงมือข้างหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อกว้างใหญ่ของชุดหม่าง ใช้มือนั้นเลิกผ้าม่านรถม้าขึ้น ตอบอย่างไม่อนาทรร้อนใจ “เจ้าลวี่ไช่ซางเลิกหวังซะเถอะ ใต้หล้านี้มีแค่สองคนเท่านั้นที่ข้าจะควักหัวใจออกมาให้พวกเขาดู และจะเป็นอย่างนี้ไปชั่วชีวิต ข้ารู้ว่านี่ไม่ยุติธรรมต่อเจ้า เพราะเจ้าคือผู้ฝึกตนในจำนวนไม่กี่คนของทะเลสาบซูเจี่ยนที่เห็นข้าเป็นสหายอย่างแท้จริง แต่ช่วยไม่ได้ พวกเรารู้จักกันช้าเกินไป ตอนที่เจ้ารู้จักกับข้า ข้ามีชื่อเสียงโด่งดังแล้ว เจ้าจึงไม่อาจได้เป็นคนผู้นั้น”

เข้าเมืองมาแล้ว กู้ช่านปล่อยม่านรถม้าลง ยิ้มกล่าวกับลวี่ไช่ซาง “แต่เจ้าวางใจเถอะ หากวันใดเจ้าถูกคนฆ่าตาย ข้ากู้ช่านจะช่วยแก้แค้นให้เจ้าเอง”

ลวี่ไช่ซางเบ้ปาก

เขาเอนตัวพิงผนังรถม้า ถามว่า “กู้ช่าน เจ้าเพิ่งจะอายุน้อยแค่นี้เอง จะทำได้อย่างไร?”

กู้ช่านตอบ “ตอนอยู่บ้านเกิด ข้าอายุแค่สามสี่ขวบก็เริ่มเห็นแม่ข้าทะเลาะตบตีกับคนอื่นแล้ว ข้าเป็นคนที่เรียนรู้ได้รวดเร็วยิ่ง”

กู้ช่านยื่นนิ้วออกมาข้างหนึ่ง “พอโตขึ้นมาอีกนิด ข้าสามารถนอนหมอบนิ่งอยู่บนเนินดินใต้แสงแดดแผดเผา อย่างน้อยก็หนึ่งชั่วยาม เพียงเพื่อตกปลาหนีชิวหนึ่งตัว ขนาดเขาก็ยังสู้ข้าไม่ได้”

ลวี่ไช่ซางถามอย่างใคร่รู้ “เขาคนนั้น เป็นใครกันแน่?”

กู้ช่านหรี่ตาลง ถามกลับ “เจ้าอยากตายงั้นรึ?”

ลวี่ไชซางแห่งทะเลสาบซูเจี่ยนที่ฟ้าไม่กลัวดินไม่เกรง บัดนี้กลับรู้สึกกลัดกลุ้มเล็กน้อย

กู้ช่านพลันเปลี่ยนสีหน้ามาเป็นยิ้มแต้ตาหยี “เจ้าชั่วน้อยหยวนหยวนนั่น สักวันหนึ่งข้าจะต้องมอบประโยคนี้ให้แก่เขา แต่เปลี่ยนคำหนึ่งว่า ‘อยากให้แม่เจ้าตายหรือ?’ แค่ได้บิดาที่เป็นผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดคนหนึ่งมาฟรีๆ ร้ายกาจตรงไหนกัน กล้ามาแหยมกับข้า ถึงเวลานั้นข้าจะถอดเสื้อผ้าแม่ของหยวนหยวนต่อหน้าผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดคนนั้นให้เกลี้ยง จับนางห้อยไว้บนหัวเรือของเรือหอเรือน แล้วล่องไปทั่วทุกเกาะในทะเลสาบซูเจี่ยนเลย”

ลวี่ไช่ซางมีสีหน้ามึนงง

กู้ช่านเลิกผ้าม่านขึ้นอีกครั้ง พูดอย่างใจลอยว่า “ภาษาถิ่นของบ้านเกิด เจ้าฟังไม่เข้าใจหรอก”

……

ชั้นบนสุดของหอเรือนสูงในนครน้ำบ่อ รอบกายของชุยตงซานยังคงเป็นบ่อสายฟ้าสีทองวงนั้น

ชุยตงซานถอนหายใจหนึ่งที

ชุยฉานก้มตัวลงน้อยๆ มองม้วนภาพวาดสองม้วนที่อยู่บนพื้นแล้วยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ผิดหวังมากเลยใช่ไหม ความหวังว่าจะโชคดีที่เหลืออยู่เสี้ยวสุดท้ายในใจเจ้าก็ไม่หลงเหลืออีกแล้ว? เจ้าไม่ควรมีความรู้สึกเช่นนี้ ไม่ควรเอาความหวังไปฝากไว้ที่คนอื่น”

ชุยฉานคงจะรู้ว่าชุยตงซานไม่คิดจะต่อบทสนทนา จึงพูดพึมพำกับตัวเองต่อไปว่า “นี่คือเงื่อนตายสองปมที่ถูกผูกเข้าด้วยกัน หลักการเหตุผลที่เฉินผิงอันค่อยๆ ใคร่ครวญออกมาได้ ความชั่วร้ายที่เกิดขึ้นไปตามสถานการณ์ของกู้ช่าน เจ้าคิดว่าหนึ่งนั้นอาจจะอยู่บนร่างของกู้ช่าน คิดว่าขอแค่เฉินผิงอันใช้หลักเอาความรู้สึกมาทำให้คนซาบซึ้ง ใช้เหตุผลมาทำให้คนเข้าใจกับเจ้าเด็กนี่ เขาก็จะสามารถตื่นรู้กระจ่างแจ้งได้เอง? อย่าว่าแต่เหตุผลนี้อธิบายได้ยากเลย ต่อให้ความรู้สึกความผูกพันระหว่างเขากับกู้ช่านจะลึกซึ้งแค่ไหน กู้ช่านก็ไม่มีทางเปลี่ยนสันดานของตัวเอง นี่ก็คือกู้ช่าน ตรอกหนีผิงใหญ่แค่นั้น ข้าจะไม่ให้ความสำคัญกับเด็กอย่างกู้ช่านที่มี ‘ปราณกระดูก’ หนักอึ้งจนแม้แต่หลิวจื้อเม่าก็ยังยกไม่ขึ้นเชียวหรือ?”

“เจ้าชุยตงซานดูแคลนชุยฉานที่เป็นตัวเองไปหน่อยไหม? ขนาดนิสัยใจคอของกู้ช่านยังไม่เข้าใจ แต่ยังกล้าวางแผนครั้งนี้? สำหรับคนอย่างพวกเราแล้ว ทำผิดพลาดครั้งหนึ่งก็ไม่ควรทำผิดซ้ำอีก แต่จะโทษเจ้าก็ไม่ได้ เมื่อตกอยู่ในทางตัน คนบนโลกมักจะชอบไขว่คว้าฟางเส้นสุดท้ายที่ช่วยชีวิตไว้ได้เสมอ นี่ก็คือสันดานของคน ในความเป็นจริงแล้ว ปีนั้นที่พวกเรายังเป็นคนคนเดียวกัน ข้ามองเห็น เจ้าเองก็ต้องมองเห็นเหมือนกัน เพียงแต่ว่าตอนนี้เจ้าเสียกระบวนไปเองเท่านั้น”

ชุยฉานชี้ไปยังเฉินผิงอันที่กำลังสะกดรอยตามรถม้าไปอย่างลับๆ บนม้วนภาพ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าความผิดที่ใหญ่กว่านั้นของเจ้าคืออะไร?”

ชุยฉานถามเองตอบเอง “ปีนั้นตอนที่ฉีจิ้งชุนอยู่ในบ้านบรรพบุรุษของเมืองเล็ก หลังจากที่แตกหักกับพวกเราอย่างสิ้นเชิงแล้ว เขาก็เอ่ยประโยคหนึ่งว่า ภายในระยะเวลาหกสิบปี หากยังกล้าเล่นงานเฉินผิงอัน เขาจะทำให้ขอบเขตของพวกเราถดถอยไม่หยุด นี่ย่อมไม่ใช่แค่ฉีจิ้งชุนแสร้งพูดจาใหญ่โตข่มขู่ให้คนกลัว เจ้าและข้าต่างก็รู้กันดี แต่หลังจากที่เจ้าและข้าแยกกัน ถึงอย่างไรเจ้าก็ยังหลงเหลือจิตใจของเด็กหนุ่ม จึงไม่เชื่อในคำพูดนั้น ถูกไหม? ตอนที่อยู่ใต้ก้นบ่อของโรงเตี๊ยม เจ้าเลยเกือบจะถูกเฉินผิงอันที่อยู่บนปากบ่อใช้ปราณกระบี่หนึ่งกลุ่มฆ่าตาย หลังจากนั้นมาเจ้าก็เดินไปยังทางสุดโต่งอีกเส้นหนึ่ง เจ้าเริ่มเชื่อมั่นในประโยคนี้อย่างลึกล้ำ นี่ก็คือฟางช่วยชีวิตเส้นสุดท้ายที่หลงเหลืออยู่บนทะเลสาบหัวใจอันวุ่นวายของเจ้าชุยตงซานตอนนี้”

มุมปากชุยตงซานกระตุก

สีหน้าของชุยฉานเรียบเฉยอยู่ตลอดเวลา เขาจ้องมองม้วนภาพนั้น พูดกับตัวเองต่อไปว่า “ฉีจิ้งชุนที่จิตหยินไม่ดับสลาย ตายจนตายไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว ถ้าอย่างนั้นไม่สู้พวกเรามามองปัญหาข้อนี้ในแบบที่ปลอดภัยสักหน่อย สมมติว่าฉีจิ้งชุนมีวิชาหมากล้อมเลิศล้ำค้ำฟ้า อนุมานไปได้ไกลมาก อนุมานจนมาถึงหายนะครั้งนี้ของทะเลสาบซูเจี่ยน ดังนั้นก่อนที่ฉีจิ้งชุนจะตาย เขาจึงได้ใช้วิชาลับบางอย่างนำจิตวิญญาณส่วนหนึ่งมาซ่อนไว้ในมุมใดมุมหนึ่งของทะเลสาบซูเจี่ยน แต่เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า ฉีจิ้งชุนเป็นบัณฑิตแบบใด? เขายอมให้จ้าวเหยาที่ตัวเองฝากความหวังไว้มากไม่ต้องสืบทอดควันธูปสายบุ๋นของเขาก็ได้ ขอแค่ให้จ้าวเหยาได้เดินทางไกลไปศึกษาต่ออย่างปลอดภัย ต่อให้ ‘ฉีจิ้งชุน’ ที่จิตวิญญาณไม่สมบูรณ์ผู้นั้นหลบอยู่ในมุมหนึ่งเพื่อแอบมองเฉินผิงอัน เจ้าคิดว่าเขาจะแค่หวังให้เฉินผิงอันมีชีวิตอยู่รอด ไร้ทุกข์ไร้กังวล สงบสุขปลอดภัย หวังจากใจจริงว่าวันหน้าบนบ่าของเฉินผิงอันจะไม่ต้องแบกภาระทั้งหลายแหล่ที่ยุ่งเหยิงอุตลุดอีกต่อไปหรือไม่? ขนาดเจ้ายังสงสารอาจารย์คนใหม่ของเจ้า เจ้าว่าฉีจิ้งชุนผู้นั้นจะไม่สงสารเลยหรือ?”

ชุยฉานคลี่ยิ้ม “แน่นอน ข้าไม่ปฏิเสธว่าต่อให้ตอนนั้นจิตวิญญาณของฉีจิ้งชุนจะแบ่งเป็นสามส่วน ข้าก็ยังคงกริ่งเกรงเขา ทว่าตอนนี้ ขอแค่เขากล้าโผล่ออกมาแล้วทำให้ข้าจับเบาะแสได้ ข้าจะไม่เปิดโอกาสให้เขาได้พูดแม้แต่คำเดียว แค่คำเดียวก็ไม่ได้”

ชุยตงซานหันหน้ามามองชุยฉาน ตัวเขาเองที่หลังจากเติบใหญ่แล้วกลายมาเป็นคนแก่ผู้นี้อย่างเหม่อลอย “เจ้าว่า ทำไมข้าถึงกลายมาเป็นเจ้าในปัจจุบันนี้ได้?”

ชุยฉานยิ้มบางๆ ขยับนิ้วชี้ไปยังรถม้าคันนั้น “ประโยคนี้ หลังจากที่เฉินผิงอันได้เจอกับกู้ช่าน เขาก็น่าจะพูดกับกู้ช่านเหมือนกันว่า ‘ทำไมต้องเปลี่ยนมาเป็นคนแบบที่ตัวเองเคยเกลียดที่สุดในอดีต’”

ชุยฉานไม่แม้แต่จะมองชุยตงซานและบ่อสายฟ้าสีทองที่กระเพื่อมเบาๆ ของเขา เพียงเอ่ยเนิบช้าว่า “ยังไม่ต้องพูดถึงข้อที่ว่าเจ้าสังหารข้าไม่ได้ ต่อให้ทำได้ ทางตันครั้งนี้ก็ยังคงเป็นทางตัน ก็เหมือนกับสถานการณ์ใหญ่ในใต้หล้าที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลง ดังนั้นเจ้าก็นั่งอยู่ตรงนี้อย่างว่าง่ายเถอะ ฉวยโอกาสที่ข้ายังพอมีเวลา ยังไม่ได้กลับไปยังต้าหลี คำถามมากมายที่เจ้าชุยตงซานไม่เข้าใจ ยังพอจะถามข้าชุยฉานได้”

เมื่อชุยฉานไม่พูดต่อ

ในห้องก็เงียบสงัดไร้สรรพสำเนียง

ดูเหมือนชุยฉานจะนึกเรื่องน่าสนใจเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงถามด้วยรอยยิ้ม “เจ้าไม่ถาม ถ้าอย่างนั้นข้าถามเจ้าเองก็แล้วกัน เจ้าว่าหากกู้ช่านตอบคำถามนั้นของเฉินผิงอันแบบนี้ เฉินผิงอันจะรู้สึกอย่างไร? ยกตัวอย่างเช่น…อืม กู้ช่านอาจพูดกับเขาอย่างเต็มไปด้วยเหตุด้วยผลว่า ‘ข้ารู้สึกว่าข้าไม่ผิด หากเจ้าเฉินผิงอันมีปัญญาก็ฆ่าข้าให้ตายเสียเลยสิ’ หรือยกตัวอย่างเช่น… ‘ตอนที่ข้ากู้ช่านกับแม่ถูกคนชั่วของทะเลสาบซูเจี่ยนรังแก เจ้าเฉินผิงอันมัวไปอยู่ที่ไหน?’”

การมองเห็นของชุยตงซานพร่าเลือน เขามองผู้เฒ่าที่สวมชุดลัทธิขงจื๊อหรือตัวเขาเองที่ก้าวเดินแต่ละก้าวอย่างมั่นคงหนักแน่นจนกระทั่งมีวันนี้อย่างเหม่อลอย

ชุยฉานยิ้มบางๆ “อันที่จริงหลังจากที่ทุกคนเติบใหญ่ ไม่ว่าจะได้เรียนหนังสือหรือไม่ ก็ล้วนรู้สึกเดียวดายไม่มากก็น้อย ต่อให้เป็นคนที่ฉลาดแค่ไหนก็ยังรู้สึกได้ว่า มีเสี้ยวเวลาหนึ่งที่ดูเหมือนว่าระหว่างฟ้าดินและมนุษย์คล้ายเงียบสงัดไม่เคลื่อนไหว บางคนที่ถามใจตัวเองจะได้รับการตอบรับที่พร่าเลือน บ้างก็เป็นความรู้สึกละอายใจ ความรู้สึกเคียดแค้น รู้หรือไม่ว่านี่เรียกว่าอะไร? เจ้าไม่รู้ก็เพราะว่านี่คือสิ่งที่ข้าชุยฉานเพิ่งจะขบคิดจนเข้าใจเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ เจ้าชุยตงซานล่องเรือทวนกระแสน้ำ ถอยแล้วถอยอีก หากข้าไม่บอก เจ้าก็ยิ่งไม่มีทางเข้าใจ นั่นเรียกว่ามโนธรรมในใจฟ้าดินรับรู้ของมนุษย์คนหนึ่ง ทว่าความรู้สึกเช่นนี้ไม่มีทางทำให้ชีวิตของคนคนหนึ่งเปลี่ยนมาเป็นดีมากขึ้น มีแต่จะยิ่งทำให้คนรู้สึกทุกข์ยากมากขึ้น คนดีคนเลวล้วนเป็นเช่นนี้”

ชุยฉานพูดต่อ “ใช่แล้ว ในช่วงเวลาที่เจ้าผลาญไปในสำนักศึกษาต้าสุย ข้าได้เล่าความคิดที่ปีนั้นพวกเราใคร่ครวญออกมาได้ให้เสินจวินผู้เฒ่าฟัง ถือเป็นการช่วยให้เขาคลายปมในใจเล็กๆ ครั้งหนึ่ง เจ้าลองคิดดูนะ บุคคลอย่างเสินจวินผู้เฒ่า ขนาดหลุมในใจหลุมหนึ่งยังต้องใช้เวลาเกือบหมื่นปีในการขบคิด แล้วเจ้าคิดว่าเฉินผิงอันต้องใช้เวลานานเท่าไหร่? นอกจากนี้หากเปลี่ยนมาเป็นข้าชุยฉาน แค่เพราะคำตอบที่ไม่ได้ตั้งใจว่า ‘ขอคิดดูอีกหน่อย’ ของเฉินผิงอัน เพราะมันเป็นคำตอบที่แตกต่างจากซิ่วไฉเฒ่าอย่างสิ้นเชิง ข้าก็ไม่มีทางร้องไห้น้ำหูน้ำตาไหลพราก อย่างเช่นที่เจ้ากำลังเป็นอยู่ตอนนี้แน่นอน”

ชุยตงซานยกมือขึ้นมาวางขวางทับดวงตา

ชุยฉานยิ้มกล่าว “แม้แต่อารมณ์จะด่าข้าว่าตะพาบเฒ่าก็ยังไม่มีแล้วหรือ ดูท่าจะเสียใจมากจริงๆ น่าสงสารพอๆ กับเฉินผิงอันเลยนะ แต่ไม่ต้องรีบร้อน หลังจากนี้อาจารย์จะยิ่งน่าสงสาร และยิ่งเสียใจมากกว่าลูกศิษย์ซะอีก”

ชุยตงซานทิ้งตัวนอนหงายไปด้านหลัง ใบหน้าเปรอะไปด้วยน้ำมูกและน้ำตาที่ไหลปนรวมกัน สะอื้นไห้ไม่หยุด