บทที่ 430.3 บางครั้งการกลับมาพบกันอีกครั้งก็เลวร้ายที่สุด

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ชุยฉานพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “หากข้าจำไม่ผิด สภาพจิตใจที่น่าสังเวชเช่นนี้ ครั้งแรกที่เกิดขึ้นก็เมื่อนานมากมาแล้ว เป็นตอนที่อยู่ชั้นบนของหอเก็บตำราของบ้านเกิดแล้วถูกท่านปู่ดึงบันไดออก ตอนนั้นอายุพอๆ กับหนังหุ้มร่างของเจ้าในเวลานี้ เพราะโกรธท่านปู่ก็เลยจงใจฉีกตำราอริยะปราชญ์เล่มหนึ่งที่ท่านปู่เลื่อมใสมากที่สุดเอามาเช็ดก้นแล้วขยำทิ้ง พอท่านปู่เห็นกองกระดาษพวกนั้นก็ไม่ได้อับอายจนพานเป็นความโกรธ ถึงขั้นไม่พูดอะไรสักคำ แล้วก็ไม่ได้ดุด่า เพียงแค่เอาบันไดกลับมาพาดให้ใหม่ แล้วถึงเดินจากไป”

ชุยฉานยิ้มกล่าว “อันที่จริงที่ข้าพูดกับเสินจวินผู้เฒ่าก็แค่ครึ่งเดียวเท่านั้น นั่นก็คือเรื่องของจุดที่แข็งแกร่งซึ่งซ่อนอยู่ในนิสัยอันอ่อนแอของมนุษย์ คือคำกล่าวที่พวกคนรุ่นหลังใช้คำว่า ‘เห็นอกเห็นใจ’ ‘รู้สึกร่วม’ ‘จิตเกิดความสงสาร’ มาอธิบาย ไม่ต้องสนว่าคนแต่ละคนมีพละกำลังมากเท่าไหร่ อนาคตยาวไกลแค่ไหน เพราะพวกเขาล้วนสามารถทำเรื่องโง่ที่ขนาดองค์เทพซึ่งอยู่สูงเหนือผู้ใด เฉยชาไร้ความรู้สึก บริสุทธิ์ไร้มลทินก็ยังมิอาจจินตนาการได้ถึง พวกเขาสามารถกระโจนเข้าสู่ความตายอย่างห้าวหาญเพื่อคนอื่น สามารถชอบโกรธรักหลงเพราะความชอบโกรธรักหลงของผู้อื่น ยินดีให้ร่างตัวเองแหลกสลายเป็นผุยผงแทนคนที่เพิ่งรู้จักได้ไม่นาน เปลวเพลิงจุดเล็กๆ ในใจคนจะเปล่งแสงเจิดจ้าบาดตา จะกู่ร้องพุ่งเข้าหาความตาย ยินยอมพร้อมใจให้ศพของตัวเองช่วยให้คนรุ่นหลังเดินขึ้นเขาไปได้ไกลอีกก้าว เดินไปยังยอดเขา ยอดเขาที่มีหอหยกเรือนแก้ว แล้วรื้อถอนพวกมันทิ้งซะ! ทุบทำลายเทวรูปที่หลุบตาต่ำมองมายังโลกมนุษย์ เอาโชคชะตาของมนุษย์แปลงเป็นควันธูปแล้วกินแทนอาหารให้สิ้นซาก!”

ชุยฉานพูดกลั้วหัวเราะขึ้นมาอีก “แต่ว่า นี่เป็นแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น สันดานของมนุษย์อีกครึ่งหนึ่งก็คือ คนคนหนึ่งเกิดมาก็รู้แล้วว่าเพื่อการอยู่รอดแล้ว ไม่จำเป็นต้องเลือกวิธีการ ไม่ว่า ‘ข้า’ จะต่ำต้อยเท่าไหร่ ก็ยังมีเพียงหนึ่งเดียวในโลก ดังนั้น ‘ข้า’ ที่มีมากมายจนนับไม่ถ้วนนี้ต้องการจะมีชีวิตอยู่ต่อไป มีชีวิตให้ยาวนานยิ่งกว่าเดิม มีชีวิตให้ดียิ่งกว่าเดิม พวกเราไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วตัวเองรู้จักหนึ่งนั้นแล้ว จึงอาศัยสัญชาตญาณที่เคยถูกองค์เทพปลูกฝังบ่มเพาะไปแย่งชิงมันมา ในเมื่อมีหนึ่งเพียงหนึ่งเดียว ถ้าอย่างนั้นก็ได้แต่ต้องไปแย่งมาจากมือของคนอื่น ให้หนึ่งนั้นของตัวเองใหญ่ขึ้น เยอะขึ้น การไขว่คว้าไล่ตามเช่นนี้ไม่มีที่สิ้นสุด”

ชุยฉานยื่นนิ้วชี้ไปยังเฉินผิงอันและรถม้าคันนั้น “กู้ช่านอาจจะไม่รู้ถึงความลำบากใจของเฉินผิงอันเสมอไป ก็เหมือนกับที่ปีนั้นเฉินผิงอันไม่รู้ความคิดของฉีจิ้งชุน”

ชุยฉานหดมือกลับมา ยิ้มถามว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าลองเดาดูสิว่า ครั้งสุดท้ายที่ฉีจิ้งชุนกางร่มให้เฉินผิงอัน เดินเคียงข้างกันอยู่บนถนนนอกร้านยาตระกูลหยาง ฉีจิ้งชุนได้บอกเหตุผลที่ทำให้ในอนาคตเฉินผิงอันไม่ต้องรู้สึกผิดแล้ว แต่ข้ารู้สึกว่าเรื่องหนึ่งที่มีค่ามากที่สุดแก่การอนุมานก็คือ ตอนนั้นเด็กหนุ่มจากตรอกหนีผิงผู้นี้ เขาเดาได้แล้วหรือไม่ว่า ตัวเองก็คือหมากสำคัญที่ทำให้ฉีจิ้งชุนต้องตาย?”

ชุยฉานหันหน้ากลับไป ส่ายหน้ายิ้มๆ

ชุยตงซานตัดขาดความรู้สึกและการรับรู้ทั้งหมดแล้ว

ชุยฉานมองม้วนภาพทั้งสองต่อไป “ซิ่วไฉเฒ่า หากเจ้าเห็นเหตุการณ์เหล่านี้ เจ้าจะพูดว่าอะไร? อืม คงจะลูบหนวดแล้วเอ่ยว่า ‘ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่’”

ชุยฉานพลันหัวเราะหยัน “ใบถงทวีปอันยิ่งใหญ่ กลับมีแค่สวินยวนคนเดียวที่ไม่ได้ตาบอด ช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ”

ชุยตงซานนอนตัวตรงแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น เหมือนคนตายคนหนึ่ง

ชุยฉานหันหน้ากลับมา “ในถุงผ้าแพรใบนั้นเจ้าเขียนประโยคใดไว้กันแน่? นี่เป็นจุดเดียวที่ข้าอยากรู้ เลิกแกล้งตายเถอะ ข้ารู้ว่าต่อให้เจ้าผนึกสะพานแห่งความเป็นอมตะก็ต้องเดาความคิดของข้าออกเหมือนกัน ความฉลาดเล็กๆ น้อยๆ แค่นี้ เจ้าชุยตงซานยังคงมีอยู่บ้าง”

ชุยตงซานแน่นิ่งไม่ขยับ แกล้งตายจนถึงที่สุด

……

บนถนนที่มีผู้คนสัญจรกันคลาคล่ำจอแจมากที่สุดในนครน้ำบ่อ ในสถานที่ที่เดิมทีไม่ควรเกิดการลอบฆ่ามากที่สุดกลับเกิดฉากล้อมสังหารที่น่าอกสั่นขวัญผวา

ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตแปดของราชวงศ์จูอิ๋งคนหนึ่ง ผู้ฝึกยุทธขอบเขตแปดเดินทางไกลคนหนึ่ง อาจารย์ค่ายกลขอบเขตโอสถทองที่จัดวางค่ายกลไว้เรียบร้อยแล้วคนหนึ่ง

เป็นแผนการที่รัดกุมไร้ช่องโหว่

ทว่าผลลัพธ์กลับทำให้เหล่าผู้ชมผิดหวังกันอย่างมาก

หนึ่งเพราะการลอบสังหารนี้เกิดขึ้นกะทันหันเกินไป สองเพราะฉากจบมาถึงเร็วเกินไป

ห้องโดยสารของรถม้าคันที่สองระเบิดกระจายไปสี่ทิศ แล้วปรากฎร่างของ ‘แม่นางเปิดสาบเสื้อ’ ที่สวมหมวกคลุมหน้าคนหนึ่ง

นางปล่อยให้กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตแปดแทงทะลุหัวใจ โดยที่ตัวเองปล่อยหมัดต่อยผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลที่กระโจนเข้าใส่ให้ตายด้วยหมัดเดียว ในมือยังกำหัวใจที่นางควักออกมาจากอกของอีกฝ่ายไว้แน่น ครั้นจึงทะยานร่างพุ่งออกไป อ้าปากกว้างกลืนหัวใจลงท้อง จากนั้นก็ไล่ตามผู้ฝึกกระบี่คนนั้นไป ปล่อยหมัดต่อยเข้าที่หัวใจด้านหลังของเขา ต่อยให้เสื้อเกราะจินอูของสำนักการทหารที่คนผู้นั้นสวมใส่ปริแตก จากนั้นก็กระชากควักหัวใจอีกดวงออกมา ทะยานลมหยุดยืนนิ่ง ไม่มองศพที่ร่วงหล่นลงบนพื้น ปล่อยให้ทารกก่อกำเนิดแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกตนนำโอสถทองเผ่นหนีไปไกล

นี่เป็นสิ่งที่นายท่านตกลงกับนางไว้ก่อนแล้ว เพราะหากสังหารทุกคนหมดรวดเดียว วันหน้าจะไม่มีอะไรให้เล่นสนุกอีก

และ ‘แม่นางเปิดสาบเสื้อ’ ผู้นี้ก็คือ ‘หนีชิวน้อย’ ตัวนั้น

นางได้เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตก่อกำเนิดอย่างเงียบเชียบแล้ว

ขอบเขตก่อกำเนิดของเผ่าพันธุ์เจียวหลง มีพลังการต่อสู้เทียบเท่าได้กับผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้าคนหนึ่งบวกกับผู้ฝึกลมปราณก่อกำเนิดคนหนึ่ง

แล้วนับประสาอะไรกับที่มันยังไม่ใช่เผ่าพันธุ์เจียวหลงธรรมดา แต่เป็นหนึ่งในทายาทของมังกรตัวสุดท้ายห้าตัวที่หลงเหลืออยู่ในท้ายที่สุดของโลก

มันกลับมาอยู่ด้านข้างรถม้าคันแรก ยังตั้งใจคงลิ้มรสรสชาติหัวใจของผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตแปด รสชาตินี้เรียกได้ว่ายอดเยี่ยม การที่จะได้กินอาหารมื้อใหญ่รสชาติอร่อยถูกปากแบบนี้ในทะเลสาบซูเจี่ยน ถือว่าเป็นเรื่องยากมากแล้ว

กู้ช่านที่สวมชุดหม่างสีหมึกกระโดดลงมาจากรถม้า ลวี่ไช่ซางตามหลังมาติดๆ

กู้ช่านเดินมาหยุดอยู่ข้างกายมัน ยื่นนิ้วมาช่วยเช็ดมุมปากให้มันพลางบ่นว่า “หนีชิวน้อย บอกกับเจ้าตั้งกี่รอบแล้ว คราวหน้าห้ามกินอย่างตะกละตะกลามน่าเกลียดแบบนี้อีก! ยังอยากจะกินข้าวร่วมโต๊ะกับข้าและท่านแม่อยู่อีกไหม?!”

มันยิ้มอย่างเขินอาย ก่อนจะหันหน้ากลับไปอย่างลำบากใจเล็กน้อย

ภาพนี้ทำให้ลวี่ไช่ซางที่มองอยู่รู้สึกสั่นเยือกทั้งที่ไม่หนาว

กู้ช่านเดินอาดๆ มาหยุดอยู่ตรงหน้าอาจารย์ค่ายกลโอสถทองที่ยืนนิ่งอยู่ข้างถนนไม่กล้ากระดุกกระดิก ผู้คนที่อยู่รอบกายเซียนดินท่านนี้สลายหายไปดั่งน้ำลงนานแล้ว

ที่อาจารย์ค่ายกลยืนนิ่งอยู่อย่างนี้ไม่ใช่เพราะจิตใจของนางไม่หนักแน่นมากพอ ตกใจจนก้าวขาไม่ออก

แต่เป็นเพราะนางถูกเดรัจฉานตัวนั้นจ้องเขม็ง ขอแค่กล้าขยับตัวก็ต้องตาย

กู้ช่านสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ เดินวนรอบตัวผู้ฝึกตนโอสถทองที่อยู่ในสภาพของสตรีแต่งงานแล้วหน้าตาธรรมดา สุดท้ายมาหยุดยืนนิ่งอยู่เบื้องหน้านาง ทอดถอนใจกล่าวว่า “น่าเสียดายนัก ท่านอาหญิงหน้าตาน่าเกลียดเกินไป ไม่อย่างนั้นก็ไม่ต้องตายแล้ว”

สตรีแต่งงานแล้วคุกเข่าลงกับพื้นดังตุ้บ “กู้ช่าน ขอร้องล่ะ เว้นชีวิตข้าสักครั้งเถอะ! นับจากนี้ไปข้ายอมอุทิศตนรับใช้เจ้า!”

กู้ช่านเพียงยิ้มบางๆ ไม่เอ่ยอะไร คล้ายว่ากำลังชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสีย

มันที่ไม่มีหมวกคลุมหน้า แต่ยังคงสวมเครื่องแต่งกายยามออกมาข้างนอกของแม่นางเปิดสาบเสื้อเรอดังเอิ้ก มันรีบปิดปากตัวเองทันที

กู้ช่านหันหน้ากลับมาถลึงตาใส่มัน

จากนั้นก็หันไปพูดกับลวี่ไช่ซางด้วยรอยยิ้ม “เป็นอย่างไร เดินตามก้นข้าไม่ได้กินฝุ่นอย่างเปล่าประโยชน์ใช่ไหม?”

ลวี่ไช่ซางพยักหน้ารับ คลี่ยิ้มเจิดจ้าสดใส

หากไม่เป็นเช่นนี้ เขาก็คงไม่ใช่มารตัวเป้งของทะเลสาบซูเจี่ยนก่อนหน้าที่จะมีกู้ช่านแล้ว

กู้ช่านหันหน้ากลับไปกลับมาอยู่ตลอดเวลา ยิ้มกล่าวว่า “ลวี่ไช่ซาง ถ้าอย่างนั้นเจ้าช่วยบอกกฎกติกาที่ก่อนหน้านี้ข้าป่าวประกาศแก่คนทั้งทะเลสาบซูเจี่ยนให้ท่านอาหญิงผู้นี้ฟังที”

ในอดีตบนเกาะชิงเสียเคยเกิดการลอบสังหารและลอบโจมตีหลายต่อหลายครั้ง ไม่รู้ว่าเหตุใดกู้ช่านถึงห้ามไม่ให้หลิวจื้อเม่าสกัดคงคาเจินจวินที่เดือดดาลจนมิอาจควบคุมตัวเองไปสืบไซ้ไล่เรียง ไม่ต้องไปเสาะหาว่าผู้บงการที่อยู่เบื้องหลังของนักฆ่าเหล่านั้นเป็นใคร

ทว่าคู่แค้นในทะเลสาบซูเจี่ยนก็ดี หรือผู้ฝึกตนอิสระที่เกลียดขี้หน้ากู้ช่านเลยจ้างนักฆ่ามาสังหารเขาก็ช่าง ล้วนไม่มีใครเป็นคนโง่ พวกเขาจึงไม่คิดจะจ่ายเงินหรือทุ่มเทเอาชีวิตไปตายอย่างเปล่าประโยชน์ที่เกาะชิงเสียอีก

ลวี่ไช่ซางชำเลืองตามองสตรีแต่งงานแล้วคนนั้นแวบหนึ่ง ก่อนจะยิ้มบางๆ กล่าวว่า “การลอบฆ่าและท้าทายทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อออกมาจากเกาะชิงเสีย แขกผู้มีเกียรติที่ลงมือเป็นครั้งแรกจะฆ่าแค่คนเดียว ครั้งที่สองนอกจากคนที่ลงมือแล้ว ยังเอาชีวิตของคนที่สนิทสนมกับเขาที่สุดอีกคนหนึ่ง ให้ตายเป็นคู่ ครั้งที่สามหากมีครอบครัวก็ฆ่าทั้งครอบครัว หากไม่มีญาติก็ฆ่าคนทั้งครอบครัวของผู้ที่บงการอยู่เบื้องหลัง หากคนเบื้องหลังก็เป็นคนน่าสงสารที่เหลือตัวคนเดียว ก็ฆ่าคนที่สนิทกับเขามากที่สุดอย่างเช่นสหาย สรุปก็คืออย่าให้การเดินทางไปเยือนวังยมบาลของเขาต้องโดดเดี่ยวเดียวดายเกินไปนัก”

กู้ช่านพยักหน้ารับ หันหน้ากลับมามองสตรีแต่งงานแล้วที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและสิ้นหวังคนนั้นอีกครั้ง เขาดึงมือข้างหนึ่งออกมา ชูนิ้วสามนิ้ว “จะเอาชีวิตมาทิ้งเปล่าๆ ให้เหนื่อยยากไปไย การแก้แค้นของผู้ฝึกตน ร้อยปีก็ยังไม่สาย แต่อันที่จริงพวกเจ้าก็คิดถูกแล้ว หากให้ผ่านไปอีกร้อยปี พวกเจ้าจะกล้ามาหาเรื่องซวยใส่ตัวได้อย่างไร? พวกเจ้าสามคนนี่ไม่ได้เรื่องเอาซะเลย จำได้ว่าเมื่อปีก่อนตอนอยู่บนเกาะชิงเสีย มีนักฆ่าคนหนึ่ง นั่นต่างหากถึงจะเรียกว่าร้ายกาจ ความสามารถไม่สูง แต่ความคิดกลับดีเยี่ยม ถึงขนาดนั่งยองอยู่ในห้องส้วมแล้วปล่อยกระบี่ใส่นายท่านอย่างข้า แม่งช่างมีพรสวรรค์ซะจริง หากไม่เป็นเพราะหนีชิวน้อยลงมือเร็วเกินไป นายท่านอย่างข้าก็คงตัดใจฆ่าเขาไม่ลงด้วยซ้ำ!”

กู้ช่านหดมือข้างหนึ่งไว้ในชายแขนเสื้อ ส่วนมืออีกข้างหนึ่งชูสามนิ้วไว้ตลอดเวลา “ก่อนหน้าเจ้า นอกเกาะชิงเสียก็มีสามครั้งแล้ว คราวก่อนข้าพูดกับคนผู้นั้นว่า ครอบครัวเดียวกันต้องอยู่กันพร้อมหน้า ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ต้องกลับมารวมตัวกันอย่างสุขสันต์ ครั้งแรกใครฆ่าข้า ข้าก็ฆ่าคนนั้น ครั้งที่สองค่อยฆ่าคนสนิทของเขา ครั้งที่สามฆ่าคนทั้งครอบครัวของเขา ส่วนครั้งนี้ เป็นครั้งที่สี่แล้ว ประโยคนั้นพูดว่าอย่างไรแล้วนะ?”

มันผู้นั้นกลืนน้ำลาย “ประหารเก้าชั่วโคตร”

กู้ช่านกระจ่างแจ้งในทันใด “ใช่ พูดอย่างนี้นี่แหละ”

กู้ช่านหดนิ้วกลับ สอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ค้อมเอวลงเล็กน้อย พูดกับพวกผู้หญิงก็ดีอย่างนี้ พวกนางมักจะตัวไม่สูง ไม่ต้องให้เขาเงยหน้าพูดให้เมื่อย

กู้ช่านพูดกลั้วหัวเราะเสียงเบา “จะต้องถูกประหารเก้าชั่วโคตรแล้วนะ ประหารเก้าชั่วโคตร อันที่จริงไม่ต้องกลัวหรอก นั่นเป็นการรวมตัวกันครั้งใหญ่เชียวนะ เวลาปกติต่อให้เป็นช่วงเทศกาลหรือวันปีใหม่ พวกเจ้าก็มารวมตัวกันได้ไม่ครบหรอก”

และเวลานี้เอง มีบุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่งที่สะพายกระบี่ห้อยกาเหล้าเดินออกมาจากใต้ชายคาของเรือนข้างถนนห่างไปไม่ไกล

เขาเดินตรงเข้าหากู้ช่าน

ลวี่ไช่ซางหันตัวกลับมา หรี่ตาลง ปราณสังหารท่วมท้น

กู้ช่านเองก็หันตัวกลับมาทันที ยิ้มกล่าวว่า “ไม่เป็นไร ปล่อยให้เขามา”

ลวี่ไช่ซางลังเลเล็กน้อย แต่ก็ยังหลีกทางให้

‘บุรุษวัยกลางคน’ แซ่เฉินผู้นั้นเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า ‘เด็กหนุ่ม’ ที่สวมชุดหม่าง

อยู่ดีๆ หนีชิวน้อยที่จำแลงร่างกลายเป็นคนก็ถอยหลังไปหนึ่งก้าว

กู้ช่านที่จิตใจเชื่อมโยงอยู่กับมันเพิ่งจะขมวดคิ้วก็ถูกคนผู้นั้นตบเข้าที่ใบหน้า

คนผู้นั้นกล่าว “เจ้าลองพูดอีกทีสิ?”

ลวี่ไช่ซางอ้าปากกว้าง

ทุกคนที่อยู่บนถนนก็เป็นอย่างนี้กันแทบทั้งหมด

คนผู้นั้นยกมือตบฉาดลงบนใบหน้ากู้ช่านเต็มแรงอีกครั้ง เขาพูดเสียงสั่นแต่กลับเฉียบขาด “กู้ช่าน! เจ้าพูดอีกทีสิ!”

กู้ช่านหันหน้าไปถ่มเลือดทิ้ง จากนั้นก็เอียงศีรษะ ข้างแก้มบวมฉึ่งแดงก่ำทันตาเห็น ทว่าในสายตาของเขากลับเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ฮ่าๆ เฉินผิงอัน! เจ้ามาแล้วหรือ!”

—–