การส่งมอบเสบียงอาหารกลายเป็นงานใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นความสำเร็จหรือความล้มเหลวในการต่อสู้ก็จะถูกตัดสินโดยสิ่งนี้ ดังนั้นพวกเขาไม่สามารถที่จะประมาทได้
ตอนนี้ขุนนางและทหารต่างก็ได้โต้เถียงกันมานานในท้องพระโรงขนาดใหญ่ แต่พวกเขาก็ยังไม่ได้เลือกผู้สมัครที่เหมาะสม เมื่อเห็นอย่างนี้ฮ่องเต้ก็ช่วยไม่ได้ที่จะโกรธ เขาสะบัดแขนเสื้อและออกจากท้องพระโรงไปทันที
“เสนาหลิน เราควรทำอย่างไร?”
“ เสนาโย่ว เราควรทำอย่างไร?”
ไม่ว่าจะเป็นขุนนางหรือทหาร พวกเขาต่างก็ล้อมรอบเสนาบดีทั้งสองเอาไว้ หวังว่าพวกเขาจะสามารถวางแผนที่ดีได้
เสนาหลินและเสนาโย่วยังคงไร้อารมณ์ใดๆ พวกเขาทั้งสองมีความเข้าใจโดยปริยายว่าควรจะนิ่งเงียบเสีย
แผนการที่ดีแบบไหนกันที่พวกเขาจะสามารถนำออกมาได้?
สงครามครั้งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง แต่เสี่ยวหวางเย่กำลังดูอยู่ข้างสนาม ใครจะรู้ว่าเสบียงอาหารที่พวกเขาจะลองส่งไปอีกจะไม่ถูกปล้นโดยเขาอีกครั้ง
หากสิ่งนั้นเกิดขึ้น ไม่เพียงแต่พวกเขาจะสูญเสียแหล่งอาหาร แต่ยังจะพ่ายแพ้ให้กับกองทัพแคว้นเหนืออีกด้วย ฮ่องเต้จะไม่ยอมปล่อยคนที่คิดแผนการนั้นขึ้นมา บุคคลผู้นั้นก็จะถึงวาระโชคร้าย
เหตุการณ์เช่นนี้ มีเพียงฮ่องเต้เท่านั้นที่จะสามารถคิดแผนการขึ้นมาได้
ฮ่องเต้รู้ว่าเสนาบดีในวังของเขากำลังคิดอะไรอยู่ เขาเข้าใจความคิดของพวกเขาเป็นอย่างดี นั่นคือสาเหตุที่ทำให้เขาโกรธ
เสนาบดีในวังเหล่านั้นมีสมองที่มีขนาดเล็กอยู่ในหัวของพวกเขาเท่านั้นดังนั้นเมื่อพวกเขาพบเหตุการณ์สำคัญ เขาจึงไม่สามารถวางใจได้
“ ช่างเป็นขยะที่ไร้ค่า! มันจะมีประโยชน์อะไรที่จะเก็บขยะที่ไร้ค่าเอาไว้?” ตอนนี้เขามีปัญหา กลุ่มคนเหล่านั้นกำลังทำอะไรอยู่? พวกเขาเพียงแค่ซ่อนตัวอยู่ด้านหลังของเขาเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม เขาไม่สามารถฆ่าเสนาบดีในวังที่ไร้ประโยชน์ทั้งหมดได้
“สารเลว” ฮ่องเต้โกรธมาก เขาตบไปที่โต๊ะและนั่งลงไปบนเก้าอี้มังกรอยู่เป็นเวลานาน
ในเวลานี้ ไม่มีใครกล้ารบกวนฮ่องเต้อีก ขันทีและนางกำนัลในวังต่างก็อยู่ห่างจากเขา เพราะกลัวว่าฮ่องเต้จะระคายเคืองเอาได้
“ ข้าต้องการพบเสด็จพ่อ” อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้องค์ชายเจ็ดกลับเสด็จมา
“ องค์ชาย ฝ่าบาทกำลังพิโรธมากในเวลานี้ พระองค์ต้องการที่จะใหม่ในภายหลังหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีรู้ว่าองค์ชายเจ็ดเป็นเด็กที่เอาแต่พระทัย แต่เขาก็ไม่ควรที่จะเข้าไปในเวลานี้
องค์ชายเจ็ดส่ายหัวเล็ก ๆ ของเขาแล้วพูดขึ้น“ข้ารู้ว่าเสด็จพ่อทรงพิโรธมาก นั่นเป็นสาเหตุที่ข้าต้องการเข้าไป ไปประกาศว่าข้าต้องการเข้าพบเสด็จพ่อ ถ้าเสด็จพ่อทรงปฏิเสธ ข้าจะจากไปเอง”
“องค์ชาย……” ขันทีอยู่ในภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ในเวลานี้ความโกรธของฮ่องเต้ได้คลี่คลายลงครึ่งหนึ่งแล้ว ดังนั้นเมื่อเขาได้ยินเสียงข้างนอกเขาจึงถามขึ้น “ใครอยู่ข้างนอก?”
ขันทีเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เขาคุกเข่าลงไปบนพื้นและพูดขึ้น“เรียนฝ่าบาท องค์ชายเจ็ดขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
“ องค์ชายเจ็ดหรือ ปล่อยให้เขาเข้ามา” ถึงแม้ฮ่องเต้จะวิตกกังวลเกี่ยวกับปัญหาในแนวหน้า แต่เขาก็ไม่ได้คิดที่จะคิดเกี่ยวกับมันในเวลานี้
ทันทีที่องค์ชายเจ็ดเข้ามา เขาก็ความเคารพ แต่แล้วเขาก็พูดเพียงความตั้งใจของเขาเมื่อฮ่องเต้บอกให้เขาลุกขึ้น“ เสด็จพ่อ กระหม่อมได้ยินมาว่าเสด็จพ่อกำลังพิโรธ ลูกไร้ความสามารถไม่สามารถแบกรับความกังวลของเสด็จพ่อได้ แต่ลูกสามารถอยู่เป็นเพื่อนเสด็จพ่อได้พ่ะย่ะค่ะ”
องค์ชายเจ็ดมองดูฮ่องเต้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวล
เมื่อฮ่องเต้ได้ยินคำพูดของบุตรชายของเขา หัวใจของเขาก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย“ องค์ชายเจ็ดช่างมีน้ำใจ เช่นนั้นก็มานั่งข้างๆบิดาเถิด”
องค์ชายเจ็ดนั้นตัวเล็กเกินไป ฮ่องเต้แทบจะมองไม่เห็นเขาเมื่ออยู่อีกด้านหนึ่งของโต๊ะ
องค์ชายเจ็ดเดินเข้าไปใกล้และมองไปที่ใบหน้าของฮ่องเต้ จากนั้นเขาถามด้วยความกังวลอย่างเต็มเปี่ยมขึ้น“ เสด็จพ่อ ท่านไม่ทรงพิโรธแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“ไม่แล้ว ความโกรธจะไม่แก้ปัญหา” ฮ่องเต้ลูบหัวขององค์ชายเจ็ดแล้วพูดขึ้น“ องค์ชายเจ็ด เจ้าไม่ต้องกังวล ไม่มีอะไรที่บิดาของเจ้า ไม่สามารถแก้ไขได้”
“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อเป็นบุคคลที่ทรงอำนาจที่สุดในโลก ไม่มีใครมีอำนาจไปกว่าเสด็จพ่ออีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ” องค์ชายเจ็ดพยักหน้าอย่างหนักแน่น