ตอนที่ 71 - 2 เพื่อความรักปราศจากความกลัว

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1]

รถม้าที่มืดสลัว ซากศพที่กลาดเกลื่อน พื้นรถที่ชุ่มโชกไปด้วยโลหิต บุรุษที่ตายตาไม่หลับ สตรีที่อ่อนยวบอยู่ในสระโลหิตเงยศีรษะที่ยุ่งเหยิงขึ้น ใบหน้าที่ขาวซีดดวงหนึ่ง ดวงตาที่ถลนด้วยความแค้น โลหิตที่เปรอะเปื้อนสาดกระเซ็นไปทั่วใบหน้า…

 

 

องค์ประกอบที่จำต้องมีในภาพยนตร์สยองขวัญก็ล้วนมีครบถ้วนหมดแล้ว

 

 

หัวใจดวงน้อยของจิ่งเหิงปัวเต้นดังตึ่กตั่ก รู้ทันทีว่าแย่แล้ว

 

 

ซังต้งหอบหายใจอยู่หลายครั้ง ก่อนจะส่งยิ้มให้นางอย่างแปลกประหลาด

 

 

“เมื่อครู่…” นางเอ่ยอย่างแหบแห้งฝืนแรงว่า “..เป็นเจ้าสินะ”

 

 

จู่ๆ ก็ถามขึ้นอย่างไร้ต้นสายปลายเหตุ ทว่าจิ่งเหิงปัวย่อมจะเข้าใจ นางหัวเราะเหอะๆ ออกมาครั้งหนึ่ง แล้วกล่าวว่า “สนุกหรือไม่”

 

 

ซังต้งจ้องมองนางแล้วพยักหน้าลง เอ่ยว่า “…ดูคล้ายจะไร้ประโยชน์ แต่กลับมีลูกไม้และแผนการที่โผล่ออกมาไม่ขาดสาย สุดท้ายทุกคนต่างก็ถูกเจ้าหลอกเสียแล้ว…พวกข้าผิดก็ตรงที่ดูถูกเจ้าเกินไป…”

 

 

“ดูถูกต่อไปเถิด ดูถูกต่อไป” จิ่งเหิงปัวโบกไม้โบกมือ แล้วกล่าวว่า “เจ้าคงเหนื่อยแล้วกระมัง จะนอนหลับสักงีบหรือไม่เล่า ข้าจะเปิดเพลงแอปเปิลน้อยให้เจ้าฟังดีหรือไม่ กล่อมดียิ่งนัก” เมื่อกล่าวจบก็หยิบปากกาอัดเสียงที่กลิ้งมาถึงข้างมือขึ้นแล้วหมายจะเปิดเพลงแอปเปิลน้อยของตนเองเมื่อครู่

 

 

ฟังไปเถอะ ฟังจนรำคาญจนชนกำแพงตายนั่นจะดีที่สุด

 

 

“หึๆ…” ซังต้งหัวเราะ บนใบหน้าขาวซีดเฉียดผ่านด้วยความเสียดสี เอ่ยว่า “…ข้ามีเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่าที่ต้องกระทำนะ…”

 

 

ในใจของจิ่งเหิงปัวกระตุกวูบ หวังจะพุ่งขึ้นมาขัดขวาง ฝ่าเท้าของซังต้งพลันเชิดขึ้นเพียงครั้ง มีดเล่มหนึ่งก็เหินตะแคงเข้ามาดังเคร้ง ปักค้ำระหว่างนางกับผนังรถสองฝั่งดังฉึกพอดี

 

 

จิ่งเหิงปัวไม่กล้าขยับเขยื้อนอีก นางนั่งอยู่ตรงมุมรถ มีดหนึ่งเล่มคมมีดหันเข้าด้านใน ค้ำคอของนางเอาไว้พอดี ขยับเพียงแค่นิดเดียวก็ย่อมจะมีภัยอันตรายถึงลำคอ

 

 

มองไม่ออกว่าสตรีนี้อยู่ในสภาพนี้แล้วยังมีฝีมือดีขนาดนี้

 

 

จากนั้นซังต้งก็ฉีกสาบเสื้อเศษหนึ่งยัดเข้าไปในปากของจิ่งเหิงปัว กลิ่นคาวเลือดเข้มข้นจุกถึงในปากคอหอย จิ่งเหิงปัวอยากจะอาเจียนออกมาเป็นระลอกๆ

 

 

ซังต้งยิ้มเยาะพลางเชิดปลายคางของนางขึ้น หัวเราะพลางเอ่ยว่า “ต่อไป…ก็มาชมเรื่องสนุกด้วยกันเถิด”

 

 

จิ่งเหิงปัวรู้ได้ในทันทีว่าแย่แน่ แม้ว่าจะเปล่งเสียงไม่ออก แต่ก็ยังร้อง “อือๆ อือๆ” อย่างมั่วซั่ว โคตรเจ็บใจที่ในรถม้าไม่มีสิ่งของที่นำมากระแทกคนได้เลย ไม่อย่างนั้นนางจะยกมาเขวี้ยงยายเฒ่าที่ใกล้จะกลายเป็นปีศาจคนนี้แรงๆ สักครั้ง เช่นนี้โลกก็คงจะสงบสุขขึ้นแล้ว

 

 

ซังต้งหันกายเช็ดใบหน้าให้สะอาด ก่อนจะไม่รู้ว่าฟาดไปที่ใด รถม้าพลันแล่นไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วอีกครั้งทั้งๆ ที่ไม่มีคนขับเคลื่อน

 

 

การกระทำครั้งหนึ่งนี้พาให้ผู้รอคอยทุกคนต่างตกใจในทันใด คนจำนวนนับไม่ถ้วนเขย่งปลายเท้าชะเง้อมอง ทหารคั่งหลงรอคอยอย่างพร้อมเพรียง คันศรยักษ์บนกำแพงวังน้าวจนเกิดเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด กงอิ้นที่อยู่หน้ากำแพงวังเงยหน้าขึ้นมา

 

 

บนจัตุรัสขาวบริสุทธิ์ ประตูวังสีแดงเข้มปิดสนิท เขายืนอยู่ที่หน้าประตูวังเพียงผู้เดียว มือถือโซ่หิมะแร่เงินโบราณของตนเอง ก่อนเผชิญหน้ากับรถม้าที่พุ่งตะบึงมาอยู่ไกลโพ้น

 

 

ทุกผู้คนต่างมองเห็นใบหน้าของซังต้งที่ยื่นออกมาจากหน้าต่างรถ

 

 

“กงอิ้น!” นางเอ่ยขึ้นว่า “พวกเรามาแล้ว! ห่างจากประตูวังสามสิบจั้ง! หากกระบี่ของเจ้าไม่พาดคออีก ข้าคงไม่ทันได้โยนราชินีออกมาแล้ว!”

 

 

จิ่งเหิงปัวร้องว่า “อือๆๆ อือๆ!”

 

 

คำด่าทอนับไม่ถ้วนจากม้าเฉ่าหนีหนึ่งหมื่นตัวข้ามผ่านดวงใจ…ยายเฒ่าเดรัจฉานพันปีนางนี้เปลี่ยนใจแล้วจริงๆ ด้วย!

 

 

ยังจะบังคับกงอิ้นให้ฆ่าตัวตายเหมือนเดิม!

 

 

ไม่ นี่เป็นการโกหก!

 

 

ตอนนี้นางทำท่าทางแบบนี้ ตอนนี้ซังต้งที่มีแรงกายแค่นี้โยนนางออกจากรถม้าไม่ได้ด้วยซ้ำ นางต้องตายไปกับซังต้งแน่นอน!

 

 

รถม้าพุ่งตะบึง ซ้อนทับด้วยแสงเงาสีดำ กำจายกลิ่นอายแห่งความตายเหม็นฉุน ซังต้งกำลังหัวเราะเสียงแหลมอย่างบ้าคลั่ง ทุกคนมองเห็นอย่างตกตะลึงว่าผมสีดำที่ยาวสยายอยู่กลางสายลมของนางแปรเปลี่ยนเป็นสีขาวไปทีละเล็กละน้อย

 

 

ดูคล้ายหิมะที่ปกคลุมทุ่งกว้างอย่างเชื่องช้า มิเคยหวนคืนฤดูวสันต์วันหนึ่งนั้น

 

 

สถานที่ห่างไกล บนภูเขาเตี้ยๆ แห่งหนึ่งที่มองจากข้างบนไปยังจัตุรัสหวงเฉิงข้างล่างได้ มีผู้ที่ยืนนิ่งอย่างเงียบเชียบกำลังมองดูรถม้าสีดำบนจัตุรัสขาวบริสุทธิ์ มองดูสตรีผมดำกลายเป็นผมขาวในชั่วพริบตา

 

 

ลมพัดพาแขนเสื้อของเขาให้ถลกขึ้นมา กระดาษเงินกระดาษทองสีขาวผืนหนึ่งกระหวัดพัดพลิ้วข้ามผ่านสาบเสื้อพัดตามสายลมไป

 

 

 

 

รถม้ากำลังตะบึง

 

 

จิ่งเหิงปัวไม่อาจขยับเขยื้อนได้แม้แต่น้อย หากสั่นสะเทือนแม้เพียงเล็กน้อย มีดที่ค้ำอยู่เบื้องหน้าอาจจะบาดเฉือนคอหอยของนางได้

 

 

จากหน้าต่างนั้นสามารถมองเห็นรูปปั้นขนาดมหึมาของจักรพรรดินีผู้สถาปนาแคว้นที่อยู่ฝั่งตรงข้ามได้ นั่นคือสิ่งปลูกสร้างเชิงสัญลักษณ์ของจัตุรัสหวงเฉิง ดวงพักตร์สุภาพเยือกเย็นของจักรพรรดินีน้อมลงเล็กน้อย ดูคล้ายกำลังมองสถานการณ์ทั่วหวงเฉิงอย่างสงสาร

 

 

ฟิ้ว! คันศรยักษ์บนกำแพงวังเริ่มยิงออกมาในที่สุด ชั่วครู่นั้นก็แหวกผ่านอากาศ แสงดำกะพริบผ่านอย่างต่อเนื่อง คันศรยักษ์สี่คันโอบล้อมพุ่งวูบจากสี่มุมตรงมายังรถม้า!

 

 

บนใบหน้าของซังต้งมีเพียงรอยยิ้มเยาะเย้ย

 

 

เสียง ครืดคราด ดังต่อเนื่อง ตัวรถสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ลูกศรสี่ดอกต่างยิงโดนตัวรถดังตึ้งๆๆ ทว่าสิ่งที่ทำให้คนตกตะลึงมากที่สุดคือพริบตาที่ลูกศรเหล่านั้นสัมผัสตัวรถนั้น ลูกศรก็พลันไถลออกไป เหินเอนเอียงเฉียดผ่านตัวรถออกไปแล้วตรึงอยู่บนพื้นดังตึ่ก

 

 

หัวลูกศรเหล็กกล้าพุ่งชนเสียดสีตัวรถจนก่อให้เกิดประกายไฟหอบหนึ่ง หากไม่ใช่เพราะเหินเร็วเกินไป รถม้าก็อาจจะลุกไหม้ขึ้นมาได้

 

 

ทุกคนเบิกตาโพลง มองดูลูกศรที่ยิงเบี้ยวโดยพร้อมเพรียง ไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงเฉียดผ่านไปทั้งๆ ที่ยิงโดนแล้ว

 

 

“รถม้านี้ถูกปรับปรุงใหม่! น่าอัศจรรย์! ทั่วทั้งตัวรถเป็นเส้นโค้งสายหนึ่ง เมื่อโดนศรก็พลันไถล ยอดฝีมือ! เป็นยอดฝีมือ!” ในฝูงชนนั้นมีผู้ร้องอุทานขึ้นมาเสียงดังลั่น

 

 

จากนั้นเขาก็ถูกฝ่ามือหกคู่ตบลงสู่พื้น แล้วร้องว่า “โรคจิต! นี่มันยามใดกันแล้ว ยังจะศึกษาโครงสร้างขแงรถม้าอีก ช่วยคนน่ะเข้าใจหรือไม่? ช่วยคน!”

 

 

 

 

“ฮ่าๆๆ ฮ่าๆ” เสียงหัวเราะลั่นของซังต้งฟังดูแล้วเสียดหูยิ่งนัก นางเอ่ยขึ้นอีกครั้งว่า “กงอิ้น ข้าเคยบอกเจ้าแล้วว่าอย่าได้สิ้นเปลืองความคิด กับดักใดลูกศรเหินใดล้อมโจมตี รถม้าของข้าคันนี้ล้วนขัดขวางไว้ได้หมดสิ้น หากเจ้าลงมืออีกครั้ง รถม้าของข้าคันนี้ย่อมจะจุดไฟแล้ว! เจ้ายังไม่สิ้นชีพ!”

 

 

“ได้!” กงอิ้นเอ่ยตอบในที่สุด เสียงแว่วออกไปไกลโพ้น ฝูงชนที่เกิดความวุ่นวายพลันเงียบสงบลงด้วยเพราะเสียงนี้

 

 

เหยียลี่ว์ฉีที่รีบตามมาเงยหน้าขึ้น

 

 

ในฝูงชนอีชีกระโดดโลดเต้นอย่างดีอกดีใจ ร้องว่า “ได้ยินหรือไม่ ได้ยินหรือไม่ เขาจะปลิดชีพตนเองแล้ว! ข้าจะได้ครองตำแหน่งแล้ว! เรื่องน่ายินดียิ่งใหญ่ในชีวิตสามเรื่อง เลื่อนตำแหน่ง ร่ำรวย ศัตรูหัวใจสิ้นชีพ! ศัตรูหัวใจข้าจะตายแล้ว รีบแสดงความยินดีกับข้าเร็ว!”

 

 

สิ่งที่ตอบเขากลับมาคือฝ่ามือที่ใช้เรี่ยวแรงแสดงความยินดีพอที่จะตบคนให้สิ้นชีพได้หกคู่

 

 

 

 

“…ทว่าข้าต้องการเห็นราชินีปลอดภัยด้วยตาตนเอง!” ประโยคต่อมาของกงอิ้นเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ เอ่ยว่า “มิฉะนั้น เจ้าก็จุดไฟเถิด! เจ้าชนกำแพงตำหนักอวี้จ้าวพังทลายได้ แล้วจะชนคั่งหลงแสนนายของข้ากงอิ้นพังทลายได้อีกหรือ?”

 

 

ซังต้งลังเลอยู่เล็กน้อย หันหน้าไปมองจิ่งเหิงปัว เห็นจิ่งเหิงปัวกำลังสูดหายใจฮืดฮาด เมื่อครู่ลูกศรเหินพุ่งชนตัวรถ คมมีดที่ตะแคงอยู่เบื้องหน้าสั่นไหว จนบาดเฉือนหนังกำพร้าบนคอของนางเล็กน้อย

 

 

ซังต้งยิ้มเยาะออกมาเสียงหนึ่ง ก่อนจะเพิ่มการสะกดจิ่งเหิงปัวอีกหนึ่งชั้นแล้วถึงหยิบมีดนั้นลากนางไปยังหน้าต่าง มือข้างหนึ่งจุดกระบอกเชื้อไฟ ส่วนมืออีกข้างผลักเรือนร่างครึ่งหนึ่งของจิ่งเหิงปัวให้ออกมาที่นอกหน้าต่างขวางไว้เบื้องหน้านาง แล้วร้องเสียงดังว่า “มองเห็นหรือยัง! เจ้าตายได้แล้ว!”

 

 

พลธนูที่อยู่ข้างหลังจัตุรัสทยอยเล็งธนู แต่น่าเสียดายว่าข้างหลังซังต้ง ข้างหน้าต่างรถม้าพลันมีแผ่นเหล็กผืนหนึ่งเด้งออกมาดังเพียะ บดบังเรือนร่างของนางไว้ กลายเป็นมุมบอดที่ผู้ใดผู้หนึ่งก็ยิงไม่ถึงพอดี ส่วนมือที่ถือกระบอกเชื้อไฟของซังต้งเอนไปข้างในรถ ผู้ใดก็ยิงไม่ถึงเช่นกัน

 

 

จิ่งเหิงปัวถูกอุดปากไว้ สายลมปะทะใบหน้าเข้ามาพาให้หายใจลำบากจนกล่าวไม่ออก กลิ่นอายของควันดินปืนประหลาดในสายลมกระตุ้นให้นางน้ำตาคลอ การมองเห็นพร่ามัว นางกลัวว่าท่าทางแบบนี้จะดูน่าสงสารเกินไป แล้วกระตุ้นให้กงอิ้นทำเรื่องโง่เง่าขึ้นมาจริงๆ เช่นนั้นนางจึงพยายามกะพริบตาอย่างสุดชีวิต หวังให้กะพริบหยาดน้ำตาทิ้งไป ซ้ำยังอยากบอกใบ้ให้เขาอย่าได้ทำเรื่องโง่เง่า เมื่อพอกะพริบตาครั้งหนึ่งนี้ น้ำตาก็พลันร่วงลงมาเป็นสาย ดูท่าทางยิ่งน่าสงสารมากขึ้นกว่าเดิม

 

 

จิ่งเหิงปัวอยากจะร้องไห้ออกมาจริงๆ แล้ว…นี่ไม่ใช่เวลาร้องไห้นะโว้ย…แต่ดวงซวยขนาดนี้ก็ขอร้องไห้สักทีเถอะ ฮือออๆๆ…

 

 

กงอิ้นมองเห็นจิ่งเหิงปัวในปราดเดียว

 

 

ชั่วครู่นั้นแววตาก็เวียนวน ปราดแรกทอดลงตรงรอยโลหิตแดงเข้มสายหนึ่งบนลำคอของนาง ปราดที่สองทอดลงบนดวงเนตรที่มีน้ำตาไหลรินของนาง

 

 

นับตั้งแต่รู้จักกันจนถึงบัดนี้ เขาก็ไม่เคยเห็นนางหลั่งน้ำตาสักครั้ง สตรีนางนี้ปล่อยตัวอวดตน ใช้ชีวิตด้วยอิสระ แลดูนุ่มนวลและอ่อนหวาน ทว่าแท้ที่จริงแล้วจิตใจกลับแข็งแกร่ง เจออุปสรรคนับร้อยมิบาดเจ็บ สังหารร้อยครั้งมิสิ้นชีพ เขาแทบจะนึกไม่ถึงว่าจะได้มองเห็นน้ำตาของนาง และไม่เคยจินตนาการว่ายามที่นางหลั่งน้ำตานั้นจะเป็นเช่นไร

 

 

ทว่ายามนี้ ในรถม้าแห่งความตายที่โลดแล่นท่ามกลางสายลม ดวงตาบวมแดงของนางต้องสายลม หลั่งน้ำตาออกมาดั่งกุหลาบที่ต้องสายฝนดอกหนึ่ง

 

 

กุหลาบที่เดิมทีควรสาดแสงทั่วสารทิศบนบัลลังก์ทองคำ…

 

 

เบื้องลึกของจิตใจคล้ายมีความเจ็บปวดเยือกเย็นหอบหนึ่ง ดั่งมีดเล่มหนึ่งที่ฝังอยู่ท่ามกลางหิมะชั่วชีวิตทิ่มแทงดวงใจและปอดอย่างรุนแรง สีหน้าของเขาพลันซีดขาวขึ้นมา และแทบจะพริบตานั้นเองที่ได้ยินเสียงเยือกแข็งจากเบื้องลึกของเส้นโลหิต

 

 

ถึงเวลาแล้ว

 

 

เขาเบนสายตาออกมา เพียงปราดเดียว สีหน้าเยือกเย็นซีดขาวก็แทบจะไร้ซึ่งความหวั่นไหว

 

 

จากนั้นเขานั่งลง

 

 

มวลชนไร้สรรพเสียง ดวงตาทุกคู่ต่างจดจ้องบุรุษเพียงหนึ่งเดียวบนจัตุรัสผู้นี้

 

 

บุรุษที่ใช้ฝ่ามือเดียวควบคุมต้าฮวงจนมีอำนาจล้นฟ้า

 

 

จะเห็นเขาใช้ชีวิตทอดทิ้งแผ่นดินเพื่อสตรีจริงๆ หรือเมินเฉยป้องกันแสงเรืองรองแห่งอวี้จ้าวซึ่งเป็นของเขา

 

 

คนจำนวนมากต่างรู้สึกว่าคงจะเป็นประการหลังกระมัง? ไม่มีเหตุผลใดที่ราชครูจะต้องละทิ้งชีวิตที่ดีงามเช่นนี้เพื่อราชินีที่ยังไม่ใช่ภรรยาตนเอง ถึงขนาดอาจจะยึดอำนาจจากตนเองนางหนึ่ง

 

 

ทว่าเหมิงหู่ที่ถูกสั่งการให้อยู่บนกำแพงพลันเปล่งเสียงร้องดังลั่นเสียงหนึ่งว่า “นายท่าน!” แล้ววิ่งตะบึงอย่างไม่คำนึงถึงสิ่งใดทั้งสิ้น

 

 

ทุกคนเคร่งขรึม ไม่กล้าเชื่อสายตาของตนเอง

 

 

จุดสิ้นสุดจัตุรัส กงอิ้นที่นั่งขัดสมาธิพลันเริ่มกลายเป็นน้ำแข็ง!

 

 

ความเร็วนี้รวดเร็วยิ่งนัก แทบจะเกินในเวลาชั่วครู่เท่านั้น น้ำแข็งหนาชั้นหนึ่งได้เยือกแข็งรอบกายของเขา ไอหนาวอบอวลรวดเร็วส่งผลให้อากาศร้อนเย็นปะทะกันรอบกายเขา กำจายหมอกควันเบาบางผืนหนึ่ง

 

 

เพียงชั่วเวลากะพริบตาครั้งหนึ่งนั้น เขาก็พลันกลายเป็นก้อนมนุษย์น้ำแข็งที่ประณีตแวววาวก้อนหนึ่งไปเสียแล้ว

 

 

จากนั้นเขาก็เอ่ยวาจาแล้ว แม้เสียงภายในน้ำแข็งจะฟังดูแล้วแปลกประหลาดเล็กน้อย แต่ทว่ายังคงเป็นเสียงของเขา

 

 

“กระบี่แห่งปัญญาหิมะไม่สะบั้นตนเอง มาสิ ช่วยใช้อาวุธสังหารข้า!”

 

 

ชายรูปร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่งกระโจนลงมาจากเชือกคล้องบนประตูเมือง มือกุมกระบี่ยาว

 

 

ซังต้งจ้องมองตาไม่กะพริบ ปีกจมูกสั่นไหว นัยน์ตาเบิกกว้าง เห็นได้ชัดว่าจิตใจตึงเครียดสุดขีด ท่าทางตื่นเต้นดีใจ

 

 

จิ่งเหิงปัวเองก็ตึงเครียดอย่างสุดขีดเช่นกัน นางจะเป็นบ้าอยู่แล้ว…กงอิ้นจะฆ่าตัวตายจริงๆ เหรอ? เขาจะฆ่าตัวตายต่อหน้านางอย่างนั้นเหรอ? เอาเถอะนางก็คิดว่านางจะตายแล้ว กำลังอธิษฐานให้ตายแล้วทะลุมิติกลับไปน่าจะดีที่สุด ถ้าหลังจากนางตายแล้วเขาตายตามนางไปก็ไม่ถือสา แต่ว่าฆ่าตัวตายต่อหน้านางก่อนแบบนี้จะดีจริงเหรอ? นางจะรับความสะเทือนใจนั้นไม่ไหวเอาน่ะสิ!

 

 

นางขอตายก่อนดีกว่า อ๊ากๆๆ!

 

 

น่าเสียดายที่กงอิ้นผู้นี้ พอกระทำการตัดสินใจแล้วก็แน่วแน่กว่าผู้ใด แม้แต่ปลิดชีพตนเองยังเด็ดเดี่ยวเช่นนี้…พอชายรูปร่างสูงใหญ่นั้นกระโจนลงมา ร่างอยู่กลางอากาศ เชิดกระบี่ขึ้นโดยพลัน เปล่งรัศมีโค้งสว่างราวหิมะสายหนึ่ง…

 

 

ทุกผู้ต่างถูกรัศมีโค้งผืนนี้ดึงดูดสายตา เงยหน้าขึ้น ดวงตาเบิกกว้าง สะท้อนสายรุ้งสีขาวงดงามน่าตื่นตะลึงผืนหนึ่ง

 

 

พริบตาต่อมาสายรุ้งสีขาวพาดผ่านลำคอของผู้ถูกน้ำแข็งห่อหิมะหุ้มนั้นโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย!

 

 

ฉึ่บ! เสียงฉีกขาดดังขึ้น น้ำแข็งหิมะและโลหิตร่วมกระเซ็น ศีรษะที่ห่อหุ้มด้วยน้ำแข็งลอยสู่กลางอากาศ!

 

 

โลหิตบดบังท้องนภาและอาทิตย์ดูดุจสายรุ้ง

 

 

“อา…” มวลชนต่างเปล่งเสียงอุทานผนึกแน่นฟังดูสั่นเทา

 

 

 “นายท่าน!” เหมิงหู่วิ่งลงมาประหนึ่งเสียสติ จนเกือบจะร่วงลงจากกำแพงวังเสียแล้ว

 

 

จิ่งเหิงปัวไม่ได้เปล่งเสียงออกมา ทว่านัยน์ตาของนางเบิกกว้างกลมโต กะพริบวูบด้วยแสงแห่งความหวาดกลัวอย่างสุดขีด ในแสงสว่างอันรุ่งโรจน์มีศีรษะนั้นวนเวียนอย่างต่อเนื่อง ศีรษะนั้น ศีรษะนั้น ศีรษะของกงอิ้นนั้น…

 

 

เรือนร่างของนางเกร็งแน่น ไหล่พลันแข็งทื่อ แสงรุ่งโรจน์ในแววตาค่อยๆ จางลง…ก่อนสลบไสลไปอย่างเงียบเชียบแล้ว