ตอนที่ 72 ทุ่มเทความรู้สึก

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1]

จิ่งเหิงปัวสลบไสลไปแล้ว

 

 

ทว่าซังต้งกลับเสียสติในพริบตา

 

 

ดวงตาของนางเบิกกว้างอย่างยิ่งเช่นกัน ทว่าเป็นการเบิกกว้างด้วยความตื่นเต้นดีใจที่มากล้นจนแทบไม่อยากจะเชื่อ นางจ้องมองสีขาวสีแดงผืนหนึ่งนั้น เรือนร่างก็แหงนขึ้นในทันใด ร้องเสียงแหลมหัวเราะออกมาดังลั่นว่า “ฮ่าๆๆ ฮ่าๆ ข้าจะปล่อยนางได้อย่างไร ฮ่าๆๆ เจ้าก็ตกหลุมพรางของข้าแล้ว ฮ่าๆๆ เจ้าก็ตายตาไม่หลับไปเสียเถิด…”

 

 

ในระหว่างที่เสียงหัวเราะของนางดังขึ้นนั้น เรือนร่างของนางก็เอนโน้มไปข้างหลังเกือบจะโผล่ออกนอกแผ่นเหล็ก ก่อนจะฉวยมือผลักจิ่งเหิงปัวเข้าไปในรถ กระบอกเชื้อไฟที่ชูไว้ในมือขวาอยู่ตลอดพลันร่วงหล่น!

 

 

ฉึ่บ! รัศมีโค้งผืนหนึ่งเล็งเรือนร่างที่โผล่พ้นแผ่นเหล็กของซังต้งในครู่หนึ่งนี้แล้วพุ่งไปโดยพลัน ดุจแสงจันทร์ที่เหน็บหนาวที่สุดสายหนึ่ง

 

 

“ฮ่า…” หางเสียงของเสียงหัวเราะยังคงอยู่ในปาก พริบตาต่อมาศีรษะครึ่งหนึ่งของซังต้งรวมทั้งแขนครึ่งท่อนที่โผล่พ้นออกมานอกแผ่นเหล็กก็พลันหายไปแล้ว

 

 

จัตุรัสดุจกระจกใสสาดย้อมด้วยโลหิตสกปรกชุ่มโชกดังแผละ

 

 

เหยียลี่ว์ฉีที่ลงมือเหินพุ่งเข้ามาดุจสายฟ้าแลบ

 

 

ทว่าไม่มีคนมองเขา และไม่มีคนสนใจจุดจบของซังต้ง…กระบอกเชื้อไฟใกล้จะร่วงหล่นแล้ว!

 

 

ยามนี้เอง เงาคนเจ็ดสายก็พลันปรากฏขึ้นตรงสี่มุมของรถม้าปานภูตพราย!

 

 

คนหนึ่งอยู่ตรงหลังคารถ ร้องฮึบเสียงหนึ่ง แล้วยกหลังคารถขึ้น!

 

 

คนหนึ่งห้อยหัวลงมาปานฟ้าแลบ ร้องฮึบเสียงหนึ่ง แล้วโอบจิ่งเหิงปัวที่ร่วงหล่นขึ้นมา

 

 

สี่คนล้อมรอบสี่ด้านของรถม้า ร้องฮึบเสียงหนึ่ง สองมือก็ออกแรงดังเพียะๆๆ สี่ครั้ง ผนังสี่ด้านของรถม้าพลันไปอยู่ในมือพวกเขา

 

 

ยามนี้เอง กระบอกเชื้อไฟก็ขาดเพียงเสี้ยวเดียวจะถึงส่วนพื้นรถม้า!

 

 

ขอเพียงสัมผัสก็จะระเบิดลุกไหม้เช่นกัน แปดคนที่อยู่ในลานกว้างคงยากจะรอดชีวิตไปด้วย

 

 

พวกเฮฮาหกคนที่รื้อรถม้านั้นคล้ายว่าไม่รู้ระดับความร้ายแรง หัวเราะฮ่าๆๆ ดังลั่น แล้วร้องโหวกเหวกโวยวายว่า “เจ้าเจ็ดถึงตาเจ้าแล้ว!”

 

 

หนึ่งคนสุดท้ายไม่ได้รื้อฝารถ

 

 

เขาตะแคงเท้าถีบครั้งหนึ่งในทันใด

 

 

“ข้ามาล่ะ!”

 

 

เสียงระเบิดดัง ตู้ม! รถม้าที่เหลือเพียงพื้นรถกับล้อรถพลันลุกไหม้ พาควันพาเพลิงกลิ้งไปข้างหน้าด้วยความเร็วที่รวดเร็วกว่าแต่ก่อน ท่ามกลางการจ้องมองด้วยความตกตะลึงอ้าปากค้างของคนมากกว่าหมื่นคน รถม้ารุดไปข้างหน้าด้วยความบ้าอำนาจและหยิ่งทระนง ก่อนจะชนเข้ากับกำแพงตำหนักอวี้จ้าวดังตู้ม!

 

 

 

 

ควันธุลี เปลวเพลิงโชติช่วง รถม้าเพลิงที่กลายเป็นรถเข็น หลุมดำขนาดใหญ่ กำแพงวังที่ถล่มลงมาผืนหนึ่ง เศษอิฐที่โปรยลงมาทุกสารทิศ สันกำแพงที่ยังคงลุกไหม้อยู่…

 

 

ผู้ชมที่งงงวยจนนิ่งงันไร้สรรพเสียง กับทหารองครักษ์ที่ตกใจจนรีบเร่งวิ่งลงจากกำแพงเมืองทุกสารทิศพลางร้องหาความช่วยเหลืออย่างกระวนกระวาย

 

 

ยังมีศิษย์พี่ศิษย์น้องสายฮาที่ไม่คิดว่าตนเองทำเรื่องเฮงซวยเลย หัวเราะกระโดดโลดเต้นฉลองความสำเร็จอยู่กึ่งกลางจัตุรัส

 

 

“ฮ่าๆๆ ข้ารื้อหลังคารถ!” ผู้ที่หอบหลังคารถไว้เหนือศีรษะ

 

 

“ฮ่าๆๆ ข้าช่วยภรรยาไว้!” ผู้ที่กอดภรรยาฉวยโอกาสพลอดรัก

 

 

“ฮ่าๆๆ ข้าย้ายฝารถ” ผู้ที่หอบฝารถเต้นรำ

 

 

“ฮ่าๆๆ ข้าระเบิดตำหนักอวี้จ้าว” ผู้ที่กุมท้องหัวเราะลั่นใส่กำแพงวังที่พลันเป็นหลุมของตำหนักอวี้จ้าว

 

 

 

 

จิ่งเหิงปัวถูกปลุกให้ตื่นขึ้นด้วยเสียงฝีเท้าที่เดินวนเวียนและเสียงหัวเราะลั่นของพวกเฮฮาเหล่านั้น

 

 

แม้ว่าจะฟื้นแล้วแต่ในหูก็ยังคงมีเสียงดังหวึ่งๆ ท้องฟ้าเหินแล้วเหินอีกอยู่เบื้องหน้า ทั้งยังมีควันสีดำมากมาย และยังมีใบหน้าขาวนวลกลับหัวกลับหางใบหน้าหนึ่ง

 

 

“ไอ้เวรเอ้ย” นางกระซิบกระซาบว่า “อากาศในยมโลกก็เลวร้ายเกินไปแล้ว…”

 

 

“ภรรยาเจ้าฟื้นแล้วหรือ?” ใบหน้าขาวนวลยื่นเข้ามา สุภาพบุรุษยาทาเล็บยิ้มจนดวงตากลมโค้งแทบจะหรี่หายไปแล้ว

 

 

จิ่งเหิงปัวถูกคำว่า “ภรรยา” นี้เรียกจนได้สติในทันที

 

 

ฟ้ายังคงเป็นท้องฟ้านั้น หมู่ควันลอยล่อง พื้นยังคงเป็นพื้นศิลานั้น ขาวจนตาพร่า คน…คน…ผิดคนแล้ว…อา…กงอิ้น…กงอิ้น!

 

 

ภาพฉากที่เจือด้วยผลึกน้ำแข็งสีเลือดก่อนจะสลบไสลไปในพริบตาหนึ่งนั้นกะพริบวูบผ่านสมองนาง

 

 

กงอิ้นที่เยือกแข็ง…องครักษ์สวมเกราะที่โรยตัวลงมา…กระบี่ยาวที่เชิดขึ้น…ศีรษะที่เหินขึ้น…

 

 

“กงอิ้น!” จิ่งเหิงปัวพลันเปล่งเสียงร้องเรียกเสียงแหลมฟังดูรันทด ทำให้อีชีที่เป็นยอดฝีมือผู้ยิ่งใหญ่ถึงกับมือสั่นเทิ้ม จนเกือบจะทำนางร่วงลงพื้น

 

 

“นี่ๆ ภรรยา! ภรรยาเจ้าเป็นอะไรไปรึ” อีชีตบหน้าของนางอย่างตื่นตระหนก

 

 

จิ่งเหิงปัวปัดมือของเขาออกไปในฝ่ามือเดียว พอดิ้นรนอีกครั้งก็ร่วงลงสู่พื้นแล้ว

 

 

เมื่อเท้าเพิ่งสัมผัสพื้น เรือนร่างของนางก็กะพริบวูบพุ่งไปหน้าประตูวังแล้ว

 

 

ขุนพล นายทหารและเหล่าราษฎรแห่งตี้เกอมองดูองค์ราชินีอย่างตกตะลึงอ้าปากค้างอีกครั้ง นางวิ่งตะบึงกลางจัตุรัสด้วยเท้าเปล่าปานภูตพราย วิ่งตะบึงไปพลางร้องลั่นไปพลางว่า “กงอิ้น! กงอิ้นไอ้โง่นี่! ไอ้ทึ่ม! ไอ้เพี้ยน! ปัญญาอ่อน! ปัญญานิ่ม! เจ้าเป็นบ้าอะไรถึงต้องไปสนใจยายเฒ่าน่าซังนั่น! ใครอนุญาตให้เจ้าไปตายง่ายๆ เช่นนั้น เจ้าอยากให้ข้าตายหรือ? ฮือๆๆ เจ้าอยากให้ข้าตายฮือๆๆ…”

 

 

เหล่าราษฎรได้ฟังแล้ว คราแรกก็งงงัน รู้สึกเลื่อมใสในฝีมือการด่าคนเต็มเรี่ยวเต็มแรงของราชินีจากใจจริง หลังจากนั้นก็อยากหัวเราะออกมา รู้สึกว่าผู้ใดที่ถูกด่าทอเช่นนี้คงน่าเวทนายิ่งนัก ทว่ารอยยิ้มยังไม่ทันเผยออกมาก็พลันมีความปวดร้าวพุ่งกระทบดวงใจ…แท้จริงแล้วนางไม่ได้ด่าทอเต็มเรี่ยวเต็มแรง เสียงของนางแหบแห้งน่าเวทนา พอถึงช่วงท้ายต่างเป็นน้ำเสียงร้องไห้ น้ำเสียงร้องไห้ที่ฟังดูสิ้นหวัง นางเปลือยเท้าวิ่งไปไม่กี่ก้าวก็ถูกเศษไม้เศษหินที่อยู่บนพื้นบาดเฉือนฝ่าเท้า แต่กลับคล้ายว่านางไร้ซึ่งความรู้สึก จัตุรัสศิลาขาวสาดแสงดุจหิมะประทับด้วยร่องรอยสีโลหิตแสบตาสองแถว

 

 

หมู่เมฆปกคลุม แสงสายัณห์ล้อมรอบ ภายใต้ท้องฟ้ามืดครึ้มมีเพียงเสียงฝีเท้าวิ่งตะบึงของนางดังก้อง มีเพียงเงาด้านหลังเศร้ารันทดของนางวิ่งอยู่ มีเพียงผมยาวเจือโลหิตที่กระจัดกระจายท่ามกลางสายลมของนางสยายพลิ้ว ฝีเท้าดังตึ่กๆ ดั่งกลองแห่งความเจ็บปวดกระทบลงบนดวงใจของทุกผู้คน

 

 

เหยียลี่ว์ฉีชะงักงันอยู่ริมขอบจัตุรัส

 

 

พี่น้องเจ็ดสังหารไม่หัวเราะแล้ว มองดูนางอย่างงงงัน

 

 

จิ่งเหิงปัวกลับหยุดฝีเท้าลงกะทันหัน

 

 

นางมองเห็นน้ำแข็งสลักไร้เศียรหน้ากำแพงวังที่ยังคงตั้งตระหง่านอยู่เงียบเชียบ ถึงขนาดไม่ละลายหายไป

 

 

ท้องฟ้าค่อยๆ มืดหม่นลง แสงมืดมิดของน้ำแข็งสลักเวียนวน น้ำแข็งหิมะที่แตกกระจายเป็นผืนใหญ่อยู่บนพื้นปะปนด้วยคราบโลหิตเป็นหย่อม องครักษ์สวมเกราะถือกระบี่ที่รับหน้าที่ใช้อาวุธสังหารนั้นคล้ายชะงักงันไปแล้ว แบกกระบี่ที่ยังคงมีโลหิตหยดย้อยมองดูนางอย่างงงงัน

 

 

จิ่งเหิงปัวพุ่งเข้าไปในทันที

 

 

นางใช้ศีรษะพุ่งชนหน้าอกขององครักษ์สวมเกราะรูปร่างสูงใหญ่คนนั้น

 

 

นางไม่ได้ด่าทอ ไม่ได้พูดจาแม้แต่คำเดียว เพียงแค่จับเขาไว้แล้วต่อยแรงๆ ครั้งหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นหมัดเท้าไร้เรี่ยวแรง ทว่าปากฟันร่วมเคียง มือเท้าร่วมเหิน เปี่ยมล้นด้วยเรี่ยวแรง เขาไม่กล้าตอบโต้ ถูกต่อยจนถอยหลังต่อเนื่อง สีหน้าเจ็บปวดเหลือคณา

 

 

ผู้คนทั้งจัตุรัสปากอ้าตาค้างมองดูราชินีทุบตีคนอย่างเงียบงันไม่เปล่งเสียงอีกครั้ง

 

 

หลังจากต่อยตีอย่างรุนแรงเต็มกำลังแล้ว จิ่งเหิงปัวก็พลันหันกายพุ่งไปบนน้ำแข็งสลักไร้เศียรนั้น

 

 

เสียง ตึ้ง! ดังขึ้น น้ำแข็งสลักสั่นไหว

 

 

จิ่งเหิงปัวที่กำลังจะแนบใบหน้าบนน้ำแข็งสลักชะงักไปชั่วครู่ รู้สึกได้ทันทีว่ามีความผิดปกติเล็กน้อย

 

 

เหตุใดถึงเบาขนาดนี้?

 

 

เหตุใดถึงไม่มีกลิ่นคาวเลือด?

 

 

ช้าก่อน รอยแตกนี่มัน…

 

 

นางเงยหน้าขึ้นอย่างฉับพลัน มองดู ‘ลำคอ’ ของน้ำแข็งสลักเบื้องหน้านั่น

 

 

เมื่อครู่ไม่กล้ามอง เพราะกลัวจะมองเห็นรอยแตกที่มีเลือดมีเนื้อ แต่ขณะนี้เมื่อเงยหน้ามองดูถึงได้รู้ว่าไม่ต้องกล่าวถึงรอยแตกเลย ในนั้นคล้ายเป็นโพรงโพรงหนึ่งที่ว่างเปล่าไม่มีอะไรเลยสักอย่าง

 

 

จิ่งเหิงปัวชะงักไปชั่ววินาที

 

 

จากนั้นนางก็ก้าวเท้ากระโดดขึ้นมา ยื่นมือล้วงเข้าไปในปากโพรง

 

 

ทหารและราษฎรบนจัตุรัสเปล่งเสียงสูดหายใจ

 

 

จิ่งเหิงปัวล้วงตรงช่องว่างอยู่สองครั้ง ดวงตาแน่นิ่งเล็กน้อย ยกมือที่สั่นเทามองดูอยู่ชั่วครู่ ท่าทางคล้ายตกใจระคนดีใจสุดขีด ซ้ำยังคล้ายตกใจระคนดีใจจนไม่อาจยอมรับ ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่นางก็พลันชะโงกทั้งเรือนร่างเข้าไปเสียเลย

 

 

ทหารและราษฎรนับพันนับหมื่นบนจัตุรัสก็ได้มองเห็นภาพฉากนั้นแล้ว ราชินีของพวกเขาพลันมุดเข้าไปในรอยแตกน้ำแข็งสลักของกงอิ้นคล้ายกำลังควานหาสิ่งใด มุดทั้งศีรษะเข้าไป ทำให้ก้นพาดชี้ฟ้าอยู่ข้างนอก…

 

 

“โอ้ๆ…” เหล่าราษฎรเปล่งเสียงอุทานออกมาอย่างตื่นตะลึง

 

 

“เฮ้อ…” เหยียลี่ว์ฉีที่อยู่ไกลๆ นั้นพลันถอนหายใจออกมายืดยาวด้วยความผิดหวัง

 

 

“ฮึ่ยๆ” อีชีเกาศีรษะ แล้วเอ่ยว่า “ภรรยาข้าเป็นอะไรไป เสียสติไปแล้วหรือ?”

 

 

“ยินดีกับเจ้าด้วย” พี่น้องสายฮาทั้งหกคนตบไหล่ของเขาอย่างรุนแรง แล้วร้องว่า “เรื่องความหวังที่จะให้ศัตรูหัวใจของเจ้าสิ้นชีพได้พังทลายลงแล้ว”

 

 

ท่วงท่าของจิ่งเหิงปัวในขณะนี้กลายเป็นสองเท้าชี้ฟ้าแล้ว

 

 

ทุกคนที่อยู่ไกลออกไปมองเห็นเพียงเงาร่างเลือนรางพร่ามัวที่จมอยู่ในน้ำแข็งของนางร่างนั้น

 

 

จากนั้นจิ่งเหิงปัวก็พลันลุกขึ้นอย่างพรวดพราด ก่อนจะร้อง “ฮึบๆๆ” ดังลั่น คว้าเศษหินก้อนหนึ่งที่ข้างเท้าขึ้นมาเขวี้ยงอย่างมั่วซั่วจนเสียงดังเพล้งๆๆ ระลอกหนึ่ง

 

 

ก้อนน้ำแข็งเหินกระเซ็นเป็นเศษเล็กเศษน้อยไปทั่วทั้งพื้น น้ำแข็งสลักถูกเขวี้ยงจนแตกจนละเอียดอย่างรวดเร็ว ทุกคนจดจ้องดวงตา สายตากวาดผ่านรอบแล้วรอบเล่าประหนึ่งโคมฉาย

 

 

ก้อนน้ำแข็ง ก้อนน้ำแข็ง ก้อนน้ำแข็งทั่วพื้น

 

 

ภายในนั้นไม่มีคนด้วยซ้ำ

 

 

สีหน้าของทุกคนไม่ได้ดูดีไปกว่าจิ่งเหิงปัวสักเท่าใด…คนเล่า? ไปที่ใดแล้ว ทั้งๆ ที่มองเห็นราชครูที่ปกคลุมด้วยหิมะกลายเป็นน้ำแข็งแล้วพลันมีทหารชุดเกราะลงมาตัดศีรษะด้วยตาตนเอง แทบจะไม่มีเวลาเล่นลวดลาย และด้วยเพราะท่วงท่าเด็ดขาดที่คล่องแคล่วขนาดนี้ อีกทั้งเวลาก็สั้นเกินไปถึงทำให้ซังต้งเชื่อได้ ทว่ายามนี้…หรือภายในเวลาสั้นขนาดนี้จะเป็นกลอุบายสลับร่างจริง วิชาพรางตาหรือ?

 

 

“ดำดินไปแล้วกระมัง” อีชีจ้องมองพื้นศิลาพลางเบ้ปาก

 

 

แววตาของจิ่งเหิงปัวทอดลงบนพื้นใต้น้ำแข็ง แผ่นศิลาแผ่นหนึ่งเผยอขึ้นอย่างเห็นได้ชัด นางรื้อแผ่นศิลาออก เห็นว่าข้างล่างมีอุโมงค์ลวกๆ หยาบๆ ที่เห็นแล้วรู้เลยว่าเพิ่งรีบเร่งขุดเสร็จเส้นทางหนึ่ง

 

 

ความจริงบางอย่างพอเปิดเผยแล้วกลับง่ายดายขนาดนี้ สิ่งที่ทำให้คนอุทานอย่างตื่นตะลึงเพียงหนึ่งเดียวคือการควบคุมเวลา ซังต้งเอ่ยออกมาว่าจะชนประตูวัง กงอิ้นก็พลันรีบเร่งกลับไป หลังจากนั้นรถม้าของซังต้งก็พุ่งมาถึงอย่างรวดเร็ว เดิมทีเวลาในระหว่างนั้นก็ไม่พอที่จะขุดอุโมงค์ที่เรียบง่ายที่สุดเส้นทางหนึ่งด้วยซ้ำ

 

 

ทว่ามีแผนการ ‘อัดเสียงคำสั่งเสีย’ ‘ใช้ท้อสองลูกฆ่าสามทหาร[1]’ ของจิ่งเหิงปัวถ่วงเวลาไว้ ความเร็วของรถม้าลดลง สุดท้ายแล้วกงอิ้นจึงมีเวลาตระเตรียม

 

 

จิ่งเหิงปัวมองเห็นอุโมงค์นั้นจึงเข้าใจทุกเรื่องแล้ว พุ่งเข้าไปด้วยท่าทางหน้าเขียวเขี้ยวงอก ตะโกนลั่นใส่ข้างล่างว่า “กงอิ้น! ไอ้บ้าเอ้ย ข้าบอกให้ออกมา! ข้าไม่ตีเจ้าจนถึงตายหรอก!”

 

 

แน่นอนว่าข้างล่างไม่มีความเคลื่อนไหวใด จิ่งเหิงปัวเองก็ไม่กระโดดลงไปเช่นกัน นางครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่แล้วหันกายพุ่งตรงไปยังประตูวัง เดินได้สองก้าวยกเท้าขึ้นร้อง “ซี๊ด” เสียงหนึ่ง พอมองเห็นฝ่าเท้ามีรอยเลือดเปื้อนเปรอะ หน้าขมขื่นเป็นมะระในฉับพลัน

 

 

“อู๊ย ซี้ดๆ เจ็บจังๆ” นางกระโดดเหย็งๆ เวลานี้ถึงได้รู้สึกเจ็บปวดในที่สุด

 

 

“สวมของข้าๆ!” อีชีพลันถอดรองเท้าออกด้วยความกระตือรือร้น

 

 

“อย่าสวมของเขานะเขาเท้าเหม็น หลังจากเจ้าสวมแล้วก็จะมองไม่เห็นพระอาทิตย์วันรุ่งขึ้นอีกเป็นแน่” เหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องสายฮาพลันผลักเขาไปหลังฝูงชน ใช้ร่างกายใหญ่โตบังเขาไว้อย่างมิดชิดด้วยความแน่วแน่ ก่อนจะเริ่มทยอยถอดรองเท้าของตนเองออก

 

 

“สวมของข้า!”

 

 

“อย่าสวมของเขา”

 

 

“เขามีกลิ่นเท้า”

 

 

“เขาเป็นโรคน้ำกัดเท้า”

 

 

“เขาไม่สวมถุงเท้า”

 

 

“รองเท้าของเขาคู่นี้ก็ไม่ได้เปลี่ยนมาสามปีแล้ว”

 

 

 

 

ไร้ซึ่งคู่โจมตีที่แน่นอน การโจมตีหมู่ที่ไม่แตกต่างกัน

 

 

หนึ่งในกฎเกณฑ์ที่สำคัญในชีวิตของศิษย์พี่ศิษย์น้องสายฮา…สิ่งที่พี่น้องถูกใจต้องทำลายให้จงได้ สิ่งที่พี่น้องชื่นชอบต้องแย่งมาให้จงได้ พี่น้องอยากจะแสดงฝีมือต้องไม่ให้แสดงฝีมือ สิ่งที่พี่น้องไม่เอา…ข้าก็ไม่เอาเช่นกัน

 

 

สำหรับเรื่องที่ว่าชื่นชอบหรือไม่? โน ไม่ได้มีเรื่องอะไร ชั่วชีวิตนี้ของพวกเขาเพียงชื่นชอบอยู่เรื่องเดียว…คือการขัดแข้งขัดขากัน

 

 

จิ่งเหิงปัวถอยออกไปสามก้าว ก่อนยกมือกุมขมับ

 

 

ไอ้เฮฮาคนเดียวก็ฟ้าผ่าฟ้าร้องแล้ว พวกเฮฮาฝูงหนึ่งทำให้นางเจ็บปวดเสียจนไม่อยากมีชีวิตอยู่โดยแท้

 

 

นางยอมเท้าเปล่าเดินทั่วต้าฮวง แต่ไม่ยอมคบค้าสมาคมกับเหล่ายอดฝีมือเจ็ดสังหารที่หล่อเหลากำยำ รูปร่างหลากหลาย ต่างคนต่างมีเอกลักษณ์ เฮฮาเสียจนต่างคนต่างมีเอกลักษณ์เช่นกันฝูงนี้

 

 

อีชีถีบเหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องเฮงซวยให้ล้มลง ก่อนจะเหยียบย่ำซากศพของเหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องพลางส่งรองเท้ามาให้ นั่งยองๆ ลงไปอย่างสนิทสนมหวังเพื่อจะสวมรองเท้าให้จิ่งเหิงปัว

 

 

“ข้าจะสวมรอง…”

 

 

ประตูวังข้างหลังพลันแง้มออกเล็กน้อย เส้นไหมสีขาวเส้นหนึ่งลอยออกมาดังฟิ้วรัดข้อเท้าของจิ่งเหิงปัวไว้ สะบัดเพียงครั้งแล้วยกขึ้น

 

 

เสียง ฟึ่บ! ดังขึ้นเสียงหนึ่ง อีชีเบิกตาโพลงมองดูจิ่งเหิงปัวที่อยู่ในมือลอยขึ้นสูญสลายไปหลังประตูวัง จากนั้นประตูวังปิดลงดังพลั่กอย่างไม่เกรงใจเลยแม้แต่น้อย

 

 

เสียงพลั่กยามที่ประตูวังข้างหลังปิดสนิทฟังแล้วทึบหนัก จิ่งเหิงปัวยังไม่ได้ยืนให้มั่นคง กำปั้นก็พลันพุ่งออกไป แล้วร้องว่า “รีบไสหัวออกมา ข้าไม่ตีเจ้าจนถึงตายหรอก…”

 

 

กำปั้นของนางถูกคนใช้แรงคว้าไว้ลากไปในฉับพลัน ชนกับผืนอกอบอุ่นผืนหนึ่งอย่างรุนแรงดังพลั่ก

 

 

 

 

[1] ใช้ท้อสองลูกฆ่าสามทหาร หมายถึง ใช้กลอุบายสังหารคน