กลิ่นอายเย็นสบายที่คุ้นเคยพุ่งเข้าสู่ปลายจมูก จมูกคล้ายกับถูกกระตุ้นจนเจ็บปวดยิ่งนัก น้ำตาของนางไหลพรากออกมา นางกลัวว่าจะถูกใครมองเห็นจึงซุกหน้าเข้าไปอย่างรุนแรงเสียเลย ถูไปถูมาแล้วร้องไห้สะอึกสะอื้นฮือๆ โฮๆ พลางกล่าวว่า “ข้าเปลี่ยนใจแล้ว…จะต้องตีเจ้าให้ตาย…จะต้อง…ตีเจ้าให้ตาย…”
คนที่อยู่เหนือศีรษะไม่เอ่ยวาจาใดคล้ายกับว่ากำลังลังเลเล็กน้อย ทว่าสุดท้ายแล้วก็ถอนใจออกมาแล้วกอดนางไว้แน่น วางคางไว้บนศีรษะของนางอย่างแผ่วเบา
ทั้งๆ ที่ไม่ได้เอ่ยวาจาใดเลยสักคำ แต่นางก็รู้สึกสงบจิตสงบใจขึ้นมาในพริบตา คนก็ไม่อยากตีแล้ว เรื่องก็ไม่อยากคิดแล้ว อุโมงค์ที่ถูกหลอกจนอกสั่นขวัญแขวนอะไรนั่นก็ไม่อยากเอาเรื่องแล้ว เพียงอยากโอบกอดอ้อมแขนเบื้องหน้านี้ไว้ให้แน่น เสพสุขการดำรงอยู่และกลิ่นอายของเขาให้เต็มที่ บอกกล่าวกับตนเองว่าทุกสิ่งช่างดีมากเหลือเกิน เขาไม่ได้ทำให้ตนเองผิดหวัง เขาเป็นมหาเทพที่เกรียงไกรที่สุด หยิ่งทระนงที่สุดของนางเสมอ
พอสูญเสียถึงได้รู้ถึงความสำคัญของการมีอยู่ นางจะจดจำตลอดไปว่าชั่วพริบตาที่ได้มองเห็o ‘ศีรษะ’ ของเขาร่วงสู่พื้น ฟ้าดินเหมือนอับแสงชั่วกาล นางนึกว่าตนเองจะร่วงหล่นลงหุบเหวออกมาไม่ได้อีกแล้ว
ครู่หนึ่งนั้น ในที่สุดนางก็ได้รู้ว่าอะไรที่เรียกว่าความสิ้นหวัง
ครู่หนึ่งนั้น นางก็สิ้นหวังจนแทบอยากจะสลบไสลไปไม่ตื่นขึ้นมาอีก ไม่ต้องเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดมืดมิดหลังจากฟื้นคืนสติ
พอโพรงน้ำแข็งว่างเปล่าผุดเผยให้เห็นตรงเบื้องหน้า ในความโกรธแค้น นางก็ได้ยินเสียงหัวใจที่เบิกบานของตนเอง
ฟ้าดินพลันมีแสงสว่าง มีสรรพสำเนียง มีสีสัน มีความหมายของการดำรงอยู่
เฮ้อ ดีจัง
ที่ซึ่งจิตใจสงบนับเป็นบ้านเกิดเมืองนอน
“ฮือๆๆ เจ้าอธิบายมาเลยนะ…” นางคว้าอาภรณ์ของเขาจนเกิดรอยยับย่นเละเทะนับไม่ถ้วน ถ้าหากเป็นเมื่อก่อนเขาคงต้องตบนางลอยไปในฝ่ามือเดียวแล้ว แต่ตอนนี้เขากลับไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย แขนทั้งสองข้างคล้ายแข็งทื่อ แท้จริงแล้วอ่อนโยน
ฟังเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นที่เดี๋ยวต่อเนื่องเดี๋ยวขาดช่วงของนางแล้ว เขาคล้ายรู้สึกหวั่นไหว…นานขนาดนี้ นานขนาดนี้แล้ว สตรีที่ทั้งร่าเริงทั้งกล้าหาญนางนี้ เขาไม่เคยเห็นนางอ่อนแอจริงๆ มาก่อน เขาไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งนางจะอ่อนแอเพียงนี้ เขาไม่เคยคิดว่าความอ่อนแอเช่นนี้ในวันหนึ่งจะเกิดขึ้น…เพราะเขา
ในใจคล้ายหวั่นไหวและคล้ายเจ็บปวด ความเหน็บหนาวประชิดเข้ามา บนเนินเขาที่หิมะทับถมมีมวลผกาผลิบาน
เขายกมือขึ้นในที่สุด ฝ่ามือค่อยๆ ทอดลงบนเรือนผมของนาง ความแผ่วเบาที่แท้จริงคล้ายสายลมวันวสันต์ กลัวจะทำให้ผีเสื้อที่พักพิงตรงเกสรดอกไม้ตกใจจึงทอดยาวอย่างเชื่องช้า ทั้งทะนุถนอมทั้งระมัดระวังอยู่หลายส่วน
จากนั้นเขาก็โอบกอดนางขึ้นมา ให้นางวางเท้าลงบนรองเท้าหุ้มข้อของตนเอง เพื่อที่เท้าของนางจะได้ไม่ถูกบาดจนเจ็บปวดอีก ฝ่าเท้าที่มีคราบโลหิตเปรอะเปื้อนพลันย้อมให้รองเท้าสีขาวราวหิมะของเขาลายพร้อยเป็นผืนหนึ่ง ผู้เป็นโรครักสะอาดกลับคล้ายไม่ได้มองเห็น
“ไม่เป็นไรแล้ว…” เขาเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบา ไม่รู้ว่ากำลังปลอบโยนนางหรือกำลังปลอบโยนตนเองอยู่เช่นกัน
จิ่งเหิงปัวฟังเขาเอ่ยปากอย่างสูงศักดิ์ในที่สุด รู้สึกว่าเสียงของมหาเทพนั้นช่างไพเราะเหลือเกิน ก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงไม่ได้ฟังดูไพเราะขนาดนี้? อีกทั้งสามคำนี้ เหตุใดถึงรู้สึกว่าทำให้จิตใจคนสงบลงได้มากกว่าคำไพเราะทุกคำบนโลกนี้
นางซุกอยู่ตรงแผ่นอกของเขา เช็ดหยาดน้ำตาที่ชุ่มโชกกับชุดขาวทั่วร่าง น้ำตาหยุดไหลอย่างรวดเร็ว แต่ไหนแต่ไรมานางก็ไม่ใช่คนที่จมอยู่กับความโศกเศร้า ในเมื่อเป็นเรื่องที่น่ายินดีก็ควรหัวเราะ ความรู้สึกที่แน่ใจแล้วก็ควรจะสารภาพ
“กงอิ้น…” นางพลันหยุดไปชั่วครู่ อยากจะเงยหน้าขึ้น
ไหล่ของเขากลับเกร็งแน่น ลมหายใจคล้ายกลับไม่มั่นคงขึ้นมา แลดูคล้ายคาดเดาได้ว่านางจะทำอะไร แขนทั้งสองข้างโอบนางให้แนบแน่นมากขึ้น คล้ายไม่อยากให้นางทำสิ่งใด
แต่นางไม่สนใจ
นางเขย่งปลายเท้าขึ้น โอบไหล่ของเขาไว้แน่น ประทับริมฝีปากของตนเองลงไป
ชั่วพริบตาหนึ่งนั้นเขาคล้ายอยากร่นถอยออกเล็กน้อย ทว่าหยุดยั้งไว้ได้เสียก่อน ยอมรับการชิงตัดหน้าบุกรุกโจมตีที่ทั้งเด็ดเดี่ยวทั้งหวานชื่นของนาง
การทับซ้อนในทันใดนั้นคืออสนีบาตที่พาดผ่านกันในชั่วพริบตา แสงโค้งสาดซัดพาฟ้าดินจนเกิดเป็นสายรุ้งห้าสีผืนหนึ่ง แลดูคล้ายสายฟ้าที่พัดผ่านสายลมพัดพาระเบิดดวงใจกลายเป็นพันชิ้น ทุกชิ้นต่างอยู่กลางเมฆา ทุกชิ้นต่างกลายเป็นวิหคขับขานบทเพลง
ลมหายใจของเขาถี่กระชั้นขึ้นเล็กน้อย ทว่าในความถี่กระชั้นนั้นเขาทำตนให้มั่นคง โอบกอดนางไว้แน่นในฉับพลันแล้วซุกศีรษะลงมา
นางถูกการโอบกอดรุนแรงอย่างไม่ทันตั้งตัวเช่นนี้ของเขารัดจนเกือบจะหายใจไม่ออก อ้าปากขึ้นมาในทันทีเพื่อหวังจะสูดหายใจ เขาพลันเปลี่ยนจากผู้ถูกกระทำกลายเป็นผู้กระทำ แสวงหาความหอมรัญจวนของนาง
รอยจูบหยุดลงตรงข้างริมฝีปากดุจสายลมวสันต์ ทว่ามิกล้าล่วงล้ำ เขาหอบหายใจแผ่วเบาพลันถอยห่าง กลีบริมฝีปากค่อยๆ เฉียดผ่านหน้าผากขาวบริสุทธิ์ พวงแก้มนวลนุ่ม ขยับเขยื้อนลงไปอย่างเชื่องช้า
นางยากจะระงับความปรารถนามานานแล้ว ชิงหัวเราะออกมาอย่างแผ่วเบาอีกครั้ง นำพาคนที่ทั้งความรู้สึกเฉียบไวทั้งอืดอาดคนนี้บุกเบิกต้นน้ำบริสุทธิ์งดงามซึ่งเป็นของเขา
เรือนร่างแนบชิดกัน ต่างคนต่างฟังเสียงหัวใจเต้นของอีกฝ่าย เป็นเสียงสุภาพเรียบร้อยในความนิ่งเงียบผืนหนึ่ง บรรเลงบทเพลงแห่งดวงใจที่งามเลิศล้ำยามโลกมนุษย์มีจิตใจตรงกัน ท่วงทำนองของเจ้าร้อนแรง จังหวะของข้าเยือกเย็น ก่อเกิดเป็นเสียงกึกก้องร่วมกันอย่างเลือนราง เป็นเพลงประสานเสียงที่สอดคล้องที่สุดในโลกใบนี้
อุณหภูมิร่างกายของนางที่ร้อนผะผ่าวเช่นนี้คือความร้อนแรงที่แก้ไขไม่ได้ในชีวิต ไม่อนุญาตให้หลบหนี ไม่ยอมรับการร่นถอย หากเจ้าไม่รู้ข้าจะทำให้เจ้าได้รู้ หากเจ้าไม่ยอมรู้ข้ายังคงจะทำให้เจ้าได้รู้
ร่างของเขากลับสั่นเทาขึ้นมาเล็กน้อย สั่นเทาอย่างไม่อาจควบคุมได้ท่ามกลางความอ่อนโยนแผ่ซ่าน สั่นเทาด้วยความเกรียงไกรของโชคชะตา ความผันผวนของเรื่องในใจ เสียงเพรียกหากับความลับที่ซ่อนลึกในเส้นโลหิต
ขนตาของจิ่งเหิงปัวสั่นไหวเล็กน้อย สนใจเพียงแค่ลมหายใจและอุณหภูมิร่างกายของเขา ทว่าพลันรู้สึกว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ร่างกายของเขากลับเหน็บหนาวไม่เร่าร้อน ความหวานชื่นระหว่างริมฝีปากพลันมีกลิ่นคาวเจือจางๆ เพิ่มเข้ามาด้วย
ในใจนางกระตุกวูบ ก่อนที่จะลืมตาขึ้น ร่างกายของกงอิ้นที่กอดนางไว้พลันแข็งทื่อเช่นกัน หงายไปข้างหลังในทันใด
จิ่งเหิงปัวตกอกตกใจ รีบเร่งโอบกอดเขาเอาไว้ โชคยังดีที่เพียงชั่วครู่เขาก็ยืนตรง เมื่อครู่คล้ายเป็นเพียงการเซแค่ครั้งหนึ่ง เขาหลุบตาลง สีหน้าซีดขาวเล็กน้อยทว่าดูสงบเงียบ ยังคงส่งยิ้มให้นาง
รอยยิ้มนี้ย่อมเป็นความอบอุ่นและความงดงามที่หาได้ยาก แต่ในใจนางกลับสั่นสะท้านรุนแรง
ตามความเข้าใจที่นางมีต่อกงอิ้น ครู่หนึ่งนี้เขาจะไม่ยิ้มแย้มแน่นอน เขาอาจจะทำเป็นเท่ อาจจะทำเป็นโกรธ อาจจะเดินหนีไปเฉยๆ อาจจะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่จะไม่ยิ้มแน่นอน!
รอยยิ้มนี้ เห็นได้ชัดว่าอยากจะปลอบโยนนางหรือทำให้นางเฉยชา
เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ?
ยามนี้นางไม่อยากพูดจาใดๆ เพียงแค่โอบเอวของเขาไว้แน่น ใช้แววตาสอบถาม
เขาย่อมอ่านแววตานั้นออก ทว่าเบนสายตา แล้วคว้ามือของนางออกอย่างแผ่วเบา เอ่ยขึ้นว่า “บนกำแพงอาจมีคนลงมาได้ทุกเวลา เจ้ายังรักศักดิ์ศรีอยู่หรือไม่”
กลับมาปากร้ายอีกแล้ว คล้ายกับว่าตอนนี้ถึงเป็นเขาในแบบปกติ แต่ความสงสัยในใจนางยิ่งเพิ่มมากขึ้น
ความกระวนกระวายดั่งเมฆทะมึนก้อนบาง ลอยอยู่บนท้องฟ้าเหนือศีรษะอย่างเงียบเชียบ นางรู้สึกว่าตนเองคล้ายเปลี่ยนไปนิดหน่อยแล้ว ก่อนหน้าวันนี้นางอาจจะสงสัยในการกระทำและการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ของเขา แต่จะไม่รู้สึกหม่นหมองขึ้นมาจริงๆ ด้วยเพราะเหตุนี้ ในใจของนางนั้นเขาคือผู้ยิ่งใหญ่เกรียงไกร ไร้จุดอ่อนให้โจมตี ไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงเขาเลย
แต่วันนี้นางกลับตระหนักขึ้นมาได้ในทันทีว่า แท้จริงแล้วความในใจได้หยั่งรากลึกมาเนิ่นนาน ผลิหน่ออ่อนทั่วทุ่งกว้างตั้งนานแล้ว มวลผกาเก็บเกี่ยวได้ทั่วทั้งผืน รอคอยให้ตนเองปกป้องทะนุถนอม
นางพบในทันทีว่าไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่ใช่เทพยดา เผชิญสายลมดุจคมมีดน้ำค้างดุจคมกระบี่เผชิญคลื่นใต้น้ำ กังวลเรื่องการเมืองระดับแคว้นของต้าฮวงนี้แล้วยังต้องกังวลเรื่องจิตใจคนเปลี่ยนแปลงไป ทั้งยังต้องกังวลด้วยไม่รู้ว่านางจะเป็นมิตรหรือเป็นศัตรู
“กงอิ้น…” นางกอดเขาไว้ กระซิบที่ข้างหูของเขาอย่างแผ่วเบาว่า “ข้าคิดจนเข้าใจแล้ว ข้ารู้แล้วว่าข้าอยากอยู่เคียงข้างเจ้า กงอิ้น กงอิ้น พวกเราปรับปรุงต้าฮวงโฉมใหม่ด้วยกันดีหรือไม่ พวกเราก่อสร้างฟ้าดินแห่งใหม่ด้วยกันสักแห่งดีหรือไม่ พวกเราเป็นราชินีกับราชครูที่มีความสุขมากที่สุดในประวัติศาสตร์ต้าฮวงดีหรือไม่ ข้าเชื่อว่าเจ้าทำได้ ข้าก็ทำได้ แต่ข้าเพียงอยากจะกระทำเรื่องเหล่านี้ด้วยกันกับเจ้า พวกเรากระทำด้วยกันดีหรือไม่”
ผู้ที่อยู่เหนือศีรษะ นิ่งเงียบอยู่เนิ่นนาน
นางตกอยู่ในภวังค์แห่งความสุขท่วมอก และความหวังเปี่ยมล้นที่มีต่ออนาคตอันงดงาม จึงไม่ได้รู้สึกว่าการนิ่งเงียบนี้ยาวนานนัก อ้อมกอดของเขาทำให้อาลัยอาวรณ์เช่นนี้ นางอยากอยู่แบบนี้ตลอดไป
พอรู้สึกว่าสายตาของเขาคล้ายทอดมองออกไปไกล นางก็เขย่งปลายเท้าอย่างไม่พอใจอยู่บ้าง เชิดศีรษะชนกับคางของเขา แล้วเร่งเร้าถามอย่างออดอ้อนว่า “หืม?”
ครู่ที่ศีรษะของนางเชิดขึ้นนั้น เขาก็คลุมฝ่ามือลงมาขัดขวางการกระทำของนาง เบนสายตากลับมาจากแถวกองทัพคั่งหลงที่อยู่ไกลโพ้น
กลบกลืนความกังวลกลางแววตาในพริบตาเดียว
ก่อนเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบาว่า “ได้”
…
ประตูวังปิดลงแล้ว ทว่าเหล่าราษฎรยังคงไม่แยกย้ายด้วยเพราะรู้สึกว่าน่าจะยังมีเรื่องราวอะไรอีก อีกทั้งยังเป็นห่วงความปลอดภัยของราชินี ทำให้ต่างชะเง้อคอรอคอยข่าวสารกันต่อไป
น่าเสียดายที่ว่าคนบางคนมัวแต่ทำเรื่องน่าอาย ไม่รู้เรื่องรู้ราวว่ายังมีคนอีกนับไม่ถ้วนกำลังเป็นห่วงนาง
จวบจนบนกำแพงวังมีคนได้รับคำสั่งของกงอิ้น ชักธงกองทัพส่งสัญญาณให้ทหารคั่งหลงขับไล่ราษฎรกลับบ้านโดยเร็ว ทุกคนถึงพบอย่างหดหู่ว่าละครฉากใหญ่ในวันนี้ปิดม่านลงจริงๆ แล้ว
ส่วนหลังม่านผู้ใดหลบไปจุมพิตกันอยู่ที่ใด เหล่าผู้ชมกลับไม่มีวาสนาได้เห็น
พอทหารคั่งหลงเริ่มขับไล่ ทุกคนก็รู้ว่าเรื่องราวจบลงแล้ว พลทหารบางส่วนพุ่งมาสู่จัตุรัส เริ่มจัดการเก็บกวาด
“เฮ้อ…” ราษฎรเปล่งเสียงถอนใจออกมาอย่างคลุมเครือ บางคนยืดลำคอยาวเพราะยังอยากมองดูฉากต่อไป บางคนบิดขี้เกียจครั้งหนึ่งอย่างพึงพอใจแล้วเริ่มเดินทางกลับ…วันนี้นับว่าได้ชมละครที่ยิ่งใหญ่ฉากหนึ่ง อารมณ์แปรเปลี่ยนจากตึงเครียดสู่ดุเดือดสู่เจ็บปวดสู่สุขสม ติดตามองค์ราชินีข้ามผ่านความเป็นความตายในเวลาหนึ่งวัน จนถึงยามนี้ ละอองธุลีได้สงบนิ่ง ในความฮึกเหิมรำไรคือความโล่งอกและความพึงพอใจอย่างไร้ที่สิ้นสุด
เพียงได้เห็นวันนี้วันเดียว พอจะค่อยๆ คุยโวโอ้อวดไปชั่วชีวิตนี้แล้ว
ศิษย์น้องสายฮาหกคนแบกอีชีที่ตะโกนก้องร้องไห้โฮจากไปแล้ว พวกเขาไม่ชื่นชอบพระราชวัง อีชีร้องไห้อย่างเจ็บปวดยิ่ง พวกเขาหัวเราะอย่างดีใจยิ่ง
เหยียลี่ว์ฉียืนนิ่งอยู่ข้างจัตุรัสเนิ่นนาน มองบันไดในวังยามพลบค่ำเหน็บหนาวดุจสายธาร รู้สึกเพียงวันหนึ่งยาวนานดั่งผ่านไปชั่วชีวิตหนึ่ง
ในชั่วชีวิตนี้มองเห็นรอยยิ้มองอาจห้าวหาญ ความเฉลียวฉลาดเกินมนุษย์ของนางจนสิ้น จากนั้นในพริบตาสุดท้ายถึงตระหนักได้ว่าความงดงามของนางไม่ใช่ของตนเอง
เขาครุ่นคิดทบทวนถึงช่วงเวลาที่ลงมือสังหารซังต้งซ้ำไปซ้ำมา เขาหลงลืมผลลัพธ์และจุดยืนเป็นครั้งแรก ดวงตาข้างหนึ่งจ้องมองซังต้ง ดวงตาอีกข้างหนึ่งกำลังสนใจนาง
ยามที่กระบอกเชื้อไฟร่วงหล่น เขาเคยรู้สึกว่าหน้าอกเกร็งแน่นอึดอัดดุจจะระเบิด อัดแน่นด้วยควันธุลีจากโลกมนุษย์วุ่นวายนี้จนท่วมท้น
เขาค่อยๆ ยกมือขึ้นประชิดใกล้หน้าอก นิ้วมือค่อยๆ งอขึ้น
คล้ายอยากจะปัดควันธุลีในดวงใจทิ้งไป ซ้ำยังคล้ายอยากจะเก็บอารมณ์บางอย่างไว้ด้วยความทะนุถนอม