บนภูเขาเตี้ยๆ ที่ห่างออกไปไม่ไกลมีคนยืนอยู่อย่างเงียบเชียบ หันหน้าไปทางจัตุรัสหวงเฉิง มองดูเหล่าทหารบนลานกว้างจัดการเก็บกวาดอย่างชุลมุนวุ่นวาย ซ่อมแซมกำแพงวัง เก็บกวาดเศษซาก บรรจุซากศพของซังต้งเข้าถุงผ้า 

 

 

ที่ด้านหลังมีคนจำนวนมากยืนอยู่ ทุกคนต่างนิ่งเงียบสะกดกลั้นลมหายใจ บรรยากาศแลดูหนักแน่นและหนาวเหน็บด้วยเพราะเหตุนี้ 

 

 

ยามค่ำคืนอบอวลเข้ามา นำพาหยาดน้ำค้างอันชุ่มชื้นเข้ามาด้วย ทำให้ชายผ้าของเขาเปียกชื้นเป็นผืนเล็กดั่งเงาทะมึนในฝันร้าย 

 

 

นิ้วมือที่ซ่อนอยู่ภายใต้แขนเสื้อของเขาขยับเขยื้อนเพียงครั้ง สุราถ้วยหนึ่งค่อยๆ เอนเอียงหลั่งรินบนหินภูเขาขาวซีด 

 

 

รินสุราถ้วยหนึ่ง เลี้ยงส่งให้ผู้ที่จากไปนิรันดร์กาล 

 

 

เส้นทางภายภาคหน้ายังอีกยาวไกล 

 

 

สุราหมดแล้ว แต่เขาไม่ได้โยนถ้วย เพียงแต่นั่งยองๆ ลงฝังถ้วยใต้หินภูเขานั้นอย่างแผ่วเบา 

 

 

สิ่งที่ฝังไว้คือถ้วย และเป็นคำสาบาน 

 

 

ปีหน้า ยามผู้ที่สมควรตายได้ตายจากไป ถ้วยใบนี้จะถูกขุดขึ้นมาอีกครั้ง บรรจุโลหิตศัตรูเป็นเครื่องเซ่นไหว้วิญญาณ 

 

 

คงจะมีวันนั้น 

 

 

เขาลุกขึ้นมาแล้วไม่มองจัตุรัสอีก หันกายอย่างแผ่วเบาทว่าดูเด็ดเดี่ยว 

 

 

“ลงเขา” 

 

 

… 

 

 

“ซังต้งสิ้นชีพแล้ว พวกข้าช่วยเหลือไม่ทันกาล” 

 

 

“นางนั่นน่ะรนหาที่ตายด้วยตนเอง! ให้ออกนอกเมืองก็ไม่ไป กลับคิดจะใช้รถม้าเพลิงพุ่งชนตี้เกอ! ที่ซึ่งรถม้านางแล่นผ่านมีจวนผู้ชราด้วย!” 

 

 

“นางกระทำด้วยเพราะถูกกงอิ้นบีบบังคับ หากไม่ดึงดูดความสนใจของกงอิ้นไปเสีย บุตรชายของนางคงจะออกจากตี้เกอไม่ได้ เช่นนั้นตระกูลซังก็คงไม่เหลือความหวังแม้แต่น้อยจริงๆ แล้ว” 

 

 

“ยามนี้ตระกูลซังก็มีความหวังจริงๆ หรือ? จริงสิ ซังเทียนสี่หนีไปได้คนหนึ่ง แล้วอย่างไรเล่า” 

 

 

“ใต้เท้าอย่าได้ดูถูกซังเทียนสี่ หลายปีมานี้ซังต้งภาคภูมิใจในตัวบุตรชายยิ่งนัก ซ้ำยังพลีชีพเพื่อปกป้องเขา นี่ย่อมต้องมีเหตุผลเป็นแน่ ข้าได้ยินมาว่าซังเทียนสี่เฉลียวฉลาดเลิศล้ำ เป็นอัจฉริยะในโลกหล้า คนเช่นนี้ยามปกติไม่โดดเด่น เผลอประเดี๋ยวพาผู้คนตื่นตะลึง ภายภาคหน้าตระกูลซังอาจจะอาศัยเขากลับมามีอำนาจอีกครั้งย่อมไม่อาจรู้ได้” 

 

 

“ตระกูลซังคือตระกูลกองเซ่นไหว้สตรีเพศ บุรุษผู้หนึ่งจะมีประโยชน์อันใด หึ” 

 

 

“ใต้เท้า เติมบุปฝาบนแพรพรรณน่ะไม่สู้ส่งถ่านกลางหิมะ ข้าว่านะ ยามนี้ซังเทียนสี่กำลังตกที่นั่งลำบาก ไม่สู้พวกเราฉวยโอกาสช่วยเขาสักครั้ง เรื่องซังต้งในตี้เกอพวกเราไม่อาจช่วยตระกูลซังไว้ได้ คงยากที่ซังเทียนสี่จะไม่จดจำความแค้นไว้ในใจ เช่นนี้ทั้งได้ขจัดความโกรธแค้นของเขา อีกทั้งยังได้ควบคุมสภาพการณ์ของเขาด้วย หากภายภาคหน้าเขากระทำสำเร็จ ยังนับเป็นจุดอ่อนที่จะใช้บีบบังคับเขาได้เรื่องหนึ่ง สำหรับข้าและท่านแล้ว เรื่องนี้ก็ง่ายดั่งพลิกฝ่ามือ เรื่องที่น่ายินดีเช่นนี้เหตุใดถึงไม่กระทำเล่า” 

 

 

“ที่เจ้าเอ่ยมาก็ใช่” 

 

 

“ทว่าเอ่ยแล้วน่าสนใจยิ่งนัก ซังเทียนสี่ไม่ใช่คนธรรมดาโดยแท้ เขากลับไม่ได้…” 

 

 

“โอ้? ไม่ได้จริงหรือ…” 

 

 

“นั่นสิ เช่นนี้ข้าถึงคิดว่านี่คือบุคคลที่น่าจะมีบทบาท คุ้มค่าที่จะช่วยสักครั้ง” 

 

 

“เหอะๆ ผู้ชราเกิดสนใจขึ้นมาเช่นกัน เพียงแต่เมื่อนึกถึงสถานการณ์ช่วงนี้ของต้าฮวงแล้วรู้สึกว่าคงไม่อาจมองในแง่ดีได้ มักรู้สึกว่าท่าทางของกงอิ้นคลุมเครือ เหยียลี่ว์ฉีก็ดูคล้ายจะผิดปกติเช่นกัน ดูท่าทางนั้นของกงอิ้น ผู้ชราก็เป็นห่วงเหลือเกินว่าสมองของเขาจะเลอะเลือนไปชั่วขณะ แก้ไขกฎหมาย เทิดทูนราชินีนั่นสู่ราชบัลลังก์ จนมีอำนาจแท้จริงขึ้นมาจริงๆ สตรีนางนั้นเจ้าเล่ห์เ**้ยมโหด ทั้งยามนี้ยังได้ใจของราษฎร หากได้กุมอำนาจแท้จริงขึ้นมา ทั้งเจ้าทั้งข้าจะมีวันเวลาแห่งความสงบสุขได้อย่างไร” 

 

 

“ใต้เท้าท่านคิดมากเกินไปแล้ว กงอิ้นจะยกแผ่นดินร่วมกันให้ได้อย่างไร แม้เขาจะอยากยกให้ แต่คนใต้บัญชาของเขากลุ่มนั้นจะยอมหรือ? ข้าว่านะ เหตุการณ์ตี้เกอคราวนี้ดูท่าทางราชินีจะได้ใจของราษฎรนับไม่ถ้วน เรื่องนี้แท้จริงแล้วเป็นภัยร้ายไม่ใช่เรื่องดีต่อราชินีเลย” 

 

 

“เจ้าหมายถึง…กองทัพ?” 

 

 

“เช่นนั้น ได้ใจของราษฎรเล็กน้อยจะนับว่าอะไรได้ ราษฎรมีมีดหรือ? ยกทัพจับศึกได้หรือ? ปกป้องนางได้หรือ? ทว่าล่วงเกินทหารคั่งหลงจะมีจุดจบอย่างไร ทหารแกร่งที่โอบล้อมพิทักษ์นครหลวงอย่างแท้จริงของต้าฮวง ฉากกำบังเหล็กกล้าที่ตั้งมั่นป้องกันระหว่างต้าฮวงกับหกแคว้นแปดชนเผ่า ทหารคั่งหลงที่กุมพลังแข็งแกร่งเกรียงไกรไร้ที่สิ้นสุด พอเกิดความคิดเป็นศัตรูกับราชินี หากนางอยากขึ้นครองราชบัลลังก์อย่างราบรื่นจะสำเร็จหรือ?” 

 

 

“มิใช่ว่าเฉิงกูมั่วถูกพักการปฏิบัติหน้าที่แล้วหรือ? ขั้นต่อไปกงอิ้นคงจะเปลี่ยนผู้บัญชาการ” 

 

 

“จะเปลี่ยนเป็นผู้ใดได้ คั่งหลงยอมรับเฉิงกูมั่วเป็นนายมาก่อนกงอิ้นเสียอีก! เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาต่างเป็นผู้ไว้ใจใกล้ชิดของเฉิงกูมั่ว! เฉิงกูมั่วมีบารมีทั่วทั้งพรรคพวกกงอิ้นยิ่งนัก เขาคือมหาขุนพลที่สนับสนุนให้กงอิ้นรับตำแหน่งราชครูเป็นคนแรก เป็นสุนัขรับใช้ที่จงรักภักดีที่สุด ที่ทุ่มเทพลีชีวิตเพื่อเขาในเหตุการณ์ตี้เกอยามนั้น เป็นผู้มีพระคุณที่เคยช่วยชีวิตกงอิ้นไว้ในสถานการณ์อันตราย ในเรื่องนี้ไม่ว่าจะอย่างไรเขาก็เป็นผู้รับเคราะห์ หากถูกลงโทษอีกลูกน้องของกงอิ้นเหล่านั้นจะไม่เจ็บปวดผิดหวังโกรธแค้นได้อย่างไร กงอิ้นแตะต้องเขา สิ่งที่แตะต้องย่อมเป็นรากฐานของตนเอง สิ่งที่แตะต้องย่อมเป็นความจงรักภักดีของผู้ติดตามทุกคน!” 

 

 

“ฮ่าๆ ดียิ่งนัก บัดนี้กงอิ้นนับว่าขึ้นเตาเผาแล้ว” 

 

 

“เช่นนั้นต้องดูว่าเขามีความจริงใจต่อราชินีเพียงใด ยินยอมอ่อนข้อให้ถึงเพียงใดกันแน่ ข้าว่านะ อุดมการณ์ของบุรุษคือโลกหล้า สตรีเพียงประดุจเครื่องแต่งกาย จะลำบากทอดทิ้งงานใหญ่เพื่อสตรีได้หรือ? กงอิ้นกุมมหาอำนาจมานานหลายปี ผู้ติดตามใต้บัญชามีนับไม่ถ้วน อุดมการณ์ที่มีต่อตำแหน่งสูงสุดต้องได้มาด้วยความจำเป็น เอ่ยกันแล้วคงไม่น่าจะโง่เขลาขนาดนี้ถึงจะถูกต้อง บนโลกนี้มีบุรุษที่รักโฉมสะคราญไม่รักแผ่นดินที่ใดกัน…เหอะๆ ท่านอย่าได้ทำหน้ามุ่ยเลย สตรีทั่วโลกหล้านี้ธรรมดาสามัญ ทว่าไม่รวมท่านด้วยเป็นแน่” 

 

 

“เหอะๆ พวกข้าสตรีเล่นการเมือง ย่อมไม่มองตนเองว่าเป็นสตรีเช่นกัน ตามความคิดของข้า หวังให้กงอิ้นโง่เขลาจนถึงที่สุด” 

 

 

“หรือทำให้เขายิ่งโง่เขลาขึ้นไปอีกได้…ไม่ใช่เอ่ยว่าซังเทียนสี่รู้ความลับบางอย่างเกี่ยวกับกงอิ้นหรือ?” 

 

 

“โอ้? ขอฟังให้ละเอียดถี่ถ้วน” 

 

 

… 

 

 

หมู่นี้ชีวิตของจิ่งเหิงปัวกำลังดีทีเดียว 

 

 

หากบรรยายด้วยสองคำเรียกว่าหวานชื่น บรรยายด้วยสามคำเรียกว่าโคตรหวานชื่น! 

 

 

เช้าตรู่ของทุกวันนางตื่นมาท่ามกลางอารมณ์ดีมีความสุข พอลืมตาก็ได้มองเห็น…ชายคาบ้านของคนที่ชอบ 

 

 

ล้างหน้าแปรงฟันท่ามกลางอารมณ์ดีมีความสุข ตอนทานอาหารเช้ามี…องครักษ์ของคนที่ชอบเคียงข้าง 

 

 

ทานอาหารเช้าเสร็จท่ามกลางอารมณ์ดีมีความสุข แล้วจะได้ไปจิ้งถิงร่วม…ประชุมกับคนที่ชอบด้วย 

 

 

…เอาเถิด ฟังดูแล้วก็ไม่ได้น่าสนุกขนาดนั้น ตอนแรกนางก็บ่นนิดหน่อยเหมือนกัน แต่หลังจากฟังการเมืองมาหลายวันก็พึงพอใจ ตนเองกำเริบเสิบสานขึ้นมาอีกครั้งแล้ว 

 

 

ด้วยเพราะนางเพิ่งรู้ว่าแท้จริงแล้วการปกครองแคว้นแคว้นหนึ่งนั้นโคตรน่ารำคาญ โคตรเหนื่อย เรื่องโคตรเยอะ! 

 

 

จนตอนนี้นางถึงได้รู้ว่าทุกวันนี้กงอิ้นนอนหลับเพียงแค่สองชั่วยาม ถ้าหักเวลาที่เขาฝึกวรยยุทธ์ทิ้งไปอีกคงจะได้นอนหลับน้อยกว่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากเรื่องราวของซังต้ง เขาคล้ายจะงานยุ่งมากกว่าแต่ก่อน ออกนอกวังตรวจตราค่ายใหญ่ทหารคั่งหลง ต้อนรับขุนพลทุกท่านบ่อยครั้ง จิ่งเหิงปัวรู้ว่าหมู่นี้เขากดดันไม่น้อย ที่หว่างคิ้วมีรอยย่นสามรอยอยู่รำไร แม้ว่ารอยย่นเบาบางนี้จะทำให้เขาดูท่าทางเปี่ยมบารมีมากยิ่งขึ้น แต่ก็ทำให้นางเจ็บปวดใจด้วยเหมือนกัน บางครั้งอดไม่ได้อยากจะยื่นมือไปลูบให้เรียบเสีย แต่มักจะถูกเขาหลบหลีกไปทุกครั้งหรือไม่ก็มองอย่างเย็นชาด้วยหางตาเสียเลย มองด้วยหางตาก็ไม่เป็นไร จิ่งเหิงปัวที่หน้าหนาจะยืนหยัดสู้ต่อไป สุดท้ายคนที่ยอมแพ้มักจะเป็นเขา หากไม่พานางไปมุมปลอดคนให้นางลูบสักครั้งก็ลูบเองสักหน่อยเสียเลย ตัดขาดความคิดถึงของนาง เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า พอเขาขมวดคิ้ว นางก็จะมองที่หว่างคิ้วเขา แล้วเขาก็จะลูบหว่างคิ้วด้วยความเคยชิน คลายหัวคิ้วออกมา จิ่งเหิงปัวมองแล้วจิตใจเบิกบาน…ฮ่า มหาเทพมีพฤติกรรมเล็กน้อยไม่ใช่เรื่องง่าย นี่คือนิสัยที่นางบ่มเพาะออกมาเชียวนะ! 

 

 

ในอารมณ์หวานชื่น ความเปลี่ยนแปลงทีละเล็กละน้อยของฝ่ายตรงข้ามคล้ายเป็นความสำเร็จและความสุขที่ยิ่งใหญ่ที่สุดบนโลกใบนี้ นางจมดิ่งอยู่ในภวังค์การค้นพบความงดงามเล็กน้อยเช่นนี้ ยินดีไม่มีแหนงหน่าย 

 

 

ด้วยเพราะเหตุนี้เอง ตอนนี้นางก็รับรู้ความกดดันของกงอิ้นได้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น เรื่องนี้มองเห็นได้จากการประชุมราชการในทุกครั้งเช่นกัน อำนาจที่จิ่งเหิงปัวแย่งชิงมาให้ตนเองในตอนนี้คือฟังการเมือง นางก็เฉลียวฉลาดอย่างยิ่งเช่นกันแค่ฟังการเมืองแค่นั้นจริงๆ ไม่พูดไม่จาแม้แต่คำเดียว ท่าทางดูสงบเสงี่ยมเรียบร้อย ตอนแรกเหล่าขุนนางใหญ่ก็รู้สึกอึดอัด เอ่ยวาจาพะว้าพะวังขึ้น แต่ภายหลังก็ค่อยๆ เคยชินกับการดำรงอยู่ของนาง ไม่รู้สึกว่ามีเรื่องใดไม่เหมาะสมอีก เอ่ยวาจาย่อมเป็นธรรมชาติขึ้นมา ด้วยเหตุนี้จิ่งเหิงปัวได้ยินมากมายและได้เรียนรู้มากมาย มีความเข้าใจที่ชัดเจนยิ่งขึ้นต่อสถานการณ์พรรคพวกในราชสำนัก ระบอบการเมือง ความสัมพันธ์ขุนนาง รูปแบบการดำเนินงาน การค้าภายในและภายนอก ความสัมพันธ์ระหว่างแคว้นของต้าฮวง เป็นต้น กล่าวได้ว่าตอนนี้ถ้าให้นางเริ่มต้นเข้าควบคุมงานราชสำนัก ไม่กล้ากล่าวว่าจัดการได้สมบูรณ์พร้อมทุกเรื่อง แต่คงไม่ใช่ไม่มีความรู้แน่นอน