เครื่องรางเรียกขานกลุ่มถูกแบ่งออกเป็นสองชนิดด้วยกัน ชนิดแรกคือเครื่องรางเรียกขานลูกศิษย์ ซึ่งเหล่าลูกศิษย์ในกลุ่มเดียวกันจะใช้เพื่อติดต่อระหว่างกันและกัน เมื่อใครคนใดคนหนึ่งเปิดการใช้งาน ลูกศิษย์ที่เหลือทั้งหมดที่อยู่ภายในระยะ ก็จะได้รับ ลูกศิษย์ทุกคนที่ออกจากอารามจะได้รับเครื่องรางนี้จำนวนหลายชิ้นก่อนที่พวกเขาจะออกไปจากขุนเขา
อีกชนิดหนึ่งคือเครื่องรางเรียกขานหน่วย เมื่อใครคนใดคนหนึ่งเข้าสู่การใช้งาน ตราบใดที่พวกเขามีแผ่นระบุตัวตนของสำนักเสวียนชิงอยู่ภายในครอบครอง พวกเขาก็จะได้รับ ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็ตามในขั้วท้องฟ้า ถึงกระนั้นก็ตาม เครื่องรางชนิดนี้ยากต่อการสร้างเป็นที่สุด และมันต้องอาศัยผู้คนจำนวนมาก ฉะนั้น โดยทั่วไปแล้ว มันจะไม่ถูกนำมาใช้งาน เว้นแต่ว่าจะเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งยวด
เครื่องรางที่โม่เทียนเกอได้รับในตอนนี้ คือเครื่องรางเรียกขานหน่วย
เป็นเวลาประมาณยี่สิบสองปีแล้ว ตั้งแต่ที่นางออกไปจากภูเขาไท่คัง แต่ทว่าในตอนนี้ เมื่อนางได้มายืนอยู่ในคุนอู๋อีกครั้ง นางกลับได้รับเครื่องรางเรียกขานหน่วย
โม่เทียนเกอพลันคลี่กระดาษเครื่องรางออก พร้อมขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ถึงลูกศิษย์ทุกคนแห่งสำนักเสวียนชิง ผู้ซึ่งอยู่ภายในดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงาน ไม่ว่าเจ้ากำลังติดภารกิจอันใดหรือไม่อยู่นั้น เจ้าจำต้องวางเรื่องราวทั้งหลายลงเสีย และรีบเร่งกลับมายังภูเขาไท่คังก่อนวันที่หกเดือนหก”
ข้อความเพียงแต่ระบุคำสั่งอันเรียบง่ายไม่กี่บรรทัดเท่านั้น แต่มันกลับไม่ได้ระบุถึงเหตุผลแต่อย่างใด โม่เทียนเกอจึงรู้สึกตะลึงงันเมื่อได้อ่านมัน สำนักเสวียนชิงมีลูกศิษย์การสร้างฐานแห่งพลังงานทั้งหมดมากกว่าสองพันชีวิต ถึงแม้ว่าจำนวนจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญในระหว่างเหตุจลาจลมารอสูร เมื่อพิจารณาว่าเวลาได้ผ่านไปกว่าสามสิบปีแล้วตั้งแต่เหตุการณ์นั้น จำนวนลูกศิษย์น่าจะมีจำนวนใกล้เคียงเท่าเดิม เมื่อรวมกับลูกศิษย์การสร้างฐานแห่งพลังงาน ผู้ซึ่งบริหารร้านค้าต่างๆ หรือได้รับคำสั่งให้ไปจัดการเรื่องราวที่โลกภายนอก จำนวนของลูกศิษย์การสร้างฐานแห่งพลังทั้งหมดจะต้องถึงสามพันชีวิตอย่างแน่นอน
พวกเขาเรียกลูกศิษย์จำนวนมากขนาดนี้กลับไปยังอารามเพื่ออะไรกัน ยิ่งไปกว่านั้น สำนักเสวียนชิงยังมีอุตสาหกรรมที่สำคัญอย่างมากในโลกภายนอก และผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานก็เป็นผู้บริหารอุตสาหกรรมทั้งหมดนั่น การเรียกตัวพวกเขากลับไปเช่นนี้ ทุกอย่างจะต้องหยุดชะงักลง เรื่องนี้มีความสำคัญอย่างไรกันแน่
นางส่ายศีรษะของนาง จากนั้นจึงดีดนิ้วเพื่อก่อร่างเครื่องรางขึ้นภายในมือ แสงวิญญาณพลันลุกโชนขึ้นมาจากเครื่องรางที่กำลังเผาไหม้ และปลิวไปยังสุดขอบฟ้า วิธีนี้คือการตอบรับของนางต่อเครื่องรางเรียกขานหน่วย
ในขณะเดียวกัน พลันปรากฏแสงวิญญาณในลักษณะเดียวกัน พาดผ่านท้องฟ้าไปยังสุดขอบฟ้า
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าโม่เทียนเกอเมื่อนางได้เห็น ชัดเจนว่านี่เป็นเรื่องดี ยังคงมีลูกศิษย์อีกคนอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงนี้
นางเหินตัวขึ้นไปและขี่แสงเหินของนาง บินตรงไปยังทิศทางของแสงวิญญาณอีกดวงหนึ่ง หลังจากนั้นไม่นาน นางสัมผัสได้ด้วยจิตสัมผัสของนางว่ามีใครบางคนกำลังมุ่งหน้ามาหานาง จิตสัมผัสของทั้งสองคนประสานเชื่อมต่อกัน เมื่อเห็นว่าทั้งคู่มีเจตนาที่เหมือนกัน โม่เทียนเกอจึงรีบบินตรงไปยังคนผู้นั้นอย่างรวดเร็ว
อย่างที่คาดไว้ คนผู้นั้นคือลูกศิษย์ของสำนักเสวียนชิง เมื่อสังเกตเห็นนางจากระยะไกลได้ คนผู้นั้นก็ประสานมือของเขาพร้อมกับทักทาย “ศิษย์พี่” เขาคือเด็กหนุ่มที่อยู่ในขั้นแรกของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงาน ถึงแม้ว่าเขาจะเรียกนางว่าศิษย์พี่ แต่ทั้งท่าทางและน้ำเสียงของเขากลับสงวนท่าทีและค่อนข้างหยิ่งยโสทีเดียว
เขาคือเด็กหนุ่มอายุราวๆ สิบเจ็ดถึงสิบแปดปี ดูท่าว่าอายุจริงเขาจะยังคงน้อยเป็นอย่างมาก บรรดาหนุ่มสาวผู้มีเก่งกาจมักจะหยิ่งยโสเล็กน้อยเสมอ นางจึงไม่ถือสากับพฤติกรรมเช่นนี้ของเขา
ด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย โม่เทียนเกอประสานมือตอบรับการทักทายของเขา “ศิษย์น้อง เจ้าสุภาพเกินไปแล้ว”
พวกเขาทั้งสองคนทักทายซึ่งกันและกันกลางอากาศ ทั้งคู่ยืนนิ่ง ต่างคนต่างประเมินอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว ถึงแม้จะสังเกตเห็นรูปร่างเช่นเด็กสาวของนาง แต่เด็กหนุ่มก็ไม่ได้เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจนัก ภายในกลุ่มผู้ฝึกตนขนาดใหญ่ มีผู้ฝึกตนสตรีเพศจำนวนมากที่ฝึกฝนวิชาชะลอวัย ถึงแม้ว่าพวกนางจะไม่สามารถหยุดการโรยราของอายุได้ แต่ก็สามารถซื้อหายาคงรูปได้เสมอ
“ศิษย์พี่ ท่านได้รับการเรียกตัวเช่นกันไหม ท่านจะกลับไปที่สำนักหรือไม่” เด็กหนุ่มถาม
โม่เทียนเกอพยักหน้า “แน่นอน”
เด็กหนุ่มยิ้มและกล่าวว่า “ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว เรากลับไปด้วยกันดีไหม”
ในเมื่อจุดมุ่งหมายของพวกเขาเหมือนกัน และพวกเขาก็มาจากสำนักเดียวกัน โม่เทียนเกอจึงเลือกที่จะเดินทางไปกับเขา ฉะนั้น นางจึงตอบตกลงกับคำแนะนำของเขาอย่างเต็มใจ
หลังจากพวกเขาออกเดินทางเพื่อกลับไป เด็กหนุ่มจึงแนะนำตัวเอง “ข้าแซ่ ‘หลาน’ ชื่อข้ามีแค่ตัวอักษรเพียงตัวเดียวคือคำว่า ‘หลิง’ ซึ่งแปลว่าเนินเขา ไม่ใช่ ‘หลิง’ ที่แปลว่าจิตวิญญาณ ข้าคือลูกศิษย์แห่งยอดเขาหยาดน้ำค้างหวาน ข้าขอทราบชื่อของศิษย์พี่จะได้หรือไม่”
หลานหลิงอย่างนั้นหรือ มุมปากของโม่เทียนเกอยกขึ้นมาอย่างไม่เต็มใจ ด้วยชื่อแซ่ที่ฟังดูเหมือนสาวน้อยเช่นนี้ ไม่น่าแปลกใจที่เขาต้องการเน้นย้ำว่า ‘หลิง’ ในชื่อของเขานั้น คือ ‘หลิง’ ที่แปลว่าเนินเขา
“ข้าชื่อโม่เทียนเกอ เป็นศิษย์แห่งยอดเขาวสันต์กระจ่าง”
“โอ้ ที่แท้ท่านก็คือศิษย์พี่จากยอดเขาวสันต์กระจ่างนี่เอง” เด็กหนุ่มเอียงคอเล็กน้อยเพื่อประเมินนางอีกครั้ง “ศิษย์พี่ ท่านออกมาท่องเที่ยวไปทั่วหรือว่าออกมาทำภารกิจกันล่ะ”
“ออกมาท่องเที่ยว” โม่เทียนเกอเพียงแต่ตอบเขาอย่างสั้นๆ จากนั้นจึงถามกลับไปว่า “ศิษย์น้องหลาน เราอยู่ที่ไหนกัน”
“เอ๋” ความประหลาดใจแล่นวาบขึ้นมาบนใบหน้าของหลานหลิง “ศิษย์พี่โม่ ท่านไม่รู้หรือว่าเรากำลังอยู่ที่ไหน ทั้งๆ ที่ท่านอยู่ที่นี่งั้นหรือ”
โม่เทียนเกอส่ายศีรษะอย่างแผ่วเบา “ข้าเคลื่อนย้ายมาที่นี่ผ่านม่านพลังเคลื่อนย้าย และข้ายังไม่มีโอกาสได้ถามใครแถวนี้”
“อ้อ ข้าเข้าใจแล้ว” หลานหลิงกล่าว “ตอนนี้เราอยู่ที่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของคุนอู่ ไม่ไกลจากสำนักเทียนเต้า”
โม่เทียนเกอตะลึงงัน “คือที่นี่จริงๆ ด้วย”
“ที่นี่มีอะไรอย่างนั้นหรือ” หลานหลิงถามอย่างสงสัยใคร่รู้
พวกเขาอยู่ใกล้สำนักอวิ๋นอู้ไม่ใช่หรือ ถึงกระนั้น นางไม่มีทั้งเวลาและความเอนเอียงที่จะกลับไปยังสำนึกอวิ๋นอู้ในตอนนี้ ฉะนั้น นางจึงกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “ข้าเคยมาที่นี่”
“โอ้” หลานหลิงพยักหน้า แต่ไม่เอ่ยอะไรออกมาอีก
เขาสังเกตได้ว่าโม่เทียนเกอไม่ใช่คนช่างพูดเสียเท่าไร และตัวเขาเองก็เป็นคนที่ภูมิใจในตัวเองมาก ถึงแม้ว่านางจะเป็นศิษย์พี่ในขั้นสุดท้ายของการสร้างฐานแห่งพลังงาน แต่เขาก็ยังดูหมิ่นเหยียดหยามนาง
โม่เทียนเกอสบายใจในแบบนี้มากกว่า ฉะนั้นทั้งสองคนจึงต่างมุ่งมั่นกับการเร่งรีบเท่านั้น
ตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของคุนอู๋ ขณะที่สำนักเสวียนชิงตั้งอยู่ที่ทางตะวันตกของคุนอู๋ ระหว่างการเดินทางกลับอันรีบเร่ง พวกเขาบังเอิญได้พบกับลูกศิษย์คนอื่นๆ ในเส้นทางเดียวกันทีละคนสองคน จากสองคนกลายเป็นสามคน จากสามคนกลายเป็นสี่คน และห้าคน จนกระทั่งกลุ่มของพวกเขากลายเป็นแปดคนในที่สุด
เมื่อมีผู้คนจำนวนมากขึ้น ทำให้จะต้องมีคนช่างพูดอยู่บ้าง การเดินทางของพวกเขาจึงเต็มไปด้วยการพูดคุยอย่างต่อเนื่องไปตลอดเส้นทาง
โม่เทียนเกอไม่ได้กลับมาที่นี่นานกว่ายี่สิบปีแล้ว นางไม่รู้เรื่องราวจำนวนมากที่เกิดขึ้นในสำนัก ฉะนั้น นางจึงคอยตั้งใจฟังอย่างเพลิดเพลิน
ยกตัวอย่างเช่น เมื่อปรมาจารย์เจิ้นหยางและปรมาจารย์หลิงซวีต้องการจัดงานแต่งงานระหว่างอาจารย์ลุงไป๋และอาจารย์ลุงเจียง ลูกศิษย์ที่พวกเขาแสนภาคภูมิใจทั้งสองคน แต่อย่างไรก็ตาม เมื่ออาจารย์ลุงไป๋รู้เรื่องนี้เข้า เขาไม่เต็มใจยินยอม เพราะเขาไม่ชอบอาจารย์ลุงเจียงที่เป็นคนหัวดื้อรั้น ทันทีที่เรื่องนี้ไปเข้าหูของอาจารย์ลุงเจียงเข้า ความโกลาหลอลหม่านก็บังเกิดขึ้นทันที
อาจารย์ลุงไป๋และอาจารย์ลุงเจียงที่พวกเขาพูดถึงนั้น น่าจะต้องเป็นไป๋เยี่ยนเฟยและศิษย์น้องเจียง ลูกศิษย์ของประมุขเต๋าหลิงซวีแน่นอน โม่เทียนเกอเคยได้ยินชื่อของศิษย์น้องเจียงมาก่อน นางเป็นศิษย์น้องที่เกี่ยวพันทางสายเลือดกับอาจารย์ลุงหลิงซวี และถูกเลี้ยงดูอย่างไข่ในหินมาตั้งแต่นางยังเล็ก ฉะนั้นนางจึงทั้งไม่รักษากฎระเบียบและหัวดื้อรั้น ภายในยอดเขาล่องเมฆา นางเปรียบได้กับเจ้าเหนือหัวตัวน้อยๆ และที่ยอดเขาอื่นๆ นั้น ไม่มีใครกล้ามาห้ามปรามนาง
ใครบางคนเอ่ยขึ้นมาว่า “อาจารย์ลุงเจียงคนนั้นยังเด็กอยู่เลย… สำนักเสวียนชิงของเราไม่เคยให้ความสำคัญในเรื่องความชอบพอระหว่างชายหญิง แม้แต่การฝึกตนร่วมสัมพันธ์ ปกติแล้วพวกเราจะพิจารณาเรื่องนี้ หลังจากที่พวกเราได้เข้าสู่ดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังแล้วใช่ไหมล่ะ ทำไมพวกเขาต้องยืนยันการแต่งงานของพวกเขาทั้งสองคนในตอนนี้ด้วย”
คนแรกที่พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นชายแก่คนหนึ่ง ถึงแม้ว่าจะมีอายุค่อนข้างมาก พร้อมกับมีผมสีดอกเลาและเคราแล้ว เขาก็ยังคงชอบการพูดคุยเป็นอย่างมาก พวกเขาไม่รู้ว่าชายแก่คนนั้นได้ยินข่าวซุบซิบนี้มาจากไหน แต่ในช่วงหลายวันมานี้ เป็นเขาที่เล่าข่าวซุบซิบออกมาเสมอ ในตอนนั้น เขากำลังยิ้มกริ่มขณะพูด “อย่าลืมไปว่าปรมาจารย์หลิงซวีอายุตั้งเท่าไรแล้ว วาระสุดท้ายของเขาใกล้จะมาถึงแล้ว!”