หลิงลี่คิดไม่ถึงจริงๆว่าหลานชายของตนเองจะกล้าพูดจาห้าวหาญเช่นนี้ออกมา!
ในเวลานั้น..สายตาของหลิงลี่กับเหล่ากุ่ยต่างก็บ่งบอกความรู้สึกที่เหมือนกัน ทั้งคู่ได้แต่คิดว่าหลิงหยุนช่างเป็นเด็กหนุ่มที่แข็งแกร่ง และไม่เคยเกรงกลัวผู้ใดเลยจริงๆ!
และนั่นยิ่งทำให้หลิงลี่มั่นใจว่าหลิงหยุนได้กลายมาเป็นเสาหลักของตระกูลหลิงแล้ว!
แม้ว่าคำพูดและท่าทีของหลิงหยุนจะทำให้หลิงลี่ตกใจอย่างมาก แต่ในขณะเดียวกันก็เกิดความรู้สึกชื่นชมในตัวหลิงหยุนไม่น้อยด้วย!
ในวันที่เผชิญหน้ากับตระกูลเฉินและตระกูลซันที่สุสานนั้นหลิงหยุนก็ได้จัดการจนทั้งสองตระกูลต้องล่าถอยกลับไปอย่างไม่เป็นท่า..
มาวันนี้..หลังจากได้รับจดหมายจากผู้นำตระกูลหลงอย่างหลงฮ่าวหลาน หลิงหยุนก็แสดงท่าทีไม่ยอมอ่อนข้อให้ถึงเพียงนี้!
ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่า..หลิงหยุนมีจิตใจที่แข็งแกร่ง มีความมุ่งมั่นและแน่วแน่ในสิ่งที่ตนทำ แม้ศัตรูจะแข็งแกร่งและมีอำนาจมากเพียงใด ก็ยังไม่สามารถทำให้จิตใจของหลิงหยุนสั่นคลอนได้!
และนับตั้งแต่หลิงหยุนกลับเข้าตระกูลหลิง..การกระทำของเขาก็ล้วนแล้วแต่บ่งบอกถึงนิสัยใจคอเช่นนี้ได้อย่างชัดเจน!
จิตใจของหลิงหยุนนั้นเสมือนเด็กที่ปราศจากความกังวลปราศจากความกลัว และเชื่อมั่นในตนเองสูงอย่างที่ไม่มีสิ่งใดจะมาขวางกั้นได้!
คนเช่นหลิงหยุนนั้นนับว่าหาได้ยากนักแทบจะหนึ่งในล้านเลยก็ว่าได้!
จึงไม่แปลกที่ภายในเวลาเพียงไม่ถึงครึ่งปี..หลิงหยุนกลับสามารถฝ่าฟันอันตรายนับร้อยพันมาได้ด้วยตนเองเพียงลำพัง อีกทั้งยังแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ และด้วยจิตใจและจิตวิญญาณที่ห้าวหาญนี้ ทำให้ผู้คนมากมายยอมถวายชีวิตและวิญญาณเพื่อติดตามหลิงหยุน!
“ฮ่า..ฮ่า.. ฮ่า..”
จู่ๆหลิงลี่ก็หัวเราะออกมาพร้อมกับลุกขึ้นยืน และหันไปจับมือหลิงหยุนไว้พร้อมกับพูดขึ้นว่า
“เยี่ยม!เยี่ยมมาก! เยี่ยมมาจริงๆ!”
ความเศร้าหมองหดหู่ในจิตใจของหลิงลี่ที่มีก่อนหน้านี้ได้อันตรธานหายไปในทันที และอิทธิพลของตระกูลหลงก็ไม่ได้มีผลต่อจิตใจของเขาอีกเลย!
หลิงลี่ยกมือขึ้นตบไหล่หลิงหยุนพร้อมกับพูดขึ้นว่า“หลิงหยุน.. คิดไม่ถึงว่าวันนี้เจ้าจะอบรมปู่ได้ดีเช่นนี้!”
“ปู่ไม่ผิดจริงๆที่ยกตระกูลหลิงให้เจ้าดูแล!นับจากนี้ไป.. เจ้าจงนำพาตระกูลหลิงไปในทิศทางที่เจ้าเชื่อมั่น และทำในสิ่งที่เจ้าต้องการจะทำ! ปู่จะเป็นเพียงแค่ผู้สนับสนุน และจะไม่คัดค้านใดๆอีก!” หลังจากพูดจบ..หลิงลี่ก็หยิบจดหมายบนโต๊ะอีกหนึ่งฉบับยื่นให้หลิงหยุนพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“หลิงหยุน..นี่เป็นจดหมายที่ลุงใหญ่ของเจ้าทิ้งไว้ให้ เจ้าลองอ่านดูสิ!”
และจดหมายฉบับสุดท้ายที่หลิงลี่ยื่นให้กับหลิงหยุนก็คือจดหมายจากหลิงเจิ้นนั่นเอง!
หลิงหยุนเพียงแค่ใช้จิตหยั่งรู้สำรวจดูก็สามารถรู้ข้อความในจดหมายฉบับนี้ได้แล้วจดหมายฉบับนี้เป็นจดหมายที่หลิงเจิ้นเขียนถึงหลิงหยุน โดยมีใจความคร่าวๆว่า..
การประลองระหว่างตระกูลหลิงกับตระกูลเฉินและตระกูลซันนั้นเขาเชื่อว่าหลิงหยุนจะสามารถนำพาตระกูลหลิงไปบดขยี้ศัตรูทั้งสองได้อย่างแน่นอน ส่วนตัวเขาที่ยังอยู่เพียงแค่ระดับสูงสุดขั้นเซียงเทียน-7 นั้น ต่อให้เข้าร่วมการประลองในครั้งนี้ด้วยก็คงจะไม่สามารถช่วยอะไรได้มาก จึงไม่ขอเข้าร่วมการประลองในครั้งนี้ อีกทั้งตัวเขาเองก็กำลังโศกเศร้าเพราะเพิ่งจะสูญเสียลูกชายไป จึงขอออกเดินทางท่องเที่ยวไปสักพัก..
แต่ถึงกระนั้นหลิงหยุนก็แสร้งทำเป็นเปิดจดหมายออกอ่านจากนั้นจึงถามขึ้นว่า “ท่านปู่.. ท่านลุงใหญ่ทำเช่นนี้หมายความอย่างไรกัน และเหตุใดจึงต้องออกเดินทางท่องเที่ยวในช่วงเวลาเช่นนี้?”
หลงลี่พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ“หลิงหยุน.. แม้หลิงห่าวจะอกตัญญูชั่วช้า แต่เขาก็เป็นลูกชายของลุงเจ้า เจ้าสังหารลูกชายของเขากับมือเช่นนี้ เขาย่อมเจ็บปวดเสียใจเป็นธรรมดา นี่เป็นความรู้สึกของมนุษย์ทั่วไปไม่ใช่รึ”
“อีกอย่าง..ลุงของเจ้าก็เคยเป็นผู้นำตระกูลหลิงมาก่อน แต่เวลานี้เจ้ากลับเข้ามารับตำแหน่งนี้แทน ลุงของเจ้าย่อมรู้สึกเสียหน้าเป็นธรรมดา และคงไม่กล้าที่จะเผชิญหน้ากับเจ้า เขาจึงได้เลือกที่จะออกเดินทางท่องเที่ยว เพื่อจงใจหลีกเลี่ยงที่จะเผชิญหน้ากับเจ้า!”
“ความเจ็บปวดจากการสูญเสียลูกชายนั้นคงต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะรู้สึกดีขึ้น และระหว่างเจ้ากับลุงใหญ่ ก็คงต้องอาศัยเวลาอีกสักพักเช่นกัน..”
“ปกติที่ผ่านมา..ลุงของเจ้าก็อยู่แต่ในปักกิ่งมาตลอด เวลานี้เขาได้ออกเดินทางท่องเที่ยวเช่นนี้ คงจะช่วยให้เขาผ่อนคลายจิตใจได้บ้าง!”
“ที่สำคัญ..แม้ว่าลุงของเจ้าจะอยู่ในระดับสูงสุดขั้นเซียงเทียน-7 แต่หากเข้าร่วมการประลอง ก็คงไม่สามารถช่วยอะไรได้มาก!”
“เพราะเหตุนี้..ระหว่างที่เจ้าเก็บตัวอยู่นั้น ลุงของเจ้าจึงได้มาปรึกษา และสอบถามความเห็นจากข้า หลังจากนั้นเขาจึงได้ตัดสินใจทำเช่นนั้น!”
เรื่องระหว่างหลิงเจิ้นกับหลิงหยุนนั้นเห็นได้ชัดว่าหลิงลี่ไม่ต้องการพูดอะไรมาก เขาจึงได้อธิบายทุกอย่างให้หลิงหยุนฟังอย่างกระจ่างชัดในคราวเดียว และรอดูปฏิกิริยาของหลิงหยุนต่อไป..
หลิงหยุนฟังแล้วก็เพียงแค่พยักหน้าและไม่แสดงอารมณ์ใดๆออกมา แต่ในสมองนั้นกำลังครุ่นคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่
หลิงหยุนใคร่ครวญอย่างละเอียด..หลังจากที่เขาสังหารหลิงห่าวแล้ว นับตั้งแต่วันที่ไปเคารพหลุมศพบรรพชน เขาก็ไม่พบหน้าหลิงเจิ้นอีกเลย และในวันนั้น.. เขากับหลิงเจิ้นก็ไม่ได้พูดจากันแม้แต่คำเดียว มีเพียงแค่เอ่ยทักทายตามมารยาท และหลิงเจิ้นก็เพียงแค่พยักหน้าเท่านั้น!
แต่ถึงอย่างไร..ในช่วงเวลาที่ตระกูลหลิงกำลังเผชิญหน้ากับวิกฤติเช่นนี้ แต่หลิงเจิ้นกลับเลือกที่จะออกเดินทางไปท่องเที่ยว หลิงหยุนรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ไม่ปกติอย่างยิ่ง!
และการที่หลิงหยุนสังหารลูกชายของหลิงเจิ้นตายต่อหน้านั้นหากจะบอกว่าหลิงเจิ้นไม่โกรธแค้นหลิงหยุน ย่อมไม่มีทางเป็นไปได้!
หลิงหยุนมีลางสังหรณ์ที่แม่นยำเขาสังเกตเห็นความโหดเหี้ยมในแววตาของหลิงเจิ้นหลายครั้งหลายครา แม้กระทั่งในวันที่เขาลงมือสังหารหลิงห่าว!
หลิงหยุนเองก็หาเหตุผลไม่ได้และคิดว่าจะเก็บเรื่องนี้ไว้ก่อน และรอจนกระทั่งให้การประลองเสร็จสิ้น จึงจาหาโอกาสเจรจากับหลิงเจิ้นอย่างตรงไปตรงมา..
แต่กลับคิดไม่ถึงว่าหลิงเจิ้นจะอ้างเหตุผลที่น่าเห็นใจนี้พาตัวเองออกจากตระกูลหลิง และออกจากปักกิ่งไปเช่นนี้เสียก่อน!
อีกทั้งยังไม่มีใครรู้ด้วยว่าหลิงเจิ้นจะเดินทางไปที่ใดกันแน่
หลิงหยุนครุ่นคิดอยู่ในใจและรู้สึกว่ายิ่งต้องระมัดระวังตัวให้มาก แต่ก็เลือกที่จะไม่พูดอะไรออกไป และเพียงแค่พยักหน้ารับรู้เท่านั้น!
หลิงลี่ได้แต่แอบถอนหายใจ..เขารู้ดีว่ารอยร้าวระหว่างหลิงหยุนกับหลิงเจิ้นนั้น ทั้งชีวิตนี้ก็ยากที่จะผสานคืนดังเดิมได้!
แต่หลิงลี่ก็รู้ดีว่าเรื่องราวลักษณะนี้ในตระกูลใหญ่ต่างก็ยากที่จะหลีกเลี่ยงความขัดแย้งภายในเช่นนี้ได้!
ทั้งหลิงหยุนกับหลิงลี่ต่างก็มีท่าทีกระอักกระอ่วนต่างคนต่างนิ่งเงียบ และไม่มีการถามถึงวันเดินทางของหลิงเจิ้นเลยแม้แต่น้อย..
หลิงลี่เอื้อมไปหยิบกุญแจหลายดอกบนโต๊ะส่งให้หลิงหยุนพร้อมกับอธิบายว่า“หลิงหยุน.. นี่เป็นกุญแจที่ผู้นำตระกูลต้องเป็นผู้ถือไว้ ข้าเป็นตัวแทนมอบให้กับเจ้าแทนหลิงเจิ้น!”
“นี่คือกุญแจห้องบรรพชนส่วนนี่คือกุญแจคุกใต้ดิน และนี่คือกุญแจบ้านในสวนชั้นที่สาม และดอกสุดท้ายคือกุญแจประตูใหญ่ เจ้าเก็บรักษาไว้ให้ดี!”
“ก่อนลุงของเจ้าจะจากไปได้บอกกับข้าว่าเวลานี้เจ้าเป็นผู้นำตระกูลหลิงแล้ว จึงขอยกบ้าน และสวนชั้นที่สามให้กับเจ้าอยู่..”
“ในฐานะที่เจ้าเป็นผู้นำตระกูลหลิงการที่จะให้เจ้าไปอยู่ในสวนชั้นที่เจ็ดเช่นนี้ จึงไม่ถูกต้องนัก!”
“ระหว่างที่เจ้าเก็บตัวอยู่นั้นข้าก็ได้สั่งให้คนไปเก็บกวดบ้านในสวนชั้นที่สามเรียบร้อยแล้ว หากเจ้าต้องการอะไรเพิ่มเติม ก็บอกเหล่ากุ่ยให้ไปจัดการได้!”
“เจ้าถือกุญแจเหล่านี้และอาศัยอยู่ในสวนชั้นที่สาม นี่จึงจะเป็นการบ่งบอกฐานะผู้นำตระกูลของเจ้า!”
หลิงหยุนพยักหน้านิ่งเงียบและรับกุญแจทั้งหมดเข้าไปเก็บไว้ในแหวนจักรวาล พร้อมกับสาส์นท้าประลองจากตระกูลเฉินและตระกูลซันด้วย!
“หลิงหยุน..ปู่ยังไม่ได้ถามเจ้าเลย การเก็บตัวหลายวันที่ผ่านมาเป็นเช่นใดบ้าง”
หลิงหยุนยิ้มให้และตอบไปว่า “ผลลัพธ์เป็นที่น่าพอใจอย่างยิ่ง ท่านปู่อย่าได้เป็นห่วงไปเลย อดใจรอให้ถึงวันประลอง ข้าจะทำให้ตระกูลเฉินกับตระกูลซันพ่ายแพ้ยับเยินเลยทีเดียว!”
หลิงลี่ได้ฟังคำพูดมั่นอกมั่นใจของหลิงหยุนจึงได้แต่ยิ้มออกมา และพูดขึ้นว่า “เอาล่ะ.. ในเมื่อเจ้ามั่นอกมั่นใจเช่นนั้น ปู่ก็ไม่มีอะไรต้องกังวลใจอีกแล้ว!” จากนั้นหลิงลี่จึงถามต่อว่า“หลิงหยุน.. แล้วเรื่องราววุ่นวานที่สวนด้านหน้าตระกูลหลิงในเวลานี้เล่า เจ้าคิดจะการเช่นใด”
ด้วยขั้นของหลิงหยุนเวลานี้..ประสาทสัมผัสทั้งห้าของเขาจึงมีอานุภาพที่ทรงพลังยิ่งนัก สามารถรับรู้เหตุการณ์ที่อยู่ไกลมากกว่าหนึ่งกิโลเมตรได้ไม่ยาก มีหรือที่จะไม่ได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายที่ดังอยู่ที่สวนด้านหน้า!
หลิงหยุนพยักหน้ายิ้มๆและตอบกลับไปว่า “ท่านปู่.. พวกเราออกไปดูกัน!”
…….
นับจากที่ข่าวคราวเรื่องตระกูลซันกับตระกูลเฉินประกาศเป็นพันธมิตรกันและทั้งสองตระกูลจะประลองกับตระกูลหลิงในปลายเดือนนี้ได้แพร่สะพรัดออกไป คนทั่วทั้งปักกิ่งต่างก็ไม่มีใครเชื่อว่าตระกูลหลิงจะเป็นฝ่ายกุมชัยชนะ..
และเสียงดังโหวกเหวกอยู่ด้านนอกเวลานี้ก็คือเสียงของโวยวายของเหล่านักธุรกิจจากตระกูลระดับกลางไปจนถึงระดับเล็กที่ร่วมลงทุนทำธุรกิจกับตระกูลหลิงอยู่ เวลานี้ทุกคนต่างก็พากันมาที่คฤหาสน์ตระกูลหลิงเพื่อถอนหุ้นที่ร่วมลงทุน
หลิงลี่หัวเราะและพูดขึ้นว่า“ลุงสองของเจ้าจัดวุ่นวายกับเรื่องนี้มาสองสามวันแล้ว ยังไม่สามารถจัดการได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็รีบออกไปช่วยเขาจะดีกว่า!”
หลิงหยุนแสยะยิ้มพร้อมกับตอบไปว่า“ท่านปู่ไม่ต้องกังวลใจ ข้าย่อมมีวิธีจัดการอย่างแน่นอน!”
……….
หลิงลี่หลิงหยุน และเหล่ากุ่ย ทั้งหมดเดินตรงไปที่สวนด้านหน้าของคฤหาสน์ตระกูลหลิงพร้อมกัน..
หลิงหยุนถอยหลังลงไปเดินข้างเหล่ากุ่ยพร้อมกับถามขึ้นว่า“เหล่ากุ่ย.. นักธุรกิจจากตระกูลต่างๆ ที่มาสร้างความโกลาหลวุ่นวายอยู่ด้านหน้านั้น ท่านพอจะเล่ารายละเอียดให้ข้าฟังได้หรือไม่” เหล่ากุยตอบกลับไปทันที“ผู้นำตระกูล.. นักธุรกิจพวกนี้ในสมองมีแต่คำว่ากำไร และผลประโยชน์เท่านั้น! ใครที่สามารถสร้างผลกำไรให้พวกเขาได้ พวกเขาก็เลือกที่จะลงทุนกับคนนั้น!”
จากนั้นเหล่ากุ่ยก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงเหยียดหยัน“แต่หากพบว่าผู้ที่เขาลงทุนด้วยมีความเสี่ยง พวกเขาก็พร้อมที่จะถอนหุ้น และหายเข้ากลีบเมฆไปอย่างรวดเร็ว!”
แต่หลิงหยุนกลับพยักหน้าพร้อมกับหัวเราะออกมา“ข้าเข้าใจแล้ว.. ที่แท้ก็พวกเศษหญ้าตามกำแพงนี่เอง!”
หลิงหยุนถามต่อ..“แล้วรายละเอียดของแต่ละตระกูลล่ะ”
“เอ่อ..เรื่องนี้..” novel-lucky
เหล่ากุ่ยหน้าแดงและตอบตะกุกตะกัก “ผู้นำตระกูล.. นี่เป็นเรื่องเกี่ยวกับธุรกิจในตระกูลหลิง ซึ่งปกติคุณชายสองเป็นผู้ดูแล จู่ๆท่านถามขึ้นมาเช่นนี้ ข้าเองก็ตอบไม่ได้เช่นกัน!” หลิงหยุนพยักหน้าพร้อมกับครุ่นคิดบางสิ่งบางอย่างไปด้วยและในที่สุดก็พูดขึ้นว่า “เหล่ากุ่ย.. เรื่องการข่าวของตระกูลหลิงเรายังนับว่าอ่อนด้อยมาก!”
จากนั้นจึงพูดต่อ“นับจากนี้ไปตระกูลหลิงของเราต้องปรับปรุงเรื่องหน่วยข่าวกรองให้มีประสิทธิภาพดีกว่านี้ ไม่ว่าจะเป็นข่าวคราวในยุทธภพ หรือข่าวคราวในโลกธุรกิจ!”
“ไม่เช่นนั้น..ตระกูลหลิงจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างมาก!”
เรื่องนี้หลิงหยุนเข้าใจดีว่ามันคือจุดอ่อนของตระกูลหลิงมาโดยตลอดแม้ตระกูลหลิงจะเป็นตระกูลใหญ่ แม้แต่ประวัติของเขาที่มีข้อมูลอยู่ที่สำนักงานรักษาความมั่นคงเมืองจิงฉู หน่วยข่าวของตระกูลหลิงกลับไม่สามารถสืบหามาได้!
เหล่ากุ่ยเข้าใจความหมายในคำพูดของหลิงหยุนได้เป็นอย่างดีจึงตอบไปว่า “ผู้นำตระกูล.. ข้าน้อยทำงานไม่เอาใหน..”
หลิงหยุนส่ายหน้ายิ้มๆพร้อมกับอธิบายว่า“ข้าไม่ได้ตำหนิท่าน! เพียงแต่นี่เป็นจุดอ่อนของตระกูลหลิงจริงๆ และจำเป็นต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน!”
“ตระกูลหลิงคงต้องจัดตั้งหน่วยข่าวขึ้นมาให้เร็วที่สุดและไม่ว่ามีเรื่องใหญ่น้อยใดที่เกี่ยวข้องกับตระกูลหลิงเกิดขึ้น จะต้องมีการรายงานพร้อมรายละเอียด เพื่อที่ตระกูลหลิงจะสามารถรับมือได้อย่างทันท่วงที!”
เหล่ากุ่ยจึงได้แต่พยักหน้า“ขอรับผู้นำตระกูล!”
หลิงหยุนพยักหน้าและพูดต่อว่า “เรื่องการจัดตั้งหน่วยข่าวกรองนั้น ธิดาพรรคมารดูเหมือนจะเชียวชาญมาก หากท่านติดปัญหา หรือต้องการคำแนะนำ ก็สอบถามจากนางได้!”
“เอ่อ..”
เหล่ากุ่ยอ้ำอึ้งเขาเองก็สังเกตเห็นว่าหลิงหยุนกับเย่ซิงเฉินนั้นดูสนิทสนมกันมาก จึงกังวลว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นเดียวกับเมื่อสิบแปดปีก่อนขึ้นอีก.. หลิงหยุนดูเหมือนจะอ่านความคิดของเหล่ากุ่ยออกเขายกมือขึ้นโบกไปมาพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ เหล่ากุ่ย.. สิ่งที่ี่ท่านต้องจำให้แม่นก็คือ ต้องระมัดระวังไม่ให้ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลหลิงกับพรรคมารร้าวฉานเด็ดขาด โดยเฉพาะกับเย่ซิงเฉิน!”
หลิงหยุนจะปล่อยให้เกิดความร้าวฉานได้อย่างไรกันในเมื่อธิดาพรรคมารคนก่อน – หยินชิงเฉวียนก็คือแม่แท้ๆของเขา เวลานี้ก็เพียงแค่รอให้หลิงหยุนเข้าไปช่วยนางออกมาจากดินแดนต้องห้าม เพื่อที่ครอบครัวจะได้อยู่ร่วมกันอีกครั้ง..
ไม่เพียงไม่ห้ามร้าวฉาง..แต่ความสัมพันธ์ระหว่างสองตระกูลยังต้องแน่นแฟ้นมากขึ้นกว่าเดิมด้วย..
หลิงหยุนเป็นผู้นำตระกูลหลิงเย่ซิงเฉินเป็นธิดาพรรคมาร หากทั้งสองคนตัดสินใจร่วมมือกัน ยังมีอะไรต้องปกปิดอีกเล่า
เพียงแต่ความร่วมมือของทั้งสองในเวลานี้ยังไม่อาจเปิดเผยต่อผู้คนได้เป็นเพราะยังไม่ถึงเวลาที่เหมาะสมนั่นเอง!
เหล่ากุ่ยถึงกับเหงื่อตกและตอบไปว่า“ผู้นำตระกูล.. ข้าเข้าใจดี และจะปฏิบัติตาม!”
……
ภายในห้องรับแขกที่สวนด้านหน้าคฤหาสน์ตระกูลหลิง..
“คุณหลิง..คุณไม่ต้องอธิบายอะไรยืดยาว ผมมาที่นี่เพื่อต้องการมาถอนหุ้น และขอเงินคืนเท่านั้น..”
“คุณหลิง..พวกเราก็เหมือนกัน ได้โปรดให้พวกเราถอนหุ้นจากตระกูลหลิงด้วยนะครับ!”
“ใช่ๆผมเองก็อยากจะยุติโครงการต่างๆ ที่กำลังทำร่วมกับตระกูลหลิงเหมือนกัน!”
ภายในห้องรับแขกนั้นหลิงเย่วถูกรายล้อมด้วยนักธุรกิจกว่ายี่สิบคน แต่ละคนต่างก็มีสีหน้ากระวนกระวายใจ และหวังว่าจะได้ถอนหุ้น และรับเงินของตนกลับไปภายในวันนี้..
นั่นเพราะข่าวที่ว่าปลายเดือนนี้ตระกูลหลิงจะต้องประลองกับตระกูลเฉินและตระกูลซันหากตระกูลหลิงเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ทรัพย์สินเงินทอง และธุรกิจทั้งหมดของตระกูลหลิงก็ต้องตกเป็นของสองตระกูลแทน! ตระกูลหลิงก็จะไม่เหลืออะไรเลย..
ดังนั้นนักธุรกิจเหล่านี้ต่างก็พากันหวาดกลัวว่าเงินที่ตนนำมาลงทุนกับตระกูลหลิงนั้นจะสูญเปล่า..
เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นเป็นเวลาสองสามวันมาแล้วและดูเหมือนสถานการณ์ก็จะแย่ลงเรื่อยๆ ทุกครั้งที่คนเหล่านี้มาก็มักจะนั่งอยู่กับหลิงเย่วไม่ต่ำกว่าเจ็ดแปดชั่วโมง..
ทุกคนต่างก็อ้อนวอนหลิงเย่วขอให้มอบเงินที่ลงทุนคืนให้ตนเอง..
และในระหว่างนั้น..เสียงคนผู้หนึ่งก็ดังขึ้น “คุณหลิง.. ตระกูลของคุณเป็นถึงหนึ่งในตระกูลใหญ่ จะมาโกงกันแบบนี้ไม่ได้นะ!” อีกคนจึงพูดเสริมว่า“ใช่แล้ว.. ตระกูลหลิงจะสู้กับตระกูลเฉินกับตระกูลซันแบบนี้ ก็มีแต่แพ้กับแพ้ อย่าลากพวกเราเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วยเลย..”
ทันทีที่ได้ยินคำพูดประโยคนี้หลิงเย่วถึงกับเงยหน้าขึ้นมองนักธุรกิจผู้นั้นด้วยสายตาเย็นชา..
หนึ่งในนั้นก็คือหานเถี่ยซินและอีกคนก็คือจ้าวจิ่งหมิง เมื่อทั้งคู่เห็นสายตาคมกริบของหลิงเย่วก็รีบหลบด้วยความหวาดกลัว
หลิงเย่วถอนหายใจพร้อมกับคำรามออกมา“หึ.. ใช่ว่าข้าจะไม่ให้คำตอบพวกท่าน แต่ข้าบอกทุกท่านแล้วว่าข้าเองไม่ใช่ผู้นำตระกูลหลิง เรื่องนี้ต้องให้ผู้นำตระกูลเป็นผู้ตัดสินใจ!”
แต่แล้วก็มีเสียงดังแทรกขึ้นมาว่า“คุณเย่ว.. คุณตัดสินใจไม่ได้ไม่เป็นไร ถ้าอย่างนั้นก็เชิญผู้นำตระกูลหลิงออกมา จะได้จัดการแก้ปัญหาให้กับพวกเรา!’
หลิงเย่วตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา“เวลานี้ผู้นำตระกูลยังไม่สามารถออกมาได้ ต้องรอไปก่อน..”
หานเถี่ยซินอ้าปากพูดขึ้นมาอีกครั้ง“อย่าบอกนะว่าผู้นำตระกูลกลัวจนต้องหนีไปหลบซ่อน!”
จากนั้นคนอื่นๆก็โวยวายเสียงดังตามไปด้วย จนภายในห้องเริ่มโกลาหลวุ่นวายไปหมด..
“ใครกล้าพูดว่าข้ากลัวจนต้องหนี”
ระหว่างที่ทุกคนกำลังร้องตะโกนโหวกเหวกโวยวายนั้นเสียงคำรามก้องก็ดังขึ้นอย่างชัดเจน..
หลิงหยุนได้ยินคำพูดของทุกคนในห้องตลอดระยะที่เดินเข้ามาและหมดความอดทนกับคำพูดประโยคสุดท้ายจนต้องใช้มังกรคำรามตะโกนออกไป
คนพวกนี้เป็นนักธุรกิจร่ำรวยแต่ไม่ได้มีวรยุทธอะไร จะสามารถเทียบอะไรกับหลิงหยุนได้! ทุกคนต่างก็พากันตกตะลึงและเพิ่งจะเห็นว่ามีร่างของคนผู้หนึ่งยืนอยู่ข้างหลิงเย่ว สายตาที่คมกริบและเย็นยะเยือกนั้น กำลังกวาดมองใบหน้าของทุกคนในห้อง และในที่สุดก็ยกมือขึ้นชี้หน้าหานเถี่ยซิน และจ้าวจิ่งหมิง
“พวกเจ้าสองคนมาที่ตระกูลหลิงเพื่อจงใจสร้างเรื่องวุ่นวายงั้นรึ”
เห็นได้ชัดว่าทั้งสองคนจงใจทำให้สถานการณ์เลวร้ายมากขึ้นเรื่อยๆและหลิงหยุนก็ไม่ได้ใจดีเหมือนหลิงเย่ว..
“เขาเป็นใครกันคุณหลิง..ถึงได้พูดจาโอหังแบบนี้!”
“นั่นสิคุณหลิง..เด็กนี่เป็นใครกัน พวกเรากำลังคุยธุระอยู่กับคุณ ปล่อยให้เด็กนี่เข้ามาวุ่นวายได้ยังไงกัน?”
หานเถี่ยซินและจ้าวจิ่งหมิงโวยวายออกมาเสียงดังแต่หลิงเย่วกลับลุกขึ้นยืน และดึงหลิงหยุนให้มายืนในตำแหน่งของตนแทน พร้อมกับแนะนำว่า “ข้าขอแนะนำให้ทุกท่านรู้จัก..นี่คือผู้นำตระกูลหลิง ชื่อว่าหลิงหยุน!”