GGS:บทที่ 773 ชายแก่

 

“คุณซู ทำไม86Iถึงมาอยู่ที่นี่ได้หล่ะ” หญิงวัยกลางคนอายุประมาณ 40-50 ปี ซึ่งตอนนี้ใบหน้าของเธอได้ดีหม่นหมองและดูหดหู่จนเห็นได้เลยว่าเธออยู่ในอารมณ์โศกเศร้ามากๆ

 

“คุณซูคุณเซออะไรกันครับครูจาง ถึงจะนานแล้วแต่เรียกผมว่าอาจิ้งแบบเมื่อก่อนดีกว่าครับ”

ซูจิ้งทั้งแปลกใจทั้งแสดงความเคารพผู้หญิงคนนี้ เธอเป็นครูสอนภาษาจีนของเขาในสมัยม.ต้น

ชื่อของเธอคือจางหยานเหวิน เธอนั้นเป็นคนที่มีอัธยาศัยและนิสัยที่ดีน่าเคารพ

เธอถือได้ว่าเป็นครูดีๆที่หาได้ยากยิ่ง เป็นคนที่ใส่ใจลูกศิษย์ก่อนตัวเองอย่างแท้จริง

ซูจิ้งเองก็รู้สึกดีกับเธอมากๆเช่นกัน

 

แต่เขาเองก็เคยได้ยินมาว่าสามีของเธอนั้นเป็นคนที่ขี้เกียจและติดการพนันอย่างมาก

จนเป็นหนี้เป็นสินยืมเงินคนอื่นเขาไปทั่ว ครอบครัวเองก็เคยถูกข่มขู่จากพวกทวงหนี้บ่อยๆ

ชีวิตของเธอจึงไม่มีความแน่นอน เธอทนไม่ไหวและห่วงในอนาคตของลูกจึงตัดสินใจทิ้งสามีแล้วพาลูกชายออกจากเมืองฉิงหยุนไป

 

“อาจิ้ง ไม่ได้พบกันนานเลยนะ” จางหยานเหวินจำซูจิ้งได้ในทันทีที่เห็น

เพราะเธอเองก็ได้เห็นซูจิ้งอยู่บ่อยครั้งจากในข่าวและซูจิ้งก็ไม่ใช่เด็กน้อยของเธออีกแต่ไป

แต่กลายเป็นดาราที่ประสบความสำเร็จและร่ำรวย พอไม่เจอหน้ากันมานานหลายปีทำให้เธอไม่แน่ใจว่านิสัยของซูจิ้งจะเปลี่ยนไปรึเปล่า

ถึงแม้ว่าในสมัยนั้นเขาจะเป็นคนที่น่ารักและจิตใจดีก็ตาม แต่เมื่อเวลาผ่านไปเขาโตขึ้นและมีทั้งเงิน อำนาจ และชื่อเสียง สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่กัดกร่อนจิตใจผู้คน เธอจึงไม่กล้าเรียกอย่างสนิทสนมในครั้งแรกที่เจอหลังจากผ่านไปนาน

แต่จากเมื่อกี้เธอรู้สึกได้เลยว่าซูจิ้งแทบจะไม่เปลี่ยนไปเลยซักนิด นั่นทำให้เธอรู้สึกดีมากๆ เมื่อได้เห็นเขาในตอนนี้รู้สึกได้เลยว่าเวลาช่างผ่านไปอย่างรวดเร็วจริงๆ

 

“ครูจาง ทำไมครูถึงได้มาที่สถานีตำรวจกันหล่ะ” ซูจิ้งถามออกมาด้วยใจหวั่นไหว

 

“ไม่รู้ว่าเธอรู้จักคุณครูท่านนี่ด้วยเหมือนกัน ครูจางเป็นผู้แจ้งความน่ะ ลูกชายของเธอหายไป” หวังเซียวที่ทำหน้าที่ประจำสถานีอยู่ตอนนี้เป็นสาเหตุที่ทำให้เขาตามซูจิ้งมา

 

“อาจิ้ง นายต้องช่วยครูนะ ครูมีลูกชายแค่คนเดียว ฉันมีชีวิตอยู่ไม่ได้ถ้าขาดเขาไป”

เธอพูดขอร้องออกมาโดยไม่ยึดถือฐานะความเป็นครูอีกต่อไป

เธอขอร้องออกมาด้วยความเป็นแม่ที่เต็มเปี่ยม

เธอเป็นเพียงคนธรรมดาที่ลูกชายเพิ่งจะหายไปเพียงแค่วันเดียวเท่านั้น ตำรวจอาจไม่สนใจเรื่องของเธอเลยก้ได้

กลับกันถ้าเป็นซูจิ้งที่เป็นดารา มีคนรู้จักนับน่าถือตา

หากเขาพูดอะไรซักหน่อยตำรวจอาจจะเร่งการค้นหาให้เธอก็ได้

 

“อย่ากังวลไปเลยครับครูจาง ผมมาที่นี่ก็เพราะคดีคนหายนี่โดยเฉพาะอยู่แล้ว บอกรายละเอียดของสถานการณ์ทั้งหมดมาหน่อยสิครับว่าครูพบว่าลูกชายหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่” ซูจิ้งพูดออกมา

 

“นี่คือรายละเอียดทั้งหมด นายอ่านจากนี่ก่อนน่าจะเร็วกว่านะ” หวังเซียวพูดอย่างไม่หวงข้อมูลส่งข้อมูลให้ซูจิ้งในทันที สำหรับซูจิ้งที่ขอให้ตามเรื่องนี้เป็นพิเศษเขาไม่มีอะไรต้องกังวล

 

ซูจิ้งจ้องไปที่ข้อมูลที่ได้รับและอ่านจนเสร็จอย่างรวดเร็ว มันช่างดูเรียบง่ายเหลือเกิน

เย็นวันนี้ครูจางเห็นว่าลูกชายเธอไม่กลับบ้าน

พอเธอโทรหาแต่ลูกของเธอไม่รับสาย

พอโทรไปหาที่โรงเรียนก็บอกว่าลูกเธอไม่ได้ไปโรงเรียนตั้งแต่เมื่อเช้า แสดงว่าลูกเธอหายตัวไปทั้งวันแล้ว

ลูกของเธอเองก็เป็นเด็กที่ฉลาดที่สุดในรุ่นและประพฤติตัวดีมาตลอด ไม่เคยขาดเรียนแม้แต่ซักวันเดียว

เธอเองก็ยังไม่เชื่อว่าลูกเธอจะหายแต่รอจนค่ำก็ยังไม่กลับมาซักที เธอจึงมั่นใจในทันทีว่าต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่นอน

 

อย่างไรก็ตามฝั่งตำรวจเองก็คิดจะสืบสวนให้เหมือนกันแต่ก็ว่าจะไม่ได้จริงจังมากนัก

เพราะเคสแบบนี้ปกติจะไม่เกินสองสามวันคนที่หายก็จะกลับมาเอง

สำหรับพวกเขาเป็นเรื่องปกติที่เด็กวัยนี้จะติดเกมและเผลอเล่นแบบข้ามวันข้ามคืนอยู่ตามร้านอินเตอร์เน็ตก็ไม่แปลกอะไร

หรือบางทีก็อาจจะเป็นเที่ยวเล่นอยู่บ้านเพื่อน แต่สำหรับลูกชายของจางหยานเหวินหากเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นจะไม่ถือว่าปรกติได้เลย

 

เอาจริงๆซูจิ้งก็เผลอคิดไปเหมือนกันว่าลูกชายของครูจางอาจไปเที่ยวเล่นเถลไถลจนลืมเวลา

เขาไม่น่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับองค์กรนั้นได้ ต่อให้เขาไม่มาดู เด็กนั่นก็น่าจะกลับมาเองในไม่ช้า

แต่เมื่อเห็นท่าทางของครูจางที่กังวลจนเหมือนใจจะขาด เขาจึงอดที่จะเสียเวลาช่วยเหลือไม่ได้จึงได้ถามออกมาว่า “ครูจางครับ ครูพอจะมีของใช้ติดตัวของเขาบ้างรึเปล่า”

 

“ฉันมีกระเป๋าของเขาอยู่ใบนึง” จางหยานเหวินนำกระเป๋าสะพายหลังออกมา

 

ซูจิ้งนำกระเป๋า หลังจากนั้นเขาหยิบหนังสือที่อยู่ข้างในออกมาแล้วลองเปิดดู

มันเป็นหนังสือที่ลูกของเธอน่าจะกำลังใช้เรียนอยู่

ซูจิ้งนำหนังสือนั้นออกมาแล้วคืนกระเป๋าให้เธอพร้อมบอกว่า “ครูจาง ผมขอหนังสือเล่มนี้ไปก่อนนะครับ

พอดีผมมีฝูงหมาอยู่ฝูงหนึ่งที่มีทักษะด้านการดมกลิ่นอย่างดีเยี่ยม พวกมันน่าจะพอตามรายเขาได้บ้าง”

 

“ฉันจะไปกับนายด้วย” จางหยานเหวินพูดออกมาในทันทีที่ได้ยิน

 

“ครูจางครับ หมาของผมนั้นเร็วมาก ครูตามไม่ทันหรอก รออยู่ที่นี่ดีกว่าเพื่อระหว่างนี้เจ้าหน้าที่หวังอาจจะได้เรื่องลูกของครูเร็วกว่าผมก็ได้” ซูจิ้งพูดออกมา

 

“สร้างความลำบากให้นายแล้ว” ครูจางกล่าวขอบคุณอย่างหมดหัวใจ

 

“อาจิ้ง นายจะให้ฉันไปด้วยรึเปล่า” หวังเซียวถามออกมา เขานั้นไม่เข้าใจว่าทำไมซูจิ้งถึงต้องการให้ตามเรื่องคดีคนหายเป็นพิเศษจนถึงขั้นต้องมาลงมือด้วยตัวเองแบบนี้

 

“ไม่ต้องหรอกพี่เซียว พี่ก็ยุ่งอยู่แล้ว อยู่ที่นี่จัดการเรื่องของพี่ไปก่อนดีกว่า” ซูจิ้งออกมาจากสถานีตำรวจพร้อมทั้งหนังสือของลูกชายครูจาง

ตอนนี้เขาเลือกที่จะไปยังพื้นที่ลานว่างแห่งหนึ่งแทนที่จะกลับไปให้เหล่าหมาๆของเขาดมกลิ่นหนังสือ

ซูจิ้งเปิดหนังสือไปยังหน้าสุดท้ายที่มีการใช้งาน แล้วฉีกกระดาษหน้านั้นออกมาพับเป็นรูปนกพิราบ

จากนั้นนำขวดยาขวดหนึ่งออกมาจากกระเป๋ามิติ เขาได้ใช้เวทย์เพลิงกระตุ้นตัวยาพร้อมทำการโปรยตัวยาลงบนนกกระดาษในทันที หลังจากนั้นซักพัก

นกกระดาษตัวนั้นก็ได้ทำการกระพือปีกกระดาษของมันและบินตรงไปยังทิศทางหนึ่ง

มันบินด้วยความสูงอยู่ที่ 6-7 เมตร ไม่มีใครสังเกตมันแม้แต่น้อยอาจเพราะด้วยเป็นช่วงกลางดึก

มันบินด้วยความเร็วที่ไม่มากนัก ซูจิ้งสามารถใช้การเดินเร็วก็สามารถตามมันได้ทัน

 

การใช้ผงตามรอยนี่ได้ผลดีกว่าให้หนู หมา และหมาป่ามากนัก

น่าเสียดายที่เขาเหลือไม่มากนักเพราะก่อนหน้านี้เขาเองก็ได้ใช้มันจัดการเรื่องคนที่รายงานเรื่องของเขาต่อภาครัฐไปก่อนหน้านี้

ตอนนี้เขาคงทำได้เพียงใช้มันให้น้อยที่สุดเท่านั้น

 

หลังจากผ่านไปสองชั่วโมง นกพิราบกระดาษได้บินไปยังผับแห่งหนึ่ง

นั่นถึงกับทันให้คิ้วของซูจิ้งขมวดไปเล็กน้อย นี่ลูกชายของครูจางมาเที่ยวเล่นในที่แบบนี้ด้วยหรอเนี่ย

เขาไม่รู้รึไงว่าแม่ของเขาต้องตรากตรำหาเงินมาหนักหนาแค่ไหนถึงจะส่งเขาเรียนและมีชีวิตที่ดีได้กัน

มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เขาต้องจับเด็กนี่มาลงโทษก่อนส่งตัวคืนกลับไปยังครูจางให้ได้อย่างแน่นอน

 

เมื่อซูจิ้งเดินเข้าไป เขาได้ยินเสียงดังแบบสุดๆ มีหนุ่มสาวจำนวนหนึ่งกำลังเต้นกันสุดเหวี่ยงอยู่พื้นที่เต้นรำ

ซูจิ้งยังคงตามนกพิราบกระดาษไปจนกระทั่งไปถึงประตูของตู้คาราโอเกะตู้หนึ่ง มีชายใส่แว่นกันแดดตัวสูงยืนคุมเชิงอยู่ที่ประตูสองคน

ทันทีที่ซูจิ้งมายืนอยู่ที่หน้าประตู ชายสองคนนำมือมากั้นพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงเยียบเย็นว่า “ห้ามเข้า”

ซูจิ้งได้ปลดปล่อยจิตสังหารออกมาจนทั้งสองคนผงะและหนึ่งนั้นยอมปล่อยให้ซูจิ้งเข้าไป

เมื่อซูจิ้งเข้าไปเขาพบชายหญิงจำนวนหนึ่งนุ่งน้อยห่มน้อย มีชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังหน้าแดง

และมีชายแก่คนหนึ่งในชุดสูทยอดนิยมยี่ห้อดัง สวมสร้อยทอง นาฬิกาหรู และแหวนเพชร ดูๆไปแล้วเป็นพวกชอบอวดรวยแบบออกนอกหน้า

 

“ดาซู ลูกชายของคุณน่ารักจุง มาให้พี่สาวคนนี้จุ๊บซักทีนึงสิจ้ะ” หญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างๆชายจี้อายจุ๊บแกล้มเด็กหนุ่มไปหนึ่งทีก่อนที่ชายแก่คนนั้นจะพูดขึ้นมาว่า “ฮ่าฮ่า ฮุยน้อย ดูเหมือนว่าหล่อนอยากจะรู้จักลูกนะ

ลูกคิดว่าลูกควรจะมาอยู่กับพ่อหรอ มีทั้งอาหารและเครื่องดื่มดีๆ แม้กระทั่งสาวสวยๆก็ยังมาออกันให้เพียบ

จะไปสนทำไมกับแม่แกกันล่ะ” ชายวัยกลางคนพูดเสร็จก็หัวเราะลั่น

 

“พ่อ พ่อไปเอาเงินมาจากไหนเนี่ย ถ้าพ่อมีมากขนาดนี้ทำไมไม่ไปช่วยแม่มั่งล่ะ” เด็กหนุ่มพูดในขณะที่โยกหัวหลบหญิงสาวคนนั้นเมื่อกำลังอยู่ในเรื่องเดอะแมทริกซ์

 

ตอนนั้น พวกเขาก็ได้รู้สึกตัวว่าซูจิ้งได้เดินเข้ามาหา ชายวัยกลางคนคนนั้นจ้องมองไปที่ซูจิ้งอย่างเอาเรื่องก่อนที่จะพูดออกมาว่า “แกเป็นใคร ใครให้แกมาที่นี่ ออกไปซะ”