GGS:บทที่ 772 เตรียมพร้อมเต็มพิกัด

 

หลังจากซูจิ้งจัดการเลือดหนูที่หลงเหลือจากการทดลองแล้ว เขาได้รับโทรศัพท์จากมู่หรงเซียนเอ๋อ เสียงอันนุ่มนวลได้พูดออกมาว่า “พระเจ้า ฉันจะขอบใจนายยังไงดีเนี่ย”

“ขอบใจที่ช่วยคุณหรอ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม และเขาก็รู้ได้ด้วยว่าทำไมเธอถึงได้ขอบใจเขา

ในช่วงสองวันมานี้ผลพวงจากการเล่นเพลง ส่งผ่านทะนองแห่งรัก กับเพลงวิถีเซียน ทำให้ชาวเน็ตพูดทุ่งกันอย่างกับไฟลามทุ่ง และชาวเน็ตก็ได้ต่อสู้กับข่าวลือเสียๆหายๆของเธอแบบทุ่มสุดตัวยิ่งกว่าเดิม

 

และเมื่อเบื้องหลังข่าวลือและข่าวฉาวได้ถูกเปิดโปงออกมาทำให้ชื่อเสียงและความนิยมของเซียนเอ๋อเพิ่มขึ้นแทนที่จะลดลง

ด้วยเหตุนี้ทำให้ผู้คนตระกูลมู่หรงต่างก็สรรเสริญซูจิ้งที่ได้ช่วยเหลือเขาเอาไว้จากเรื่องข่าวใส่ร้ายนั่น

ถึงขนาดที่พวกเขาต้องการเชิญซูจิ้งไปร่วมมื้อค่ำ

แม้แต่พ่อของเซียนเอ๋อที่อยู่คนละจังหวัดกันก็ยังโทรมาขอบคุณเขาด้วยตัวเอง

 

“ในเมื่อนายไม่ต้องการของตอบแทนจากฉันก็ไม่เป็นไร ฉันขอน้อมรับน้ำใจในครั้งนี้ไวก่อนก็แล้วก็

ถ้าในอนาคตนายมีเรื่องให้พวกฉันช่วยเหลือล่ะก็ อย่าได้เกรงใจกันล่ะ

ตราบใดที่นายไม่ได้ไปฆ่าคนหรือวางเพลิงล่ะก็ ฉันจะช่วยนายเต็มที่แน่นอน” เซียนเอ๋อพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

 

“ได้ ผมจะจำคำพูดของคุณไว้ พอถึงเวลาจริงๆอย่าหนีก็แล้วกัน” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้มก่อนที่จะวางสายไป

ไม่นานนักเขาก็ได้รับสายจากหวังซือหยาและหวังจ้าว

พวกเขาเองก็ยังสงสัยอยู่เกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เข้าใจจริงๆว่าทำไมกับอีแค่เรื่องข่าวฉาวแบบนี้เขาถึงกับต้องลงมือเองด้วย

พวกเขาไม่รู้ว่าทำไมซูจิ้งถึงต้องเป็นกังวลขนาดนั้น ซูจิ้งเองก็ไม่ได้อธิบายอะไรพวกเขา บอกแต่เพียงว่าให้ระวังตัวไว้ให้ดีๆแค่นั้นเอง

“สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือการดูแลตัวเองหล่ะนะ” ซูจิ้งนั้นมีสิ่งสำคัญสองอย่างที่ต้องทำที่สุดในตอนนี้

อย่างแรกคือการนำเศษธนูกลับมาให้ได้ เพราะไม่ว่าใครก็ตามที่ได้มันไปล้วนแล้วแต่เป็นอันตรายต่อเขาทั้งสิ้น

ตอนแรกเขาเองก็คิดว่าถ้าการทดลองสำเร็จเขาจะสร้างกองทัพสัตว์เลี้ยงที่มีสแตนด์แล้วค่อยออกค้นหาองค์กรที่ก่อเรื่อง หรืออาจจะถล่มพวกนั้นในทันทีเลยด้วยซ้ำ ไม่คิดว่าสแตนด์ของหนูขาวนั่นจะใช้ประโยชน์ไม่ได้ขนาดนี้

พอนึกถึงจะต้องไปเจอกับมนุษย์ที่มีความสามารถของสแตนด์ที่มีความสามารถพอๆกับเจ้าหนูนั่นล่ะก็ เขาแทบจะลงมือค้นหาซะตอนนี้เลยทีเดียว

อย่างที่สอง หาวิธีจัดการขยะห้วงเวลาฯให้ดีกว่านี้

หลังจากเรื่องทั้งหมดนี้ขยะห้วงเวลาไม่สามารถปล่อยให้หลุดลอดออกไปยังโลกภายนอกได้อีกต่อไป

แต่เขาเองก็ไม่สามารถเก็บพวกมันไว้ได้ทั้งหมด

สำหรับเขาใจตอนนี้ไม่สามารถทิ้งขว้างมันออกจากสถานีกำจัดขยะได้อีกต่อไป มันเสี่ยงเกินไป

และในโลกนี้ไม่มีใครจิตใจดีสมบูรณ์แน่นอน ต่อให้ระวังยังไงก็จะมีเหตุเล็กๆน้อยทำให้พลาด

และจะกลายเป็นจุดเริ่มต้นแห่งปัญหาในภายหลังได้ซึ่งเขาจะไม่ยอมให้เกิดขึ้นอีกแน่นอน

 

สำหรับการแก้ปัญหาในเรื่องการกำจัดขยะห้วงเวลาฯนั้น เขาเองก็คิดไว้แล้วคร่าวๆสองวิธี

วิธีที่หนึ่งคือการสร้างหรือซื้อเตาเผามาใช้เอง ซึ่งมันก็จะเป็นการเพิ่มค่าใช้จ่ายของเขาอยู่แล้ว

วิธีนี้ง่ายที่สุดแต่ก็ยังมีปัญหาใหญ่อยู่นั่นก็คือง่ายต่อการสังเกตุ

ก่อนหน้านี้ทุกคนก็จะแค่สนใจแต่ขยะของแต่ละคนเท่านั้น แต่ถ้าหากเขาตั้งโรงเผาขยะล่ะก็พวกเขาจะเพ่งเล็งที่นี่ในทันที และอาจเกิดความอิจฉาจนก่อเรื่องขึ้นก็ได้

เขาก็เลยคิดว่าวิธีนี้น่าจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ยิ่งไปกว่านั้นการเผาขยะห้วงเวลาฯเองก็ไม่รู้ว่าจะได้ผลจริงๆรึเปล่า

ยกตัวอย่างเช่นการนำธนูที่เต็มไปด้วยไวรัสนี่ไปเผา

ต่อให้มันถูกเผาจนเป็นเถ้าธุลีก็ตามแต่ก็ไม่มีอะไรยืนยันว่าเถ้าธุลีพวกนั้นจะไม่หลงเหลือไวรัสอยู่

อาจจะยิ่งทำให้เกิดอันตรายมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ

 

วิธีที่สองคือการยกระดับสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯ ถ้าเขาคิดถูกต้องแล้วล่ะก็

หลังจากที่ยกระดับสถานีแล้วควรจะมีระบบกำจัดอัตโนมัติออกมาให้ใช้

เจ้าสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯนี้เอาจริงๆคือมันมีความสามารถที่ล้ำสมัยและปลอดภัยที่สุดแล้วยิ่งกว่าที่ใดๆในโลกหล้า

 

ปัญหาอย่างเดียวคือเขาไม่รู้ว่าเจ้าสถานีฯนี่จะยกระดับเมื่อไหร่ เขารอไม่ได้

 

“ฉันไม่คิดเลยว่าต้องมาฝากความหวังไว้กับของที่ไม่ควรหวังอย่างนี้เลยจริงๆ

อย่างน้อยฉันก็ควรจะเตรียมพร้อมไว้ก่อนสินะ ทั้งเรื่องแผนการ ทั้งเรื่องเซียน”

ซูจิ้งคิดไปดังนั้นจึงได้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เขาโทรไปหาเหว่ยเสี่ยวหยวนก่อนเป็นอย่างแรก

เหว่ยเสี่ยวหยวนเองก็ไม่ได้รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา เธอพูดรับสายอย่างรวดเร็วว่า

“หัวหน้า จะให้ฉันทำอะไรคะ”

 

“ช่วยผมหาหน่อยว่าแถวๆนี้มีโรงเผาขยะ หรือไม่ก็โรงไฟฟ้าพลังงานขยะที่พอจะเป็นเจ้าของได้บ้างรึเปล่า ถ้าไม่มีก็ลองหาพื้นที่แถวๆนี้ที่พอจะสร้างได้ให้ที” ซูจิ้งพูดออกมา

 

“เอ่อ ทำไมพวกเราถึงต้องมีโรงไฟฟ้าพลังงานขยะด้วยล่ะคะ” เธอถามออกมาเพราะเธอไม่เข้าใจว่าทำไมซูจิ้งถึงอยากได้ขนาดนั้น

 

“แน่นอนว่าเรามีขยะที่ต้องจัดการและต้องหลีกเลี่ยงปัญหาสิ่งแวดล้อมด้วย จำเอาไว้ว่าพยายามหาแบบที่มีอุปกรณ์ในการกำจัดดีๆและก่อให้เกิดผลพิษน้อยๆด้วยหล่ะ ส่วนเรื่องเงินไม่ใช่ปัญหา” ซูจิ้งพูดย้ำออกไป

“ฉันจะรีบดำเนินการค่ะ” เหว่ยเสี่ยวหยวนไม่ได้คิดอะไรอีกต่อไปหลังจากได้ยินคำอธิบาย

 

หลังจากวางสายซูจิ้งได้โทรหาเฉิงหนานต่อในทันที และเธอก็รีบรับโทรศัพท์อย่างไว ซูจิ้งได้ถามเธอว่า “ในการคัดเลือกครั้งก่อนมีคนสอบผ่านกี่คนน่ะ”

“หลังจากการสอบไปเราได้ทำการติดตามพวกเขาตลอดเวลาค่ะ

สองคนที่สอบผ่านได้รับการติดต่อจากที่อื่นไปแล้วค่ะ

อีกคนหนึ่งนั้นยังรอผลการพิจารณาอยู่ แต่เท่าที่ติดตามดูแล้วพวกเขาก็ดูมีแววจะอยากทำงานร่วมกับเราเหมือนกันค่ะ”

“หาเวลาแล้วนัดหมายทั้งสามคนมาที่บริษัทพร้อมกันซะ ผมจะเป็นคนสัมภาษณ์ทั้งสามคนด้วยตัวเอง” ซูจิ้งพูดออกไป

“นี่….” เฉิงหนานรู้สึกประหลาดใจใจทันที ด้วยท่าทีของซูจิ้งก่อนหน้านี้ เธอคิดว่าซูจิ้งเองดูเหมือนจะไม่ได้รีบหาคนเพิ่ม ไม่รู้ว่าทำไมอยู่ๆเขาก็รีบใช้คนขนาดนี้ เธอจึงได้พูดออกไปว่า “ได้ค่ะ ตอนนี้ที่ๆพวกเขาทำงานอยู่ก็คือสถาบันวิจัยทางวิทยาศาสตร์ เงินเดือนที่นั่นไม่ได้สูงเท่าที่เราจะเสนอเพราะฉะนั้นไม่น่ามีปัญหาเรื่องนี้ แต่พวกเขาก็ต้องทำงานในวันธรรมดาอยู่ดี เราสมควรจะนัดพวกเขามาในวันอาทิตย์จะดีที่สุด”

“งั้นลองนัดอาทิตย์หน้าก็แล้วกัน” ซูจิ้งพูดออกไป

“ได้ค่ะ” เฉิงหนานพยักหน้ารับ

 

หลังจากนั้นซูจิ้งได้โทรไปยังสำนักความมั่นคงสาธารณะและหวังเซียวเพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวคดีคนหาย

เขายังโทรไปหาซฉือเพื่อช่วยหาข้อมูลเรื่องนี้ด้วย แล้วทำการโทรไปหาหวังซวนจี้และกงหลิงหมิงเพื่อขอข้อมูลและเปิดทางในการสืบสวน

ซูจิ้งทำถึงขนาดปล่อยฝูงแมลงปอออกไปเพื่อคอยสังเกตุและเฝ้าระวังเหตุกาณ์คนหายที่เกิดขึ้นในทุกที่

แต่ก็ยังมีเรื่องน่าปวดหัวอยู่อีกก็คือคนที่หายตัวไปมากกว่าครึ่งไม่ได้ให้เบาะแสอะไรเพิ่มเติม

แม้ซูจิ้งจะรู้ว่าเป็นใครบ้างแต่ก็ไม่มีร่องรอยให้ตามต่อได้ แม้แต่ความสามารถในการติดตามของหมาป่าสงครามก็ยังไม่ได้อะไร

ตอนนี้สามารถอนุมานได้ว่าคนที่ไร้ร่องรอยพวกนั้นน่าจะกลายเป็นบ่อเลือดเน่าไปแล้ว

 

ซูจิ้งคิดขึ้นมาได้ว่าหากเขาต้องการจะสืบสวนเรื่องนี้จริงๆสมควรจะต้องหาคนที่มีสแตนด์แล้วเรียบร้อย

เหล่าคนที่มีสแตนด์สมควรจะปลีกตัวออกจากสังคม หรือไม่ก็ก่อเรื่องประหลาดๆแบบนั้นอีก

ยกตัวอย่างเช่นกรณีของเซียนเอ๋อที่เกือบจะโดนทำลายจากข่าวลือโง่ๆพันนั้น

เหตุการณ์แบบนี้ต้องไม่ใช่ครั้งแรกแน่นอน และเบื้องหลังเรื่องแบบนี้สมควรจะมีคนที่มีสแตนด์อยู่เบื้องหลังไม่มากก็น้อย

 

สองวันหลังจากนั้นซูจิ้งก็ยังไม่ได้อะไรเพิ่มเติม เย็นวันนั้นซูจิ้งได้รับโทรศัพท์จากหวังจ้าวโดยบอกว่า “อาจิ้ง มีคนแจ้งความคดีคนหายอีกแล้ว เพิ่งจะหายไปเมื่อวานนี้เอง”

“คนแจ้งความยังอยู่ที่สถานีตำรวจรึเปล่า” ทันทีที่ได้ยินซูจิ้งมีสายตาที่เป็นประกาย

เหตุการหายตัวที่เกิดขึ้นเมื่อเทียบกันระหว่างหายตัวไปไม่กี่วันกับหายไปนานเป็นเดือน

ข้อมูลที่ได้ย่อมต่างกัน เรื่องแบบนี้ยิ่งรู้เร็วเท่าไหร่ยิ่งดี

“ถูกแล้วล่ะ” หวังจ้าวตอบ

“รั้งเขาเอาไว้ก่อน ฉันจะรีบไปทันที”

ซูจิ้งได้ขี่อินทรีย์ทองตรงไปยังสถานีตำรวจให้เร็วที่สุด เมื่อซูจิ้งเห็นคนที่มาแจ้งความ เขาถึงกับประหลาดใจ และคนที่มาแจ้งความเองก็ประหลาดใจไม่แพ้ซูจิ้งเช่นกัน เขาถามออกมาว่า “คุณซู คุณมาทำอะไรที่นี่กัน”