GG:บทที่ 162 – ตามหานักเขียนให้เจอซะ

เมืองซีจิน

ณ คฤหาสน์ตระกูลถัง ในตอนนี้ ถังหวูฉั่วกำลังนั่งอยู่บนโซฟาตัวยาวขนาบข้างด้วยหญิงสาวผู้มีความสุขุมและมีหน้าตาสวยงามอย่างหาตัวจับยากสองคน

ส่วนผู้ที่นั่งอยู่บนโซฟากลางห้องเป็นชายวัยกลางคน เส้นผมบนศีรษะเป็นประกายมันปลาบ ดวงตาโต จมูกเชิดสูง วงหน้ามีราศีที่น่าเลื่อมใส ขัดแย้งกับเสื้อผ้าที่สวมใส่ ซึ่งเป็นแค่เสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นลายดอกและรองเท้าแตะธรรมดาคู่หนึ่ง

บุรุษวัยกลางคนผู้นี้ก้มหน้ามองโทรศัพท์มือถือในมือ พลางยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบ คิ้วขยับขึ้นลงเล็กน้อยเป็นระยะ

เมื่อเห็นอากัปกิริยานี้ มู่จี่หยาก็รีบโน้มกายรินน้ำชาให้ทันที

ทันใดนั้น บุรุษวัยกลางคนก็พูดออกมาอย่างไม่พอใจว่า “ไอ้นักเขียนคนนี้มันจบตอนแบบค้างคาอีกแล้ว แถมยังอัพเรื่องช้ายิ่งกว่าอะไรดี คนอะไรเขียนลงแค่วันละตอน ยังมีหน้ามาขอให้คนอ่านช่วยกดโหวต กดซื้อ กดแนะนำอีก ถังหวูฉั่วส่งคะแนนโหวตไปให้ไอ้นักเขียนคนนี้มันหน่อยซิ แล้วก็อย่าลืมล่ะ หาตัวมันให้เจอ และบังคับมันให้เขียนให้ฉันอ่านทุกๆ วัน บอกมันไปว่าถ้ามันไม่ทำ มันตายแน่!”

ถังหวูฉั่วพูดพร้อมกับยิ้มแห้งๆ “ได้ครับอาจารย์ เดี๋ยวผมจัดการให้”

บุรุษผู้มีนามว่าหยูเฉิงเหรินเป็นคนที่ช่วยถังหวูฉั่วตอนใกล้ตายเอาไว้เมื่อ 5 ปีที่แล้ว อีกทั้งยังเป็นคนสอนวิชาต่างๆ ให้เขาอีกด้วย ที่ถังหวูฉั่วสามารถกลับมาแสดงความยิ่งใหญ่ในเมืองและทวงทุกสิ่งที่เคยเป็นของเขากลับคืนมาได้อีกครั้ง ก็เป็นเพราะชายผู้นี้นี่เอง

หยูเฉิงเหรินวางโทรศัพท์มือถือลงและหยิบถ้วยน้ำชาขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะยกขึ้นจิบ “ไม่ได้เจอกันมาหลายปี เดี๋ยวนี้เปิดฮาเร็มแล้วเรอะ”

“ต้องขอบคุณอาจารย์มากนะครับ ไม่งั้นผมคงไม่มีวันแห่งความสำเร็จแบบนี้” ถังหวูฉั่วพูดอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน แสดงความภักดีที่มีต่ออาจารย์ด้วยความจริงใจ ถ้าไม่มีอาจารย์ในวันนั้น ก็ไม่มีเขาในวันนี้

“นายก็ดีแต่เรื่องผู้หญิงนี่แหละ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปสักนิด ในฐานะอาจารย์ของนาย ฉันผิดหวังจริงๆ” หยูเฉิงเหรินวางถ้วยน้ำชาลงและหยิบบุหรี่ออกมา ถังหวูฉั่วทำหน้าที่จุดไฟแช็คให้ทันที

หลังจากนั้นเขาก็กล่าวว่า “อาจารย์เห็นใจผมด้วย กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ ผมก็เหนื่อยล้าไปหมด กว่าจะขึ้นสู่อำนาจได้เหมือนเดิม มันไม่ง่ายเลยนะครับ”

“แต่นายต้องมีสติอยู่กับตัวให้มากกว่านี้” หยูเฉิงเหรินอัดควันเข้าปอดและพูดด้วยน้ำเสียงตำหนิติเตียน

ถังหวูฉั่วก้มหน้ารับฟังแต่โดยดี เขาจะแสดงความฉุนเฉียวออกมาต่อหน้าอาจารย์ไม่ได้ ด้วยทราบดีว่าอาจารย์สามารถปลิดชีวิตเขาได้ด้วยนิ้วมือเพียงนิ้วเดียว

“ฉันมาที่นี่ก็เพื่อจะถามนายว่า ทำไมถึงไม่เอาอาวุธศักดิ์สิทธิ์โบราณมาให้ได้ ถึงมันจะไม่มีราคา แต่ก็สามารถกรุยทางให้นายได้สะดวกกว่านี้เยอะ!”

เมื่อได้ยินประโยคนี้ ควั่นอันหยงก็กล่าวแทรกขึ้นว่า “อาจารย์คะ อย่าโทษถังหวูฉั่วเลยนะคะ ทุกอย่างเป็นเพราะเย่เสี่ยว และเย่เสี่ยวก็เป็นคนที่ผิดสัญญา นอกจากนี้…”

“อันหยง ไม่ต้องพูด!” ถังหวูฉั่วกระซิบด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด

หยูเฉิงเหรินถึงกับดวงตาแข็งค้างไปทันทีและพูดออกมาอย่างเชื่องช้าว่า “ดูให้ดีเถอะ นอกจากนายจะไม่มีความทะเยอทะยานแล้ว ยังปล่อยให้ผู้หญิงมาสั่งสอนอาจารย์หน้าตาเฉย ไม่รู้หรือไงว่าตอนที่ผู้ชายคุยกันอยู่ ผู้หญิงห้ามแทรก!”

ใบหน้าที่สวยงามของควั่นอันหยงซีดขาวในพริบตา

“พวกเธอสองคนออกไปก่อน” ถังหวูฉั่วพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำอย่างที่สมควรทำ แม้จะรู้ดีว่าหญิงสาวกล่าวด้วยเจตนาดี แต่นี่คือผลลัพธ์ที่พวกเธอคงคิดไม่ถึง

มู่จี่หยาและควั่นอันหยงรีบออกไปจากห้องทันที ดูเหมือนว่าอาจารย์ของถังหวูฉั่วจะอารมณ์ไม่ค่อยดีนักตั้งแต่ที่พบว่านักเขียนคนโปรดยังไม่อัพนิยายให้อ่าน

“อาจารย์ครับ ถ้าพวกเธอไม่เข้าใจ ก็อย่าไปถือสาเลยนะ” ถังหวูฉั่วพูดด้วยน้ำเสียงประจบเอาใจ ด้วยว่าสถานการณ์ในตอนนี้ เขาต้องการความช่วยเหลือจากอาจารย์มากที่สุด

“พวกเธอไม่เข้าใจ แต่นายก็ยังทำตามที่พวกเธอบอก เห็นหรือยังล่ะว่าผู้หญิงคือสิ่งที่ทำให้ตัวนายไม่มีสมาธิ!”

ถังหวูฉั่วรีบตอบทันทีว่า “เข้าใจแล้วครับอาจารย์ ผมเข้าใจแล้ว”

“ฉันช่วยชีวิตนายไว้ ฉันสอนวิชาต่างๆ ให้นาย ไม่กี่ปีที่แล้วนายยังเป็นศิษย์ที่ฉันภูมิใจ แต่ตอนนี้ฉันผิดหวังเหลือเกิน ถ้าฉันเลิกเป็นอาจารย์ของนาย ก็อย่าแปลกใจก็แล้วกัน”

ถังหวูฉั่วก้มหน้ารับฟังคำตำหนิแต่โดยดี

หยูเฉิงเหรินถอนหายใจออกมายาวแรง “ได้ยินว่าเจดีย์เก้าปีศาจ ตกอยู่ในมือของตระกูลไป๋แล้วสินะ”

เมื่อได้ยินอาจารย์เปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปเป็นเรื่องของอาวุธศักดิ์สิทธิ์โบราณ ถังหวูฉั่วก็รู้สึกว่าตนเองกลับมามีความหวังอีกครั้ง ตราบใดที่อาจารย์ยังช่วยเหลือเขาอยู่ ทุกอย่างก็จะต้องราบรื่นอย่างแน่นอน

“สายข่าวของเราบอกมาแบบนั้นครับ ตอนที่หวังต้าเป่าได้เจดีย์เก้าปีศาจ เขาก็รีบหนีกลับมาหาตระกูลไป๋ที่เมืองซีจินทันที”

หยูเฉิงเหรินหยุดชะงักไปเล็กน้อย “ทีนี้ตะกูลไป๋ก็มีอาวุธโบราณอยู่ในมือ ตระกูลเสี่ยวนั้นมีอยู่แล้ว เหลือแต่นายนี่แหละที่ยังไม่มี นายอยากให้ฉันช่วยทำอะไรล่ะ ไปขโมยอาวุธของพวกเขามาหรือไง?”

“ผมไม่กล้าคิดแบบนั้นหรอกครับ”

“กฎระหว่างตระกูลเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงกันไม่ได้ ถ้านายอยากเข้าร่วมด้วย นายก็ต้องมีอาวุธโบราณอยู่ในมือ แล้วตอนนี้ตระกูลของนายเล็งอาวุธชิ้นไหนเอาไว้บ้างหรือยัง?”

คำตอบนี้แทบไม่ต้องคิดเลย อาวุธที่ถังหวูฉั่วอยากได้ ก็คือกระบี่เซวียนหยวนของตระกูลเสี่ยว

“ผมเล็งของตระกูลเสี่ยวเอาไว้” ถังหวูฉั่วตอบออกมาในที่สุด

“ในเมื่ออยากได้ของตระกูลเสี่ยว แล้วทำไมถึงยังไม่เริ่มลงมืออีก!” หยูเฉิงเหรินถาม

ถังหวูฉั่วยังคงลืมเลือนมิตรภาพในอดีตไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อก่อนเสี่ยวยี่ก็เคยช่วยเหลือเขาเอาไว้มาก จึงเป็นเรื่องทำใจได้ยากที่จะแทงข้างหลังคนกันเองแบบนี้!

“คนเราเวลาทำเรื่องใหญ่ ต้องแยกเรื่องส่วนตัวกับเรื่องงานออกจากกันให้ได้สิ”

“ผมจะจำคำสอนนี้เอาไว้ครับ”

บรรยากาศในห้องนั่งเล่นกลายเป็นเย็นเฉียบ ถังหวูฉั่วไม่กล้าหายใจออกมาด้วยซ้ำ

“ได้ข่าวว่าเมื่อคืนนี้คนตายกันหมด แถมถูกดูดเลือดจนศพแห้งเลยใช่ไหม?” หยูเฉิงเหรินถามต่อทันที

“ข่าวลือเป็นแบบนั้นครับ เห็นว่าคนของฝั่งเหนือก็หายไปเยอะเหมือนกัน”

หยูเฉิงเหรินพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “น่าจะเป็นฝีมือของคนในโลงนั่นแหละ”

“อาจารย์รู้ได้ยังไงครับ?”

“ถ้านายฉลาดสักหน่อย ก็จะรู้ว่าตัวเองโดนหลอก” หยูเฉิงเหรินหัวเราะในลำคอ หยิบห่อขนมขบเคี้ยวที่อยู่บนโต๊ะมาแกะออก และเคี้ยวกินกรุบกรับอย่างช้าๆ

ถังหวูฉั่วตกใจจนหน้าไร้สีเลือด เขานึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

“ถ้าให้อาจารย์สู้กับคนคนนี้ ผลแพ้ชนะจะเป็นยังไงครับ?”

“ห้าสิบ ห้าสิบ”

ถังหวูฉั่วใจหายวูบ อาจารย์ของเขาดูจะประเมินฝีมือของคนคนนี้ไว้สูงมาก ซึ่งเป็นอะไรที่น่ากลัวจริงๆ

“เอาเถอะ นายช่วยเล่าพฤติกรรมของไอ้โม่งดำคนนั้นให้ฉันฟังหน่อย” หยูเฉิงเหรินกล่าวต่อไป

ถังหวูฉั่วเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้อาจารย์ฟัง เมื่อฟังจบแล้ว หยูเฉิงเหรินก็นั่งครุ่นคิดอยู่ในความเงียบ

ผ่านไปเนิ่นนาน หยูเฉิงเหรินก็พูดออกมาในที่สุดว่า “ไอ้โม่งดำคนนี้ไม่ใช่คนที่สำคัญที่สุด กุญแจสำคัญของเรื่องนี้ คือคนที่อยู่เบื้องหลังมันมากกว่า”

“แต่เราคิดว่าไอ้โม่งดำมันเป็นหัวหน้าใหญ่นะครับ”

“ฉันฆ่าผู้หญิงของนายทิ้งให้หมดดีไหมเนี่ย! นายมัวแต่หลงผู้หญิงจนสมองเลอะเลือนไปหมด มองไม่เห็นกลลวงอะไรเลยสักนิด” พูดแล้ว ดวงตาของหยูเฉิงเหรินก็เป็นประกายเย็นเยียบ

“แต่ว่า…”

“ถังหวูฉั่ว เดี๋ยวนี้นายกล้าตั้งคำถามกับอาจารย์ของตัวเอง เห็นไหมว่าฉันพยายามพูดอะไรอยู่”

ถังหวูฉั่วกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ ไม่กล้าสบตามองอาจารย์อีกแล้ว

“ผมขอโทษครับ”

“คนเราเมื่อมองข้ามฝุ่นเม็ดเล็กแค่เม็ดเดียว หารู้ไม่รู้เลยว่าสุดท้ายแล้ว ฝุ่นเม็ดนั้นก็ลอยมาเข้าตาเราได้” หยูเฉิงเหรินพูดด้วยน้ำเสียงดุดันเหมือนกำลังปรามาสศัตรู

“ผมจะจำคำสอนที่ยอดเยี่ยมนี้ของอาจารย์เอาไว้ครับ!” ถังหวูฉั่วใช้วิธีการขอโทษที่ง่ายที่สุด ซึ่งก็คือการประจบเอาใจ

หยูเฉิงเหรินเอนกายพิงโซฟา ดวงตาเหม่อลอยเล็กน้อย ก่อนที่จะพูดว่า “ฉันรู้สึกได้ว่าความขัดแย้งระหว่างฝั่งเหนือกับฝั่งใต้เป็นแผนการที่ตระกูลชิงวางเอาไว้ ถังหวูฉั่ว ฉันว่าเราต้องสืบสวนตระกูลชิงแล้วละ”

“รับทราบครับอาจารย์ ที่แท้คนของตระกูลชิงก็อยู่เบื้องหลังใช่ไหมครับ?”

หยูเฉิงเหรินถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง “อาจจะเป็นคนของตระกูลชิงในระดับเจ้านาย หรือไม่ก็พวกพนักงานรักษาความปลอดภัย หนึ่งในนี้แหละที่เป็นคนบงการเรื่องทั้งหมด!”

พูดจบ บุรุษวัยกลางคนก็ลุกขึ้น “เอาล่ะ ฉันขอตัวไปพักผ่อนก่อน”

“อาจารย์อยากให้ผมจัดหาอะไรให้เป็นพิเศษไหมครับ?”

“นายเก็บผู้หญิงไร้ประโยชน์พวกนั้นเอาไว้ให้ตัวเองเถอะ อย่าลืมตามหาตัวนักเขียนคนนั้นให้ฉันด้วย ถ้านายทำไม่ได้ ฉันนี่แหละจะหักขานายเป็นคนแรก!”

“เอ่อ…ได้เลยครับอาจารย์”