GG:บทที่ 163 – อยากเล่นเกมส์ ไม่อยากไปเรียน

อีกฝั่งหนึ่งของเมืองซีจิน ที่แห่งนี้มีสภาพแวดล้อมที่เคยสดใสสวยงาม แต่ตอนนี้กลับมืดหม่นอมทุกข์ โดยเฉพาะในยามราตรีเช่นนี้ คฤหาสน์หลังใหญ่ตั้งอยู่ในความมืดมิดราวกับเป็นบ้านผีสิง

นี่คือคฤหาสน์ตระกูลเสี่ยว!

ในขณะนี้ เสี่ยวยี่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ในห้องลับ เพื่อโคจรพลังให้จิตใจสงบ แต่ดูจากใบหน้าที่ถมึงทึงแล้ว เห็นได้ชัดว่าจิตใจของเขาไม่สงบอย่างที่ต้องการเลยสักนิด!

นั่นเป็นเพราะว่าภรรยาของเขาเสียชีวิต แต่เสี่ยวยี่ไม่กล้าจัดงานศพ ศพของภรรยาจึงยังถูกแช่แข็งอยู่

ลูกของเขาทราบเพียงแต่ว่าผู้เป็นแม่เดินทางไปทำธุระ และอีกไม่กี่วันก็จะเดินทางกลับมาแล้ว แต่เสี่ยวยี่รู้ความจริงดี ถึงเขาอยากให้ผู้เป็นภรรยากลับมามากขนาดไหน เธอก็ไม่อาจฟื้นคืนจากความตายได้!

เธอไม่มีวันกลับมาอีกแล้ว!

ในตอนที่เสี่ยวยี่ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ดวงตาของเขากลายเป็นสีแดงก่ำ การต่อสู้กับชายผู้สวมใส่เสื้อคลุมสีดำ ทำให้เส้นเลือดในร่างกายของเขาแตกออกจำนวนมาก ส่งผลให้เสี่ยวยี่ตกอยู่ในสภาวะบาดเจ็บสาหัส แต่นั่นก็ไม่เท่ากับความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นกับหัวใจจากความตายของภรรยา เสี่ยวยี่รู้ดีว่าอาการบาดเจ็บครั้งนี้ คงไม่สามารถฟื้นฟูร่างกายให้กลับมาสมบูรณ์ได้อีกครั้ง และไม่แน่ เขาอาจจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานด้วยซ้ำ

แต่ถ้าเกิดเขาตายไป แล้วใครจะอยู่ดูแลลูกล่ะ!

ศัตรูเก่าของเขาคงกำลังเตรียมการรุมขย้ำอย่างไม่รอช้า เมื่อเสี่ยวยี่คิดถึงข้อนี้ มุมปากก็มีเลือดไหลซึมออกมา ร่างกายของเขายังไม่พร้อมจริงๆ

เสี่ยวยี่ตัดสินใจเดินลากสังขารเปิดประตูออกมาจากห้องลับ แต่เมื่อเดินพ้นประตูออกมาแล้ว แผ่นหลังที่งองุ้มกลับเหยียดขึ้นตั้งตรง ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นทำให้ต้องกลืนน้ำลายอึกใหญ่ แต่เขาจะไม่ทำให้บรรดาสาวๆ ต้องเป็นกังวลเด็ดขาด

เสี่ยวยี่เดินเข้าสู่ห้องนั่งเล่นด้วยพละกำลังทั้งหมดที่เหลืออยู่ในร่างกาย ใครจะรู้ว่าภรรยาของเขากำลังนั่งรวมตัวกันอยู่ คล้ายกับว่ากำลังประชุมเรื่องอะไรบางอย่าง

“พี่เสี่ยว นั่งสมาธิเสร็จแล้วเหรอคะ” หยูฉีรีบกระวีกระวาดเข้ามาช่วยพยุงเขาด้วยร่างกายที่ท้องโย้เล็กน้อย

เสี่ยวยี่ฝืนยิ้มออกมา มองไปที่หน้าท้องของหยูฉี “เธอเป็นยังไงบ้าง?”

“ไม่ต้องห่วงเราหรอกค่ะ พี่เสี่ยว พวกเราสบายดี” หยูฉีประคองเสี่ยวยี่นั่งลงบนเก้าอี้ตัวใหญ่คล้ายบัลลังก์

ซูหนานเดินเข้ามาหยุดยืนอยู่ข้างกายหัวหน้าตระกูลเสี่ยว ใบหน้าที่สวยงามและเยือกเย็นของเธอแสดงออกชัดเจนว่าอยากดูแลเขาเช่นกัน

เสี่ยวยี่รู้ดีว่าซูหนานมีเจตนาอะไร และเขาแน่ใจว่าคงปิดเรื่องอาการบาดเจ็บของตนเองได้อีกไม่นาน แต่เสี่ยวยี่คิดว่าถ้าพวกเธอไม่รู้จะดีที่สุด อย่างน้อยก็ในตอนนี้

ซูหนานแอบขยิบตาส่งสัญญาณให้หยูฉี หัวใจของเธอกระตุกวูบด้วยความเป็นกังวล ยิ่งเข้าใกล้เสี่ยวยี่มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งแน่ใจว่าเขาบาดเจ็บสาหัสมากขึ้นเท่านั้น

“นี่นั่งคุยเรื่องอะไรกันอยู่ล่ะ?” เสี่ยวยี่พยายามแสดงท่าทีผ่อนคลาย เดี๋ยวนี้เขาถอนตัวจากความวุ่นวายของโลกภายนอก ไม่ค่อยได้สนใจเรื่องราวต่างๆ สักเท่าไหร่แล้ว

หยูฉียิ้มแล้วพูดว่า “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ เรื่องบริษัทน่ะ”

“ต้องมาคุยเรื่องบริษัทกันถึงที่นี่เลยเหรอ เอาเป็นว่าอย่าไปสนใจมันเลยก็แล้วกัน” เสี่ยวยี่หัวเราะในลำคอด้วยความขมขื่น ถ้าเขาย้อนเวลากลับไปได้ เสี่ยวยี่ก็อยากจะเรียนรู้จากหวังต้าเป่าและจ่ายเงินไปซะ

จ่ายเงินชดใช้ค่าเสียหายและรับฟังคำแนะนำจากผู้มีประสบการณ์!

สองหญิงสาวที่อยู่ในห้องหันมองหน้ากัน แล้วในที่สุด ซูหนานก็บอกเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นออกมา

“ถังหวูฉั่วส่งเงินมางั้นเหรอ น่าสนใจดีนี่” เสี่ยวยี่พูดออกมาด้วยความโล่งอก อย่างน้อยอีกฝ่ายหนึ่งก็ไม่ได้แห้งแล้งน้ำใจเกินไปนัก

หยูฉีพูดออกมาด้วยความไม่เข้าใจว่า “พี่เสี่ยว เมื่อก่อนพี่สนิทกับถังหวูฉั่ว แต่เดี๋ยวนี้เขากลับมาเพื่อแก้แค้น ฉันคิดว่าเขาคงไม่ส่งเงินมาให้เฉยๆ แน่”

“บางทีเขาอาจจะแค่ห่วงอาการบาดเจ็บของฉันก็ได้ ไม่ว่าถังหวูฉั่วจะมีเจตนาดีหรือเลว แต่ฉันก็จะไม่ตกหลุมพรางเหมือนกับตระกูลอื่นหรอก” เสี่ยวยี่พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่พยายามปฏิเสธว่า ตนเองไม่ใช่ผู้อ่อนแอ

สองหญิงสาวไม่พูดอะไรอีก พวกเธอไม่อยากทำให้ผู้เป็นสามีโกรธเกรี้ยว ทุกอย่างต้องทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่อย่างนั้น สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นอาจหนักหนามากกว่าเดิมก็ได้

หลังจากที่นั่งฟังบรรดาหญิงสาวเล่าเรื่องต่างๆ ได้พักใหญ่ เสี่ยวยี่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมามากนัก ในใจเขาค่อนข้างรู้ตัวดี ตระกูลเสี่ยวอยู่ในภาวะสุ่มเสี่ยงที่จะล่มสลาย!

สองหญิงสาวไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมาเท่าไหร่ พวกเธอไม่อยากกระตุ้นความรู้สึกโกรธแค้นของเสี่ยวยี่อีก

หยูฉีพูดออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “พี่เสี่ยว ตะกูลไป๋อาจจะเล่นงานเราก็ได้ เราต้องวางแผนรับมือแล้วนะคะ”

“ตระกูลไป๋เหรอ? ฉันว่าไม่ใช่แค่ตระกูลไป๋หรอก กระบี่เซวียนหยวนที่อยู่ในมือฉัน เป็นของล้ำค่า ใครๆ ก็อยากได้มันไปครอบครอง” เสี่ยวยี่พูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น แต่กลับเต็มไปด้วยความรู้สึกเดือดดาล

“พี่เสี่ยว มอบกระบี่ของเราให้พวกเขาไปเถอะค่ะ ใครอยากได้มันไปก็ให้พวกเขาสู้กันเอง” ซูหนานให้คำแนะนำตามแบบฉบับที่ผู้หญิงทุกคนควรจะคิด ถึงจะไม่มีกระบี่อีกต่อไป แต่หากคนยังอยู่ ก็ย่อมดีกว่าเป็นไหนๆ

แต่เสี่ยวยี่ไม่คิดเช่นนั้น ถ้าไม่มีกระบี่อีกต่อไปแล้ว เขาก็จะต้องตายเร็วขึ้นอย่างแน่นอน เหตุผลที่ไม่มีใครกล้าลงมือบุกเข้ามาช่วงชิงกระบี่ ก็เพราะทุกคนไม่รู้ว่าอาการบาดเจ็บของเขามันหนักหนามากน้อยเพียงใด ถ้าปล่อยให้มีใครรู้ว่าตัวเขาเองตกอยู่ในสภาพร่อแร่ รับรองได้ว่าพวกมันต้องรุมเข้ามาเล่นงานเขาแน่นอน

อย่างเดียวที่เสี่ยวยี่ยินดีนำกระบี่เซวียนหยวนไปแลกเปลี่ยนด้วยก็คือ การรับประกันว่าชีวิตของคนตระกูลเสี่ยวจะต้องปลอดภัย!

“ไม่ต้องห่วง ฉันวางแผนเอาไว้แล้ว” เสี่ยวยี่หัวเราะในลำคอ ถ้ากระบี่ไม่สามารถแลกเปลี่ยนกับความปลอดภัยได้ อย่างนั้นเขาก็ยินดียอมตายไปกับมัน

สองหญิงสาวเชื่อมั่นในตัวเขาอย่างเต็มเปี่ยม พวกเธอคิดว่าเสี่ยวยี่มีวิธีจัดการเรื่องราวต่างๆ ได้ดีอยู่เสมอ ดังนั้น สีหน้าของพวกเธอในตอนนี้จึงมีความสุขขึ้นมาแล้ว

“พี่เสี่ยว มาทานอาหารกันก่อนเถอะค่ะ จะอย่างไรกองทัพต้องเดินด้วยท้อง เมื่อท้องอิ่มแล้วเราถึงจะมีเรี่ยวแรงไปทำเรื่องราวต่างๆ ได้” หยูฉีพูดในขณะที่ตนเองกับซูหนานช่วยพยุงเสี่ยวยี่ลุกขึ้นยืน ซูหนานฉวยโอกาสนี้แตะชีพจรของผู้เป็นสามี พลันใบหน้าของเธอก็ซีดขาวราวกระดาษไร้สีเลือด

ชีพจรของเสี่ยวยี่อ่อนมากเหมือนคนตายไม่มีผิด!

ดังนั้นสิ่งที่เธอรู้ในตอนนี้ก็คือ พี่เสี่ยวกำลังจะตาย!

เสี่ยวยี่มองหน้าซูหนาน แววตาของเขาสื่อความหมายชัดเจน เขาไม่อนุญาตให้เธอพูดในสิ่งที่เพิ่งรู้ ดังนั้นบรรยากาศที่โต๊ะอาหารจึงปราศจากความสุข และปกคลุมด้วยความทุกข์ที่ชวนอึดอัดเป็นอย่างยิ่ง

ในขณะเดียวกัน ชิงบาร์ก็กำลังรับประทานอาหารอยู่เช่นกัน

ทุกคนมารวมตัวกันอยู่ที่โต๊ะอาหารขนาดใหญ่

บนโต๊ะเรียงรายด้วยกุ้งเผาน่ารับประทาน…

ชิงหยาถึงกับตกตะลึงไปไม่น้อย นี่คือการแก้แค้นจากเย่ฮัวที่เธอทำมึนตึงใส่เขา

“โห กุ้งเผาซะด้วย ของโปรดของหนูเลยนะ” เย่จีจี้หยิบถุงมือสำหรับแกะกุ้งมาสวมใส่และเริ่มต้นกินก่อนใคร

เย่ฮัวไอออกมาเล็กน้อยและหันไปมองหน้าชิงหยา

ชิงหยากัดริมฝีปาก แต่ก็หยิบถุงมือมาแกะกุ้ง เสร็จแล้วจึงจิ้มน้ำจิ้มและนำไปวางไว้ในชามข้าวของสามีแต่โดยดี

เย่ฮัวแสดงสีหน้าพอใจมาก เนื้อกุ้งยิ่งดูหอมอร่อยมากกว่าเดิมหลายเท่า

ชิงหยูตงมองคู่สามีภรรยาและก็รู้ว่าอะไรเป็นอะไรได้ไม่ยาก ไม่ต้องพูดก็ดูออกว่าพี่เขยของเธอชนะหมดทุกประตู

“พี่เขยคะ กินกุ้งค่า” ชิงหยูตงจะปล่อยโอกาสนี้ให้หลุดมือไปได้อย่างไร เธอรีบแกะกุ้งให้กับเย่ฮัวบ้างทันที

“พี่คะ หนูแกะกุ้งให้นะ” เย่จีจี้และชิงหยูตงมีจิตใจที่ต่างกัน แต่ก็ดูจะทำเพื่อหวังผลประโยชน์ด้วยกันทั้งคู่

และเย่ฮัวก็ไม่สามารถควบคุมอะไรได้อีกแล้ว ตราบใดที่ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี ก็จงมีความสุขไปกับมันซะ!

“เย่จีจี้ อีกครึ่งเดือนเธอต้องเรียนหนังสือแล้วนะ” เย่ฮัวพูดออกมาเสียงเบาพลางกินกุ้งและยกน้ำสไปรซ์ขึ้นดื่ม

แต่เขาจะปล่อยให้เธอไปโรงเรียนสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ ไม่อย่างนั้น มีหวังเย่จีจี้ได้ไปกินคนหมดทั้งโรงเรียนพอดี

และเป็นไปตามคาด พอได้ยินว่าจะต้องเรียนหนังสือ เย่จีจี้ก็ออกอาการงอแงทันที “พี่คะ หนูไม่อยากเรียนหนังสือ หนูอยากเล่นเกมส์”

เย่ฮัวและชิงหยาหันขวับมองหน้าชิงหยูตงพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ชิงหยูตงแกล้งแกะกุ้งต่อไปเงียบๆ ทำเป็นไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น “พี่สาวคะ กินกุ้ง พี่เขยคะ กินกุ้ง”

“ชิงหยูตง! นี่เธอสอนอะไรน้องเนี่ย!” ชิงหยาตำหนิด้วยน้ำเสียงเอาจริง เพียงแค่ปล่อยให้อยู่กับน้องสาวของเธอไม่เท่าไหร่ เย่จีจี้ก็ไม่อยากเรียนหนังสือและอยากจะเอาแต่เล่นเกมส์อยู่กับบ้านเสียแล้ว

ชิงหยูตงยกมือขึ้น พูดว่า “พี่เขยคะ พี่สาวขา มันไม่ใช่ความผิดของฉันนะ”

หลังจากนั้น เธอก็หันไปมองเย่จีจี้

“พี่ชายคะ พี่สาวขา ไม่ต้องโทษพี่ชิงหยูตงหรอกค่ะ พี่เขาช่วยสอนหนูเล่นเกมส์ตั้งเยอะ ไม่งั้นนะ หนูคงเก็บปืนไม่เป็น ทิ้งระเบิดกลางอากาศไม่ได้ นี่มันเป็นความผิดของหนู หนูมันเป็นเด็กติดเกมส์เองค่ะ” เย่จีจี้พูดด้วยน้ำเสียงน่าสงสาร

ตุบ

“นี่!”

ชิงหยูตงทำหน้าเหมือนคนที่กำลังจะกระอักเลือด “เธอมาขอร้องให้ฉันช่วยสอนเองนะ ฉันก็สอนให้ตามที่เธอต้องการแล้วไง ยังจะเอาอะไรอีก”