ตอนที่ 670: การกลับมาของบรรพชน (2)
“ท่านแม่ ท่านป้า ดูเหมือนว่าพวกท่านจะอยู่ที่นี้กันพร้อมหน้าพร้อมตาทุกคนเลย” เจี้ยนเฉินกล่าวทักทายและเดินเข้าใกล้พวกเขาด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า
“เซียงเอ๋อ เจ้ามาได้เวลาประจวบเหมาะพอดีเลย แม่มีเรื่องที่จะคุยกับเจ้าพอดี” ไป๋หยุนเทียนจับมือเจี้ยนเฉินและดึงเขาให้นั่งลง ก่อนที่เขาจะเอ่ยคำใด ๆ ไป๋หยุนเทียนเริ่มพูดก่อน “เซียงเอ๋อ วันนี้แม่ต้องการจะพูดกับเจ้าเรื่องป้าสาม นางทำผิดกับลูกที่ผ่านมา แต่อย่างไรก็ตามเราก็คือครอบครัวเดียวกัน แม่หวังว่าเจ้าจะให้อภัยป้าของเจ้าและไม่ถือโทษเรื่องในอดีต”
เจี้ยนเฉินรู้สึกแปลกใจที่ได้ยินเยี่ยงนี้และหันไปมองที่ป้าสาม เขาไม่เคยได้รับอะไรดีดีจากนางเลย ตั้งแต่เขาจำได้ว่านางเคยทำกับเขายังไง มันเริ่มตั้งแต่แรกเลย ที่นางทำให้ชีวิตเขายุ่งยากและเต็มไปด้วยอุปสรรคต่าง ๆ
ไป๋ยู่ซวงรู้สึกว่าตัวเองเงียบขึ้นไปอีกเมื่อรู้ว่าเจี้ยนเฉินจ้องมาที่หน้าของนาง นางฝืนยิ้มบนใบหน้า แล้วพูดว่า “เซียงเอ๋อ ข้าทำผิดต่อเจ้ามากมายเพราะความใจแคบของข้า ข้าบกพร่องในหน้าที่ของการเป็นป้า สองสามวันที่ผ่านมานี้ ป้าทบทวนกับตัวเอง ป้ายอมรับผิดและหวังว่าเจ้าจะยอมยกโทษให้ป้า เซียงเอ๋อ ป้าหวังว่าเจ้าจะยกโทษให้ป้าและให้โอกาสป้าอีกครั้ง”
แต่เจี้ยนเฉินตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มที่ฉีกกว้างว่า “ข้าลืมเรื่องเก่า ๆ ไปหมดแล้วล่ะ ! ป้าสาม ท่านไม่ควรจะเป็นกังวลไปกับเรื่องนั้น”
ถึงเจี้ยนเฉินจะไม่เคยได้รับอะไรดีดีจากนางเลย แต่อย่างไรนางก็เป็นป้าของเขา ในฐานะฮูหยินสามของพ่อเขา นางก็เป็นคนในครอบครัวที่ต้องพบเจอบ่อย ๆ ถ้าเขาและนางบาดหมางกัน มันคงมีผลกระทบกับทุกคนในบ้าน
เจี้ยนเฉินรักและใส่ใจในครอบครัวของเขามาก เนื่องจากเขาไม่มีใครเลย ดังนั้นเขาจึงไม่อยากให้มีอะไรที่ไม่น่ารื่นรมย์ที่จะทำให้เกิดสถานการณ์ที่เลวร้ายเกิดขึ้นภายในบ้าน เหมือนอย่างครั้งนี้ที่เขาเลือกที่จะยกโทษให้ป้าของเขา
นอกจากนั้น เขาเข้าใจถึงพลังที่เขามีตอนนี้ดี ถ้าเขาขับไล่ไป๋ยู่ซวงออกไป ผู้อาวุโสของตระกูลคงต้องพยายามที่จะรักษาสถานภาพของตระกูลด้วยการปฏิบัติต่อนางอย่างแย่ ๆ นี้จะทำให้ไป๋ยู่ซวงถูกรังแกในคฤหาสน์ และมันคงสร้างปัญหาให้กับพ่อของเขาด้วยแน่
“ฮา ฮา ฮา เซียงเอ๋อ ในวันนี้ช่างเข้าใจโลกดีเสียจริง ๆ ! พี่สาม ท่านได้ยินแล้วใช่ไหม เขาลืมเรื่องที่ผ่าน ๆ มาในอดีตไปหมดแล้วล่ะ ! ท่านคงเบาใจได้แล้วตอนนี้ มันไม่มีความคลางแคลงใจอะไรระหว่างเราสี่พี่น้องอีกแล้ว มันไม่จำเป็นต้องมีความบาดหมางอะไรแบบนี้ในครอบครัวเลย” ป้าใหญ่กล่าว
“ใช่ แน่นอน! จากนี้ไป ข้าจะเชื่อฟังพี่น้องให้มากที่สุด ! ” ไป๋ยู่ซวงพยักหน้าอย่างรุนแรงไปด้วยความยินดี เมื่อรู้ว่าเจี้ยนเฉินยกโทษให้นางนั้นทำให้ความไม่เข้าใจทั้งหลายละลายหายไป
ป้ารองมองไปที่เจี้ยนเฉินอย่างรักใคร่ “อ่า เซียงเอ๋อ เจ้ากลับบ้านมาเร็วมาก คราวนี้ทำไมไม่อยู่ให้นานขึ้นหล่ะ ? ” หลังจากนั้นก็มองไปทางไป๋ไฮด้วยความสงสัย “เซียงเอ๋อ ท่านผู้เฒ่าผู้นี้คือใครหรือ?”
เรื่องของไป๋ยู่ซวงเมื่อสักครู่ทำเอาเจี้ยนเฉินหลงประเด็นที่มาที่นี่ไป แต่เมื่อหยูเฟิงหยานนำเขากลับเข้ามายังประเด็นที่สำคัญกว่า เขากลับมาอยู่ในท่าทางที่ตึงเครียดและพูดว่า “ท่านป้าทั้งสาม ข้ามีเรื่องสำคัญที่จะต้องพูดคุยกับท่านแม่ของข้า เอาไว้เราค่อยพูดเรื่องอื่นกันคราวหลังได้หรือไม่ ? “
“อ่า ได้ ไม่มีปัญหา ! แม่ของเจ้าไม่ได้พบกับเจ้ามานานมากแล้ว มันคงมีเรื่องมากมายเลยที่เจ้า 2 คนอยากจะพูดคุยกัน เราจะไม่รบกวนพวกเจ้าในตอนนี้แล้ว เชิญตามสบายเลย ! ” หลิงหลงพูดก่อนที่จะพาหยูเฟิงหยานและไป๋ยู่ซวงออกไปจากสวน ตอนที่เดินผ่านไป๋ไฮ พวกนางทั้งสามมองผ่าน ๆ และสงสัยว่าคนผู้นี้คือใคร ก่อนจากไป
เมื่อทั้งสามหายไปจากสายตาแล้ว ในสวนเหลือเพียงแค่เจี้ยนเฉิน ไป๋หยุนเทียน และไป๋ไฮ เท่านั้น
ไป๋หยุนเทียนจ้องมองเจี้ยนเฉินด้วยความอยากรู้อยากเห็นและกำลังตั้งใจที่จะถามเจี้ยนเฉินว่ามีเรื่องอะไร ขณะมองเลยไปที่ไป๋ไฮ หลังจากนั้นหน้าของนางก้มต่ำลง คิดถึงความทรงจำที่เอ่อล้นเข้ามาจากเมื่อ 2-3 วันก่อนที่เจี้ยนเฉินจะพูดเกี่ยวกับตระกูลไป๋ หลังจากเชื่อมโยงเรื่องราวไปมา ไป๋หยุนเทียนก็เริ่มที่จะเข้าใจ
“เซียงเอ๋อ ท่านผู้เฒ่านี้คือใครงั้นหรือ?” นางถาม ข้างในอกนาง หัวใจของนางเริ่มที่จะเต้นรัวขึ้น
“ท่านแม่ ลูกทำได้ ลูกเจอบรรพชนของตระกูลไป๋ของเราแล้ว ท่านบรรพชนที่หายไปจากเราเมื่อ 30 ปีที่แล้ว ! ” เจี้ยนเฉินกล่าวด้วยความร่าเริง
“อะไรนะ ! ” ใบหน้าของไป๋หยุนเทียนเริ่มแสดงสีหน้าประหลาดใจ คำพูดของเจี้ยนเฉินเหมือนดังฟ้าผ่าลงมาตรงที่นางยืนอยู่ นางไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่า ลูกชายของนางจะพบข้อมูลของบรรพชนที่สูญหายไป และยังสามารถนำเขากลับมาได้อีก
เวลาผ่านไปซักพักหนึ่ง ไป๋หยุนเทียนพูดไม่ออก ในที่สุด นางก็พบว่าตนเองมองไปที่ไป๋ไฮเพื่อถามด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทา “ท่าน… คือบรรพชนของตระกูลไป๋จริง ๆ ใช่หรือไม่ ? บรรพชนของตระกูลไป๋ของข้า”
ไป๋ไฮมองไปที่ไป๋หยุนเทียนใกล้ ๆ การมองดูลูกหลานของตระกูลของเขาที่อยู่เบื้องหน้านี้ทำให้ความรู้สึกของเขาล่องลอยไปราวกับความฝัน
“นั่นคงจะใช่ ข้าคือบรรพชนของตระกูลไป๋ ไป๋ไฮ” เขาพูดเสียงสั่นเล็กน้อย ในเวลานี้ เขารู้สึกเหมือนพ่อที่ได้ลูกที่หายไปกลับคืนมา และน้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยอารมณ์ต่าง ๆ
เมื่อตัวตนของเขาถูกยืนยันแล้ว ไป๋หยุนเทียนทรุดลงคุกเข่าและร้องออกมา “ข้าลูกหลานขอต้อนรับการกลับมาของท่านบรรพชน ! “
“ลุกขึ้นมาเถอะ ตอนนี้ในตระกูลไป๋ก็เหลือแค่พวกเรา ไม่จำเป็นจะต้องมีพิธีรีตองอะไรไปหรอก” ไป๋ไฮรีบดึงให้ไป๋หยุนเทียนลุกขึ้นยืน ตอนนี้เขาก็ได้เจอกับคนในครอบครัวแล้ว ไป๋ไฮรู้สึกยินดี
หลังจากช่วยให้ไป๋หยุนเทียนลุกขึ้นยืนแล้ว ไป๋ไฮจึงเริ่มพูด “ช่วยเล่าให้ข้าฟังเรื่องการฆาตกรรมหมู่เมื่อ 30 ปีที่แล้วให้ข้าฟังหน่อย ทุก ๆ อย่างที่เจ้ารู้ เจ้าต้องบอกทุก ๆ อย่างไม่ให้ตกหล่นไปแม้แต่อย่างเดียว ! ” ไป๋ไฮเต็มไปด้วยความอยากรู้และต้องการที่จะทำความเข้าใจว่าใครต้องรับผิดชอบในเรื่องนี้
“ท่านบรรพชน การฆาตกรรมหมู่เกิดขึ้นตอนที่ข้ายังเป็นเด็ก ดังนั้นข้าจึงรู้เรื่องนั้นเพียงเล็กน้อย น้อยเกินกว่าที่จะรู้ว่าใครจะต้องเป็นคนที่จะต้องชดใช้ แต่ท่านพ่อของข้าบอกว่าพวกมันมาเพราะเรื่องมรดกของตระกูลไป๋ของเรา”
ตาของไป๋ไฮเปล่งประกายอันตราย เขาสร้างขอบข่ายขึ้นมาเพื่อป้องกันไม่ให้เสียงเล็ดรอดออกไป เขากางขอบข่ายทั่วทั้งสวน มันทำให้เกิดภาพสลัว ๆ ในอากาศ แต่พื้นที่ในทรงกลมรอบขอบข่ายได้ถูกป้องกันไว้จากผู้คนภายนอกไม่ให้เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นด้านในนั้น
“ขนสัตว์ เจ้าพวกนั้นได้เอามันไปจากพวกเราด้วยหรือเปล่า ? ” ไป๋ไฮถามด้วยหน้าตาบูดบึ้ง
“มันอยู่ที่นี่ ! ” เจี้ยนเฉินนำเอากล่องที่อยู่ในแหวนมิติของเขาออกมาและยื่นมันให้กับไป๋ไฮ “ท่านบรรพชน มันมีขนสัตว์ทั้งหมด 3 ชิ้นที่นี่ หนึ่งในนั้นเป็นมรดกของตระกูลไป๋ของเรา อีก 2 ชิ้นที่เหลือ ข้าเป็นคนหามันเจอระหว่างการเดินทางของข้า”
โดยที่ไม่สนใจในคำพูดของเจี้ยนเฉินนัก ไป๋ไฮรับกล่องมาและเปิดมันออกเพื่อดูชิ้นขนสัตว์ทั้งหมดภายในกล่องนั้น เมื่อเขาเห็นพวกมันทั้ง 3 แล้วนั้น สายตาของเต็มไปด้วยความประหลาดใจ “3 ชิ้นนี้เหมือนกันเป๊ะเลย”
“ใช่แล้ว ท่านบรรพชน มันเหมือนกันทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นขนาด, รูปร่าง, หรือวัสดุ, เหมือนกันหมดเลย ท่านรู้ความลับเบื้องหลังของมันบ้างหรือไม่ ? ” เจี้ยนเฉินถาม