ตอนที่ 669: การกลับมาของบรรพชน (1)
ในขณะที่เขาคุกเข่าลง หัวใจของเจี้ยนเฉินเต้นจนเหมือนจะทะลุออกมาจากอก ในที่สุด! เขาก็เจอบรรพชนที่หายไปนานของตะกูลไป๋เสียที !
การที่เขามีสายเลือดของตระกูลไป๋อยู่ในตัว นี่ช่างเป็นเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่ซะเหลือเกิน
ไป๋ไฮตกใจกับคำพูดที่ออกมาจากปากของเจี้ยนเฉิน ทำให้เขาเบิกตากว้างและพูดไม่ออก เป็นเวลานานที่ไป๋ไฮมองไปยังเจี้ยนเฉินด้วยหางตา แต่ก็ไม่มีคำพูดใด ๆ เลยที่หลุดออกมาจากปากของเขา
อีกด้านหนึ่ง หวงเทียนป้าและนูบิสก็อยู่ในอาการตื่นตระหนกตกใจพอ ๆ กันเหมือนกับไป๋ไฮ พวกเขาได้แต่จ้องมองเจี้ยนเฉินที่คุกเข่าแข็งเป็นหินเหมือนรูปปั้นตรงหน้า
แม้ว่าหวงเทียนป้าเดาได้ว่ามีความลับบางอย่างระหว่างไป๋ไฮและเจี้ยนเฉิน แต่ก็ไม่รู้ว่ามันคือความเกี่ยวโยงอะไรกันแน่ ดังนั้น เขาจึงรู้สึกตกใจเหมือน ๆ กับที่คนอื่นเป็น
“มันเกิดบ้าอะไรขึ้นกันเนี่ย เจี้ยนเฉินเสียสติไปแล้วหรือ ? ” นูบิสเป็นคนแรกที่พูด ตาของเขาเบิกกว้างและเขาอ้าปากค้างไปด้วยความตกตะลึง
หวงเทียนป้ายังคงนิ่งเงียบจากความตกตะลึง ด้วยความไม่คิดมาก่อนเลยว่า ศัตรูที่เขาต่อสู้มาอย่างยาวนานจะเป็นบรรพชนของเจี้ยนเฉิน
เวลาผ่านไปสักพัก ไป๋ไฮยังตกตะลึง จ้องไปทางเจี้ยนเฉินและไม่ได้กล่าวอะไร และในที่สุดเขาก็เอ่ยปาก “จะ.. เจ้า..เจ้าพูดอะไรออกมาน่ะ ? ” เขาถามด้วยความไม่แน่ใจว่าเขาหูฝาดไปหรือไม่
“ท่านบรรพชน แม่ของข้ามาจากตระกูลไป๋ และด้วยเหตุนี้ ข้าจึงมีสายเลือดของตระกูลไป๋” เจี้ยนเฉินตอบกลับ
“อะไรนะ จะ เจ้าเป็นสมาชิกตระกูลไป๋หรือ” นิ้วของไป๋ไฮที่ชี้ไปยังเจี้ยนเฉินสั่นเทาด้วยความไม่เชื่อ เมื่อใดกันที่ตระกูลไป๋มีเซียนผู้คุมกฎ ? เขาไม่เคยเห็นหรือได้ยินมาก่อนเลย แน่นอนว่าถ้าเป็นเจี้ยนเฉิน มันต้องทำให้ไป๋ไฮประทับใจแน่นอน
“ใช่แล้ว ท่านบรรพชน ข้าเป็นสมาชิกตระกูลไป๋” เจี้ยนเฉินตอบกลับ
“เป็นไปไม่ได้! นี่มันเป็นไปไม่ได้! ถ้าเจ้าเป็นคนในตระกูลจริง ทำไมข้าไม่เคยรู้เรื่องมาก่อนเลย ? ” ในตอนนี้ ไป๋ไฮเต็มไปด้วยความรู้สึกหลาย ๆ อย่าง ตระกูลไป๋เป็นเรื่องที่ทำให้เขาเสียใจ เขาใช้เวลานานหลายปีในการสร้างตระกูลขึ้นมา แต่แล้วมันกลับถูกทำลายลงในคืนเดียว ไม่มีทางเลยที่เขาจะไม่รู้สึกแย่เกี่ยวกับมัน
ในตอนแรกเขาคิดว่า คงไม่มีใครรอดจากโศกนาฎกรรมครั้งนี้ ดังนั้นเมื่อเขาได้ยินว่ามีคนในตระกูลที่ยังมีชีวิตรอด และยังเป็นถึงเซียนผู้คุมกฎอีกด้วย นี่ทำให้เขาประหลาดใจและรู้สึกกลัดกลุ้มเป็นอย่างมาก
ความคิดที่ติดอยู่ในหัวไป๋ไฮ ทำให้เขาจ้องไปที่เจี้ยนเฉินอย่างอันตราย “บอกมาว่าพ่อแม่ของเจ้าเป็นใคร และชื่อที่พวกเขาใช้เรียกเจ้าด้วย”
“ท่านบรรพชน แม่ของข้ามีนามว่าไป๋หยุนเทียน 30 ปีที่แล้ว ท่านแม่เป็นลูกสาวของผู้ที่รักษาการแทนหัวหน้าตระกูลไป๋ ในเวลานั้น สำหรับข้า มันคงจะช่วยไม่ได้ที่ท่านจะไม่เคยได้ยินชื่อของข้ามาก่อน ตอนที่เกิดโศกนาฏกรรม ข้ายังไม่เกิดเลย” เจี้ยนเฉินตอบกลับไป
“อะไรนะ ! เจ้ายังไม่เกิดเมื่อ 30 ปีก่อนหรือ ? ” ไป๋ไฮจ้องไปที่เจี้ยนเฉินด้วยความไม่เชื่อ จริง ๆ แล้ว ความไม่เชื่อไม่ใช่สิ่งที่จะอธิบายสีหน้าของเขาตอนนี้ จริง ๆ แล้วนี้เป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจที่สุดในชีวิตของเขา
ไม่ใช่ว่าเมื่อ 30 ปีที่แล้ว เขาได้เป็นเซียนผู้คุมกฎแล้ว ถ้าผู้คนในทวีปเทียนหยวนได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทุกคนคงจะตกตะลึงไปตาม ๆ กัน
“เหอะ ช่างร้ายกาจอะไรอย่างนี้ เขาอายุน้อยกว่าที่ข้า นูบิสผู้ยิ่งใหญ่ จินตการไว้เสียอีก ! ความสามารถของเขาเหนือซะยิ่งกว่าเทพเจ้าสงครามเอ่อหยิน เป็นไปได้ไหมว่าเขาคือโมเทียนหยุนที่กลับชาติมาเกิดใหม่ ? นอกจากเขาจะมีมนุษย์คนไหนสามารถทำเยี่ยงนี้ได้ ? ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมพยัคฆ์ปีกเทวะได้กลับมาปรากฏตัวอีกครั้ง ข้ากังวลว่าพยัคฆ์ปีกเทวะจะเติบโตขึ้นและทำลายความสงบสุขระหว่างทวีปสัตว์เทวะและทวีปเทียนหยวน แต่ว่าความกังวลใจของข้าก็ไม่มีหลักฐานอะไรมาพิสูจน์ได้” นูบิสถอนหายใจ
“จะ เจ้าเป็นลูกหลานของข้าจริง ๆ หรือ?” ไป๋ไฮถามย้ำเพื่อยืนยัน เพราะข้อมูลที่ได้รับมานั้นยากที่จะเชื่อ และหัวใจของเขาก็พบว่ามันยากที่จะเชื่อมันด้วย
“ท่านบรรพชน ถ้าท่านไม่เชื่อข้า กรุณาติดตามข้ากลับไปที่คฤหาสน์เจียงหยาง เพื่อพบแม่ของข้า แม่ของข้าจะแสดงหลักฐานให้ท่านดู” เจี้ยนเฉินกล่าว
“ยอดเยี่ยมอะไรเยี่ยงนี้ ! ที่ยังมีลูกหลานเหลืออยู่ ไปเถอะถ้างั้น เราจะไปพบแม่ของเจ้าตอนนี้เลย ! ” ไป๋ไฮมาอยู่ที่ข้าง ๆ เขากล่าวด้วยความตื่นเต้น
“ท่านบรรพชน ข้าจะพาท่านไปที่เจียงหยาง ถ้าแม่ของข้ารู้ว่าท่านบรรพชนยังมีชีวิตอยู่ ท่านต้องยินดีเป็นอย่างมากแน่ ๆ ” เจี้ยนเฉินยืนขึ้น น้ำเสียงของเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยความปิติยินดี
หลังจากนั้น เจี้ยนเฉินก็ได้สั่งในนูบิสและหวงเทียนป้ากลับไปยังกลุ่มทหารรับจ้างอัคนี ในขณะที่เขาและไป๋ไฮเดินทางกลับไปยังอาณาจักรเกอซุน
หลังจากที่ทั้งสองคนจากไป หวงเทียนป้าและนูบิสก็ยังคงยืนนิ่งอยู่บนอากาศ รู้สึกไม่อยากขยับไปไหนด้วยความประหลาดใจ ทั้งสองได้แต่ยืนมองไปทางที่เจี้ยนเฉินและไป๋ไฮเดินทางไป
ทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไรเลยสักพักใหญ่
“ไฮ้ ทำไมผลลัพธ์ถึงคาดไม่ถึงเช่นนี้ ไป๋ไฮเป็นบรรพชนของเจี้ยนเฉินอย่างนั้นหรือ ? มันน่าแปลกจริง ๆ ” หลังจากที่เงียบไปซักพัก ในที่สุด หวงเทียนป้าก็ถอนหายใจ
“ครั้งแรกที่เราพบเขา เราเป็นศัตรูกับเขา เจี้ยนเฉินยังได้รับบาดเจ็บจากเขาผู้นี้เลยตอนนั้น ข้า นูบิสผู้ยิ่งใหญ่ ไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่ามันจะมีความลับอะไรแบบนี้ระหว่างพวกเขา 2 คน พวกมนุษย์นี้มีเรื่องแปลกประหลาดเยอะเสียเหลือเกิน” นูบิสอุทาน
“ดูเหมือนฐานะของเจี้ยนเฉินจะไม่ใช่แค่เป็นนายน้อยสี่ของคฤหาสน์เจียงหยาง ถ้าเขาเป็นลูกหลานของตระกูลไป๋ ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องของพวกเขามาก่อนก่อนเลย แต่พวกเขาน่าจะแข็งแกร่งพอตัว” หวงเทียนป้ากล่าว
“ข้า นูบิสผู้ยิ่งใหญ่ ได้ยิน 2 คนนั้นพูดคุยกันว่าตระกูลไป๋ได้ถูกฆาตกรรมหมู่ ลืมมันไปเสียเถอะ พวกเราควรกลับได้แล้ว”
หลังจากนั้นหวงเทียนป้าและนูบิสก็ได้กลับไปยังเมืองทหารรับจ้าง
ทั้งเจี้ยนเฉินและไป๋ไฮมุ่งตรงไปยังคฤหาสน์เจียงหยางด้วยความเร็วมากที่สุดเท่าที่พวกเขาจะสามารถทำได้ บางทีอาจเป็นเพราะเรื่องที่ไป๋ไฮรู้ความจริงเรื่องที่เขายังมีลูกหลานเหลืออยู่ ทำให้เขาตื่นเต้นมาก เขาเคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างเร็วมาก มันเกินกว่าความเร็วที่เจี้ยนเฉินจะทำได้ ถึงแม้เขาจะใช้ทักษะมายาพริบตาในการเร่งความเร็วสูงที่สุดที่เขาทำได้แล้วก็ตาม
“ให้ข้าพาเจ้าไปที่นั้นเอง เจ้าแค่บอกทิศทางข้ามา” ไป๋ไฮกล่าวและเคลื่อนที่ไปพร้อมกับเขาด้วยพลังมิติ ไป๋ไฮรู้สึกกระวนกระวายที่จะไปให้ถึงคฤหาสน์เจียงหยาง
ทันใดนั้นเอง เจี้ยนเฉินรู้สึกว่าโลกด้านหน้าของเขาบิดเบี้ยวและเป็นภาพเบลอ จึงทำให้ฉากรอบ ๆ ตัวเขาผสมกันไปอย่างยุ่งเหยิง เจี้ยนเฉินสามารถจับจุดจากภาพเบลอ ๆ นั้นได้ว่ามันคือภูเขาและแม่น้ำ แต่ภาพเหล่านั้นก็หายไปในแทบจะทันที แม้แต่เมืองที่พลุกพล่านและท้องฟ้าสีเขียว และเมฆก็เปลี่ยนไปเป็นภาพเบลอและหายไปจากสายตาทันทีที่มันปรากฏขึ้น
มันไม่ใช่ภาพลวงตา มันแค่เป็นการเคลื่อนที่ซึ่งเร็วมากเกินกว่าขีดจำกัดที่สายตาจะรับภาพไว้ได้ ความเร็วที่พวกเขาเคลื่อนที่ไปแค่เร็วมากเกินไปเท่านั้นเอง
“นี่คงจะเป็นความเร็วเมื่อการบิดเบือนมิติถูกใช้ ช่างรวดเร็วอะไรเช่นนี้ ! นี่มันเร็วกว่าการบินไปในอากาศหลายเท่าเลย ถ้าข้ามีความเร็วขนาดนี้ละก็ มันจะใช้เวลานานแค่ไหนกันนะที่จะไปถึงอาณาจักรฉินหวง ? ” เจี้ยนเฉินคิดในใจ เขาอยากใช้ความเร็วแบบนี้ได้ และถ้าเขาใช้ได้ขึ้นมา เขาคงจะเดินทางกลับบ้านทุก ๆ ครั้งที่เขาปรารถนา
ตอนนี้ มันใช้เวลาเพียง 2 ชั่วยามเท่านั้นในการเดินทางหลายแสนกิโลเมตร จากอาณาจักรเกอซุนไปถึงยัง คฤหาสน์เจียงหยาง
ด้วยการปกปิดกลิ่นอายของเขา เจี้ยนเฉิน ทำให้เจียงหวูจี่ ฉิงหวู่หมิงและเซียนสวรรค์อีก 2 คนเท่านั้นรับรู้ถึงการมาถึงของเขา ดังนั้นจึงมีแค่สี่คนนี้เท่านั้นที่ออกมาต้อนรับเขา
“นายน้อยสี่ ท่านกลับมาไวมาก ! การจากไปเมื่อ 2-3 วันก่อนของท่าน มันกะทันหันมาก ท่านหัวหน้ารู้สึกเสียใจที่ท่านไม่สามารถอยู่ได้นานกว่านี้” เจียงหวูจี่ยิ้มให้ทั้งเจี้ยนเฉินและชายชราด้านหลังเขาด้วยรอยยิ้มที่เท่า ๆ กัน
“เจียงหวูจี่ ข้ามีเรื่องบางอย่างที่สำคัญมากที่จะต้องทำ เอาไว้เราค่อยสนทนากันทีหลัง ตอนนี้ข้าต้องการพบท่านแม่ของข้า” เจี้ยนเฉินกล่าวสั้น ๆ ก่อนที่จะเดินไปข้างหน้ากับไป๋ไฮ ไปยังสวนดอกไม้ที่แม่ของเขาอยู่ ด้วยขอบข่ายพลังของทั่วคฤหาสน์ ทำให้เขาสามารถรับรู้ได้ว่าแม่ของเขากำลังคุยกับป้า ๆ ของเขา
หลังจากการสร้างคฤหาสน์เจียงหยางใหม่ แม้แต่สวนดอกไม้ก็ใหญ่กว่าเดิมถึง 3 เท่า ในตอนนี้ ไป๋หยุนเทียนและป้า ๆ อีก 3 คนของเจี้ยนเฉินกำลังพูดคุยกันอยู่รอบ ๆ สระน้ำ
“น้องสาม อดีตก็คืออดีต อย่ากังวลมากนักเลย เซียงเอ๋อเป็นเด็กดีและไม่เจ้าคิดเจ้าแค้น เมื่อเซียงเอ๋อกลับมา เราก็ค่อยพูดกับเขาอีกครั้งแล้วกัน” ป้ารองหยูเฟิงหยานพูด
“น้องรองพูดถูก พวกเราสี่พี่น้องอยู่ด้วยกันมากว่า 20 ปีแล้ว พวกเราไม่ควรจะมาทะเลาะกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้เลย น้องสาม ตอนเซียงเอ๋อกลับมา เจ้าควรจะไปขอโทษเขา เราทั้งสามคนสามารถช่วยเจ้าได้ ข้ามั่นใจว่าสถานการณ์จะต้องดีขึ้นเป็นแน่ น้องสี่ เจ้าคิดว่าอย่างไร?” ป้าใหญ่หลิงหลงกล่าว ก่อนที่จะกระตุ้นให้ไป๋หยุนเทียนพูด
ไป๋หยุนเทียนยิ้มและพยักหน้ามองไปทางหยูเฟิงหยานและหลิงหลง จากนั้นก็มองต่อไปที่ไป๋หยูซวงและพูดต่อด้วยน้ำเสียงสุภาพว่า “พี่ใหญ่และพี่รองพูดถูก เซียงเอ๋ออาจจะเป็นคนที่สำคัญมาก แต่เซียงเอ๋อก็เป็นลูกของข้า และมันก็เป็นแบบนั้นไม่เคยเปลี่ยน เมื่อเขากลับมา ข้าจะลองพูดกับเซียงเอ๋อ และดูว่าพอมีอะไรที่เราจะจัดการได้บ้าง มันคงไม่นานหลังจากนั้น ปัญหาเล็กน้อยนี้ก็จะถูกลืมไป”
ใบหน้าของไป๋ยู่ซวงเต็มไปด้วยคราบน้ำตา ขณะที่นางมองไปยังไป๋หยุนเทียนอย่างเวทนา “ถ้าอย่างนั้น น้องสี่ได้โปรดอนุญาตให้ข้ากับเซียงเอ๋อได้คุยกันด้วยเถอะ ข้าทำผิดกับเขาในอดีต ข้าต้องขอโทษเขา ในฐานะที่เป็นป้าของเขา ข้ารู้สึกบกพร่องในหน้าที่ต่อเขา ข้าจะแก้ไขมันอย่างดีที่สุด”
เรื่องที่เจี้ยนเฉินเป็นเซียนผู้คุมกฎนั้นไม่ได้ถือเป็นเรื่องลับอะไรสำหรับผู้ที่ตำแหน่งสูง ๆ ที่คฤหาสน์เจียงหยาง ครั้งหนึ่ง เรื่องนี้เคยไปถึงหูของไป๋ยู่ซวง มันทำให้นางตกใจอย่างมาก ในใจของนางนั้น นางเริ่มรู้สึกอยากขอโทษกับสิ่งที่นางทำลงไปกับเจี้ยนเฉินในอดีต และในตอนนี้ นางก็เริ่มหาโอกาสที่จะคุยกับพี่น้องทั้งสามเพื่อหาทางขอโทษเขา
“ท่านแม่ ข้ากลับมาแล้ว ! ” เสียงจากเจี้ยนเฉินดังมาจากไกล ๆ ทั้งสี่คนจ้องมองไปและเห็นชายหนุ่มและผู้เฒ่าที่กำลังเดินเข้ามาทางพวกเขาอย่างรวดเร็ว
“เซียงเอ๋อกลับมาแล้ว ! อะไรจะเหมาะเจาะอย่างนี้” ไป๋หยุนเทียนร่าเริงขึ้นมาทันทีที่นางจำได้ว่านั่นคือเจี้ยนเฉิน หยูเฟิงหยานและหลิงหลงก็รู้สึกดีใจและตื่นเต้นพอพอกันที่ได้เห็นเขา เจี้ยนเฉินคือชื่อเสียงและความภาคภูมิใจของคฤหาสน์เจียงหยาง และพวกเขาก็รู้สึกภูมิใจที่มีสายเลือดเดียวกันกับเขา
จากคนที่นั้นทั้งหมด มีเพียงไป๋หยูซวงเท่านั้นที่ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นใด ๆ แต่กลับกัน นางกลับรู้สึกหวาดวิตก นางจึงบังคับตัวเองให้ฝืนยิ้มออกมา ซึ่งมันตรงข้ามกับความรู้สึกของนางอย่างสิ้นเชิง