ตอนที่ 668: บรรพชนตระกูลไป๋
“ข้าไม่เคยลงไปที่ใต้ทะเลนั้น แต่จากความทรงจำที่ข้าได้รับการสืบทอดมาทำให้ข้าเข้าใจเรื่องราว พวกเขาทรงปัญญามากเหมือนกับพวกเผ่าสัตว์อสูรที่อยู่บนแผ่นดิน พวกเขาเป็นเผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่งมากและไม่เคยฉวยโอกาสตอนที่เผ่าที่เหลือทั้ง 3 กำลังขัดแย้งกันเลย พวกเขาสามารถมีชีวิตที่ใต้น้ำได้เท่านั้น ดังนั้นเมื่อสงครามเกิด พวกเขาจึงไม่เคยเข้าร่วมเลย จึงทำให้เป็นการยากมากที่คนจะรู้จักว่าพวกเขามีตัวตน”
“พวกเผ่าทะเลมีนักสู้ทั้งหมดกี่คน” เจี้ยนเฉินถาม
“มีพอพอกับเผ่ามนุษย์ ถ้าเปรียบเทียบความแข็งแกร่งแล้ว พวกเขาสามารถต่อกรกับมนุษย์ได้ง่าย ๆ แต่ข้อมูลนี้ก็นานมาแล้ว ข้าไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับเผ่าทะเลในตอนนี้ ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาแข็งแกร่งกว่ามนุษย์หรือไม่ ในสงครามนานมาแล้ว มนุษย์สูญเสียนักสู้ไปมากในยุคทองของพวกเผ่าทะเล”
“เฮ้อ ! ” นูบิส ถอนหายใจ “จากข้อมูลที่ข้าได้สืบทอดมา โมเทียนหยุน พยัคฆ์ปีกเทวะ และเอ่อหยิน ครั้งหนึ่งเคยต่อสู้กันอย่างดุเดือดมาก ความแข็งแกร่งที่เหนือยิ่งกว่าเซียนจักรพรรดิของพวกเขาเกือบจะทำให้โลกพังทลาย กฎธรรมชาติของโลกบิดเบี้ยว และพลังงานของโลกได้รับการกระทบกระเทือนอย่างหนัก เหตุการณ์นี้ทำให้นักสู้ที่เป็นมนุษย์หายไป ยิ่งหายากขึ้นและทำให้ความเข้าใจในความลึกลับของโลกยากขึ้นไปอีก ซึ่งหมายความว่าจะมีเซียนผู้คุมกฎน้อยลง เปรียบเทียบกับสมัยก่อน การที่จะก้าวผ่านไปเป็นเซียนผู้คุมกฎในตอนนี้นั้นยากกว่าอย่างมาก แม้แต่อัจฉริยะที่มีแววยังยากเลยที่จะผ่านมันไปได้ ต้องใช้เวลานานมากกว่าจะรวมรวมความแข็งแกร่งได้”
เจี้ยนเฉินและหวงเทียนป้าอ้าปากค้างกับข้อมูลที่พวกเขาได้ยิน ทุกอย่างที่นูบิสกำลังบอกนั้นเหมือนกับข้อมูลของนิทานอาหรับราตรี แม้ว่าพวกเขาจะไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่พวกเขาก็เชื่อหมดใจ
นูบิสตัดสินใจที่จะหยุดเล่าในจุดนี้ “ข้าจะไม่เล่าต่อแล้ว ความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่ได้ช่วยอะไร มาสนใจเรื่องที่เรากำลังจะทำดีกว่า”
หลังจากนั้น เจี้ยนเฉินและหวงเทียนป้าก็เริ่มเดินทางต่อด้วยข้อมูลที่ต้องใช้ความคิดและทำความเข้าใจ หลังจากเดินทางมาครึ่งวันแล้ว พวกเขาก็ได้มาถึงที่ซึ่งไป๋ไฮอยู่
ในตอนที่มาถึง เจี้ยนเฉินรู้สึกถึงความกังวลขึ้นมาทันทีทันใด ไม่มีทางรู้เลยว่าไป๋ไฮจะอยู่ที่นี่หรือไม่ ถ้าไม่อยู่ การตามหาเซียนผู้คุมกฎที่ต้องการจะหลบซ่อนตัวจะเป็นอะไรที่ยากมาก โดยเฉพาะในทวีปที่กว้างใหญ่อย่างทวีปเทียนหยวน
พวกเขาทั้ง 3 หยุดอยู่กลางอากาศ เพื่อให้เจี้ยนเฉินสามารถสำรวจพุ่มไม้และต้นไม้เบื้องล่างได้ “ผู้อาวุโสหวง นูบิสผู้ยิ่งใหญ่ พวกท่านทั้ง 2 รออยู่ตรงนี้ ข้าจะลงไปหาเอง”
หวงเทียนป้ามองไปยังเจี้ยนเฉิน ดูจากสีหน้าที่เจี้ยนเฉินแสดงออกนั้น หวงเทียนป้าบอกได้ว่ามันต้องมีความลับอะไรบางอย่างระหว่างเจี้ยนเฉินกับไป๋ไฮแน่ ดังนั้นเขาจึงพยักหน้า “ถ้างั้นน้องเจี้ยนเฉินระวังตัวให้ดีล่ะ ถ้ามันจะสู้กับเจ้า เจ้าต้องส่งเสียงบอกทันที”
เจี้ยนเฉินพยักหน้ารับคำ จากนั้นบินลงมาและทิ้งเซียนผู้คุมกฎทั้งสองไว้เบื้องหลัง
ด้วยความเร็วขนาดนี้ มันใช้เวลาเพียงชั่วอึดใจเท่านั้นที่จะเคลื่อนที่ไปยังถ้ำที่ซ่อนที่ห่างไปหลายกิโลเมตร มันมืดมากและมองไม่เห็นอะไรเลยจากด้านนอก แต่เจี้ยนเฉินรู้ว่าเซียนผู้คุมกฎดูเหมือนจะอยู่ด้านในถ้ำ
ยิ่งเจี้ยนเฉินเดินเข้าไปในถ้ำมากเท่าไร เขาก็รู้สึกสับสนมากเท่านั้น ความกังวลในใจของเขาเริ่มทับถม และเขาเริ่มกังวลใจว่าไป๋ไฮจะไม่ใช่คนที่เขาตามหา โลกนี้มันมีเรื่องบังเอิญเยอะแยะ
สายตาของมองไปยังเบื้องหน้าของเขาประมาณ 10 เมตร ถอนหายใจและพยายามสงบสติอารมณ์ และเดินต่อเข้าไปในถ้ำ
ไม่นานนักหลังจากก้าวไปต่อในถ้ำ 2-3 ก้าว เสียงเท้าก็ดังมาจากข้าง ๆ เสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ แล้วก็มีชายแก่ในชุดคลุมสีฟ้ากุมมือไว้ที่ด้านหลัง เดินออกมาจากความมืด นั่นคือไป๋ไฮอย่างแน่นอน
ด้วยท่าทางไร้อารมณ์ ไป๋ไฮมองเจี้ยนเฉินด้วยสายตาที่เหมือนจ้องให้เจี้ยนเฉินทะลุเป็นรู “เจ้าหาทางมาที่นี่จนได้ ซิตูชิงคงบอกที่อยู่ของข้า ถ้าข้ารู้ตัวเร็วกว่านี้ ข้าคงย้ายที่ไปแล้ว ข้าไม่ควรจะอยู่ที่นี่เลย” สายตาของเขาเหลือบมองไปทางพื้นที่เบื้องบนที่หวงเทียนป้าและนูบิสอยู่ พวกเขาไม่แม้แต่จะซ่อนพลังงานของตัวเอง ดังนั้นไป๋ไฮจึงรู้สึกถึงการดำรงอยู่ของพวกเขาได้ไม่ยาก
“เจี้ยนเฉิน ถึงแม้ข้าจะสู้พวกเจ้า 3 คนไม่ได้ แต่ข้ายังหนีได้ ถึงแม้ว่าเจ้าพยายามที่จะใช้ยุทธภัณฑ์ผู้คุมกฎก็เถอะ เจ้าอยากลองดูหรือไม่ ? ” ไป๋ไฮพูดโดยไม่ให้เวลาเจี้ยนเฉินได้โต้ตอบ
เมื่อรู้ว่าไป๋ไฮเข้าใจสถานการณ์ผิด เจี้ยนเฉิน จึงรีบเอ่ยแก้ทันที “ผู้อาวุโส อย่าเพิ่งเข้าใจผิด ข้าไม่ได้มาเรื่องการต่อสู้เมื่อ 2-3 วันที่ผ่านมา”
สายตาของไป๋ไฮเปล่งประกาย แต่ก็ยังมองมาที่เจี้ยนเฉินอย่างไร้อารมณ์ “แล้วเจ้ามาที่นี่ทำไม?”
เจี้ยนเฉินคิดสักครู่ก่อนพูดออกไปว่า “ผู้อาวุโส ข้ามาที่นี่วันนี้เพราะท่าน”
“เพราะข้า ? ” สีหน้าของไป๋ไฮงุนงง
“แน่นอน” เจี้ยนเฉินพยักหน้า “ผู้อาวุโส ข้ามีของบางอย่าง ท่านดูดี ๆ ซิ”
เจี้ยนเฉินเอาตำราบาง ๆ ออกมาจากแหวนมิติของเขา และทำให้มันลอยอยู่หน้าไป๋ไฮด้วยพลังจิตของเขา
ไป๋ไฮรับตำรามาและเริ่มที่จะพลิกดู หลังจากที่เปิดหน้าแรก ท่าทีของเขามีการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง เขาตกตะลึงและมองไปทางเจี้ยนเฉิน แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรและเริ่มอ่านตำราต่อไป
ไม่นานหลังจากนั้น ตำราถูกเปิดผ่านทั้งหมดโดยไป๋ไฮ ท่าทางของไป๋ไฮนั้นประหลาดใจมากขึ้นทุกที ๆ ที่เขาเปิดตำราไป แม้แต่มือของเขาที่ถือตำราอยู่ก็สั่นไหวไปด้วยความรู้สึกของเขา
ในทันทีทันใดนั้นเอง ไป๋ไฮก็ปิดตำราส่งกลับไปให้เจี้ยนเฉินและถลึงตาใส่เขาอย่างดุดัน “เจ้าไปได้ตำราการต่อสู้แบบนี้มาจากไหน ? “
ในเวลานั้น ไป๋ไฮเต็มไปด้วยความรู้สึกต่าง ๆ มากมาย ในตำราที่เขาได้รับจากเจี้ยนเฉิน เต็มไปด้วยวิชาการต่อสู้จากตระกูลไป๋ วิชาที่เขาคิดค้นขึ้นเมื่อนานมาแล้ว -ปาฏิหาริย์น้ำของตระกูลไป๋
เมื่อเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างรุนแรงของไป๋ไฮ เจี้ยนเฉินก็แน่ใจว่าเขามาหาถูกคนแล้ว “30 ปีที่แล้วที่เมือง หมิงเห่า หนึ่งในเมืองของอาณาจักรคาร์ล 1 ใน 3 อาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ มีตระกูลที่ยิ่งใหญ่ตระกูลหนึ่งซึ่งก็คือตระกูลไป๋ ท่านพี่รู้จักตระกูลนี้หรือไม่ ? “
“บูมมม ! “
โดยที่ไม่สามารถจะสงบจิตใจได้ กลิ่นอายอันยิ่งใหญ่ก็พุ่งออกมาจากร่างของไป๋ไฮและหยุดทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวเขา เจี้ยนเฉินจึงไม่สามารถขยับแขนหรือขาไปในทิศทางใดได้เลย
ทันทีทันใดนั้นเอง ไป๋ไฮก็มาปรากฏกายหน้าเจี้ยนเฉินด้วยพลังอันน่าเกรงขาม “เจ้าเป็นใครกันแน่ ! ” เขาตะโกน “ทำไมเจ้าถึงมีตำราปาฏิหาริย์น้ำของตระกูลไป๋ได้ เจ้าเกี่ยวข้องกับการสังหารหมู่ของตระกูลไป๋ ของข้าเมื่อ 30 ปีที่แล้วหรือเปล่า ? ! “
“วูบบ”
ลูกธนูสีทองซึ่งมาจากที่ไหนไม่รู้ได้พุ่งตรงมาที่ไป๋ไฮด้วยเสียงที่บาดหู ลูกธนูสีทองถูกล็อคเป้าหมายจากกลิ่นอายของไป๋ไฮ นั่นหมายความว่าไป๋ไฮคงไม่มีทางที่จะหลบมันได้
สายตาที่เย็นเฉียบปรากฏขึ้นบนสายตาของไป๋ไฮ ในขณะที่เขาคว้าเอาตัวเจี้ยนเฉินมาเป็นเกราะกำบังเสมือนโล่ เพื่อป้องกันลูกธนูที่ถูกยิงมาจากยุทธภัณฑ์ผู้คุมกฎ
แต่ผลลัพธ์ก็ไม่ได้เป็นไปตามที่ไป๋ไฮคาด ธนูสีทองเกิดเปลี่ยนทิศทางกะทันหันข้าง ๆ เจี้ยนเฉิน และอ้อมไปหาไป๋ไฮจากอีกทิศทาง
เมือลูกศรสีทองกระทบกับอาวุธเซียนของไป๋ไฮ ก็เกิดเสียงระเบิดดังกึ่งก้องทั่วบริเวณ พลังงานที่สะท้อนออกมาพวยพุ่งไปทั่วบริเวณ ทำให้มิติบิดเบือนสร้างให้เกิดรอบแยกสีดำที่ปรากฏออกมาและหายไปในแทบจะทันที
ภูเขาที่ไป๋ไฮและเจี้ยนเฉินยืนอยู่เริ่มสั่นไหวก่อนที่จะถล่มลงมา ทำให้ทั้งสองต้องลอยไปสู่เบื้องบน
ในเวลาเดียวกัน หวงเทียนป้าก็ปรากฏตังออกมาพร้อมธนูในมือ และมีนูบิสที่อยู่ข้าง ๆ เขาห่างออกไป 20 เมตร ทั้งสองจ้องเขม็งไปที่ไป๋ไฮ กลิ่นอายของทั้งสองเพิ่มมากขึ้น พยายามที่จะให้ไป๋ไฮอยู่กับที่
“ผู้อาวุโสหวง นูบิส ใจเย็นไว้ก่อน ! ” เจี้ยนเฉินสั่งและพยายามที่จะอธิบายสถานการณ์เพิ่มเติม
ทั้ง 2 ลดกลิ่นอายลงอย่างเชื่อฟังเจี้ยนเฉิน แต่ทั้งสองก็ยืนอยู่ที่จุดเดิมโดยไม่ได้พูดอะไรออกมา
สายตาของไป๋ไฮเพ่งมองไปที่ซึ่งทั้ง 2 ยืนอยู่อย่างตั้งใจ เขาแข็งแกร่งพอ ๆ กับหนึ่งคนในนั้น แต่เขาไม่มียุทธภัณฑ์ผู้คุมกฎ หนึ่งในนั้นเป็นอสรพิษทองริ้วเงิน สัตว์อสูรบรรพกาลที่ชอบคุยโวถึงความแข็งแกร่งในการต่อสู้ มันสามารถสู้เซียนผู้คุมกฎชั้นสวรรค์ที่ 6 ได้ ทำให้มันเป็นศัตรูที่สมควรจะหลีกเลี่ยงถ้าเป็นไปได้ ทั้งสองคนสร้างความกดดันให้เขาอย่างมาก ถ้า 2 คนนั้นตั้งใจจะต่อสู้จริง ๆ ทางเลือกเดียวของไป๋ไฮคือหนีเท่านั้น
ไป๋ไฮจ้องไปที่ทั้ง 2 สักครู่แล้วเลื่อนสายตามายังเจี้ยนเฉิน “พวกเจ้าคือใคร ? บอกมาซะ” เขาคำราม
ตอนนี้เจี้ยนเฉินมั่นใจแล้วว่าไป๋ไฮคือคนที่เขาคิด “ผู้อาวุโส” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นไหว “ท่านคงจะเป็นบรรพชนของตระกูลไป๋ ?”
“แน่นอน ตระกูลไป๋ของเมืองหมิงเห่า อาณาจักรคาร์ล นี่เป็นตระกูลที่ข้าก่อตั้งขึ้นมาเอง” ไป๋ไฮ กล่าวอย่างไร้ความรู้สึกใด ๆ
ทันใดนั้นเอง ร่างของเจี้ยนเฉินก็ทรุดลงเพื่อคุกเข่าอยู่ที่กลางอากาศและพูดว่า “ทายาทตระกูลไป๋ ขอคารวะท่านบรรพชน ! “