บทที่ 2427 ผู้บงการหลังม่าน / บทที่ 2428 พ้นภัย

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 2427 ผู้บงการหลังม่าน

กล่าวอีกนัยคือ ผู้บงการอยู่หลังม่านคนนี้มีความเป็นได้เกือบสิบส่วนที่จะมาจากโลกอนาคต และอาจเป็นคนที่มีวาสนาสามารถเดินทางข้ามมิติเวลาได้ตามความต้องการ…

มีความเป็นไปได้ที่คนผู้นี้จะเป็นมารอสูรที่ถือกำเนิดเติบโตในยุคนี้ เดิมก็มีคาถาอาคมกล้าแกร่งยิ่งนักอยู่แล้ว ต่อมาสามารถเดินทางข้ามมิติ ข้ามไปสู่อนาคตอันไกลโพ้นได้ เรียนรู้วิชาอาคมวิทยาการอันเลิศล้ำของโลกอนาคตมา…

กู้ซีจิ่วขมวดคิ้ว พอวิเคราะห์แบบนี้แล้ว ทำไมถึงรู้สึกว่าคนๆ ค่อนข้างคล้ายหลงฟั่นกันนะ?

หัวใจเธอดิ่งวาบ ยิ่งคิดก็ยิ่งคล้าย…

ยกตัวอย่างเช่นหลงฟั่นใช้เทคโนโลยีระดับสูงนำยีนส์ของมนุษย์และยีนต์ของสัตว์มาผสมเข้าด้วยกัน กลายเป็นมนุษย์ครึ่งสัตว์

ส่วนเจ้าวังน้อยลูกน้องของอวิ๋นเยียนหลีก็เคยมีสมุนมนุษย์ครึ่งสัตว์อยู่กลุ่มหนึ่ง…

นี่ไม่น่าใช่เรื่องบังเอิญกระมัง?!

หรือว่าหลังจากหลงฟั่นสิ้นชีพไปตอนนั้นจะมาเกิดใหม่ในโลกนี้อีก?

เป็นไปไม่ได้มั้ง?

เธอจำได้ว่าตอนนั้นหลงฟั่นสิ้นชีพอย่างสมบูรณ์แล้ว และวรยุทธ์ของเขาก็เป็นแค่ขั้นเก้าเท่านั้น แต่ผู้บงการคนนี้กลับใกล้หรืออาจจะบรรลุระดับซ่างเสินแล้ว…

คนผู้นี้วางแผนทุกวิถีทางเช่นนี้ คล้ายว่าจะพุ่งเป้ามาที่เธอกับตี้ฝูอี

แต่ในเมื่อวรยุทธ์ของเขาแข็งแกร่งขนาดนี้ ออกมาเผชิญหน้ากับเธอและตี้ฝูอีตรงๆ ก็เกินพอแล้ว จะอ้อมค้อมขนาดนี้ไปทำไมกัน?

มีจุดประสงค์อะไร?

เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าถ้าลงมือเองก็สำเร็จได้ ทว่าดูเหมือนจะชอบยืมดาบสังหารคนมากกว่า…

“คิดอะไรอยู่?”

ตี้ฝูอีเห็นนางใจลอย จึงเอ่ยถาม

ตอนนี้กู้ซีจิ่วก็ไม่คิดจะปิดบังอะไรจากเขา เล่าทุกสิ่งที่ตนคิดออกมา แน่นอน ได้เล่าเรื่องของหลงฟั่นในตอนนั้นออกมาด้วย

เนื่องจากเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับหวงถูความทรงจำบางส่วนของเธอจึงค่อนข้างเลือนราง แต่ยังพอจดจำบริบทโดยรวมได้

ตี้ฝูอีใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง

“อันที่จริงนี่ค่อนข้างคล้ายกับวิธีที่ลั่วจิ่วเฉินลงมือกับมหาเทพและจอมมารยิ่งนัก ปีนั้นลั่วจิ่วเฉินเป็นทวิเทพ ไม่อาจกระทำชั่วได้ มิเช่นนั้นจะถูกสวรรค์ลงทัณฑ์ ดังนั้นเขาจึงใช้กลยุทธ์ยืมดาบสังหารคน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของเขา แน่นอน ครั้งนี้ไม่น่าจะใช่เขา ช่วงเวลาไม่ตรงกัน…”

ทั้งสองวิเคราะห์อยู่ในเขตแดนกันพักหนึ่ง ถึงแม้จะมองทิศทางส่วนใหญ่ออกแล้ว แต่ก็ไม่อาจแน่ใจได้ชั่วขณะ

ยามนี้ด้านนอกกลายเป็นทะเลเพลิงไปหมดแล้ว ลาวาแดงฉานซัดสาด สิ่งมีชีวิตทั้งหมดล้วนถูกกลบฝังไว้ในลาวานี้

อากาศด้านนอกไม่มีให้หายใจแล้ว และภายในเขตแดนก็เริ่มอึดอัดบ้างแล้ว กู้ซีจิ่วมีพลังยุทธ์ต่ำ เธอรู้สึกหายใจไม่ค่อยออกแล้ว

จะต้องหาทางออกไปให้ได้!

แม้ว่าต้องจ่ายค่าตอบแทนมากมายยิ่งก็ตาม!

สุดท้ายหยกนภาก็เอ่ยออกมาวิธีหนึ่ง วิธีนี้ค่อนข้างเหนือความคาดหมาย

‘ท่านราชันมาร โลหิตหัวใจของท่านสามารถคลายเขตแดนทุกอย่างในโลกใบนี้ได้ ท่านอาจลองดูได้ เพียงแต่ ท่านจะบาดเจ็บ…’

ถ้ามิใช่เพราะไม่มีหนทางอื่นแล้ว หยกนภาก็คงไม่เอ่ยวิธีนี้ออกมา

กู้ซีจิ่วขมวดคิ้ว

“ไม่ได้!”

ไม่ง่ายเลยกว่าเธอจะช่วยเขากลับมาได้ ไม่อยากให้เขาบาดเจ็บหนักอีกแล้ว!

ตี้ฝูอีกลับมองหยกนภาอย่างครุ่นคิดแวบหนึ่ง

“เจ้ามั่นใจในวิธีนี้หรือ?”

‘แน่นอน มั่นใจอย่างยิ่ง!’

หยกนภาเอ่ยอย่างแข็งขันมั่นใจ

ตี้ฝูอีไม่พูดอะไรอีก พลิกมือเรียกมีดที่ทั้งบางทั้งคมเล่มหนึ่งออกมากลางฝ่ามือ ตัวมีดมีร่องเว้าลงไป คล้ายคลึงกับเล่มนั้นที่กรีดเอาโลหิตหัวใจของอวิ๋นชิงหลัว

เขายื่นมือไปคลายสาบเสื้อตน กู้ซีจิ่วหน้าเปลี่ยนสี ยื่นมือไปดึงมีดมาจากมือเขา

“ไม่ได้! บางทีพวกเราอาจจะยังมีวิธีอื่น เจ้ารอก่อนเถอะ!”

ตี้ฝูอีวาดแขนโอบนางไว้

“วางใจเถอะ ข้ามีแผนการในใจแล้ว”

พลางสกัดจุดนางไว้ เมื่อถึงเวลานางจะได้ขัดขวางไม่ได้

เขาไม่อยากให้นางเห็นฉากกรีดเอาโลหิต ดังนั้นในขณะที่สกัดจุดนาง ก็ได้ใช้แถบผ้าผูกตานางเอาไว้ด้วย

“เด็กดี อีกเดี๋ยวก็เรียบร้อยแล้ว”

————————————————————————————-

บทที่ 2428 พ้นภัย

เอ่ยกระซิบริมหูนางอีกประโยคว่า

“อีกเดี๋ยวต้องให้เจ้าพาข้าออกไปแล้ว”

หลังจากกู้ซีจิ่วถูกสกัดจุด แม้แต่วาจาก็เอ่ยไม่ออกแล้ว ทำได้เพียงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นเสมือนเสาหมุด หัวใจจมดิ่งลงไปเรื่อยๆ…

คล้ายว่าจะเป็นชั่วพริบตาเดียว แต่สำหรับกู้ซีจิ่วแล้ว ช่วงเวลานี้ค่อนข้างยาวนาน

ในที่สุด ร่างกายเธอก็เบาหวิว จุดคลายออกแล้ว!

เธอกระชากแถบผ้าบนใบหน้าออก มองไปที่ตี้ฝูอีอย่างอกสั่นขวัญแขวน เกรงว่าจะได้เห็นเขาในสภาพโชกเลือด บาดเจ็บสาหัสจนล้มอยู่บนพื้น

ค่อยยังชั่ว นอกจากสีหน้าที่ซีดเซียวไปหน่อยแล้วตี้ฝูอีก็ดูไม่มีความผิดปกติอื่นใด สาบเสื้อก็ผูกไว้เรียบร้อยแล้ว มีโลหิตนองอยู่ในฝ่ามือ

โลหิตนั้นเป็นสีม่วงอมแดง สีม่วงเลื่อมพราย ราวกับมีแสงฉัพพรรณรังสีครอบคลุมอยู่

คล้ายว่าเขาก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าโลหิตหัวใจของตนจะมีสีสันเช่นนี้ หลังจากชะงักไปเล็กน้อย ก็เริ่มทำตามวิธีที่หยกนภาบอก…

ผ่านไปครู่หนึ่ง โลหิตในอุ้งมือเขาก็แปลงเป็นยันต์อาคมสีโลหิต พุ่งวาบขึ้นสู่นภา!

มีเสียงอัสนีคำรามแว่วอยู่ในอากาศ อากาศรอบข้างโยกไหวผันผวนดุจบ้าคลั่ง เสียงหัวเราะของสตรีที่เสียดแหลมโหยหวนพลันชะงักลงทันที เลือนหายไปอย่างไม่เต็มใจ…

ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง ขอบฟ้าที่อยู่ไกลออกไปพลันปรากฏปฐพีเขียวขจี เป็นทิวทัศน์ของทุ่งหญ้านอกบึงน้ำผืนนั้น

ในที่สุดเขตแดนวิชามารนั้นก็พังทลายแล้ว!

กู้ซีจิ่วไม่กล้าชักช้า ดึงตี้ฝูอีใช้วิชาเคลื่อนย้ายออกไปทันที

….

เมฆาเคลื่อนคล้อย ทุ่งหญ้าเขียวขจี ผกาไหวลู่ลม…

นี่คือสภาพแวดล้อมที่ธรรมดายิ่ง แต่พอหนีออกมาจากบึงทะเลเพลิงได้ ตอนที่ได้เห็นทิวทัศน์ธรรมดาเช่นนี้อีกครั้ง ยังคงน่ายินดียิ่งนัก

กู้ซีจิ่วกับตี้ฝูอียืนอยู่กลางทุ่งหญ้า ถอนหายใจเหยียดยาวด้วยความโล่งอก

ในที่สุดก็หนีออกมาได้แล้ว!

กู้ซีจิ่วรู้สึกว่าแข้งขาอ่อนเปลี้ยอยู่บ้าง ตี้ฝูอีพิงร่างเธอ ท่าทางค่อนข้างเฉื่อยชาเช่นกัน

กู้ซีจิ่วดึงแขนเสื้อเขา

“ให้ข้าดูอาการบาดเจ็บของเจ้าหน่อย”

เธอกังวลมานานมากแล้ว

ตี้ฝูอีรู้ว่าเมื่อนางนึกสงสัยขึ้นมาแล้ว เช่นนั้นถ้าไม่ได้เห็นจะมิยอมเลิกรา เขาก็ขวางนางไว้ไม่ได้เช่นกัน

ดังนั้นเขาจึงคลายสาบเสื้อออกโดยไม่พูดอะไรสักคำ เปิดบาดแผลนั้นที่อยู่บนแผ่นอกออกมา…

บาดแผลนั้นดูเล็กน้อยยิ่ง ไม่เหมือนถูกเสียบมีดเข้าไป แต่เหมือนถูกเข็มเล่มบางๆ ทิ่มเล็กน้อย ดูไม่อันตรายเลยสักนิด

กู้ซีจิ่วมองสีหน้าที่ซีดเซียวของเขา

“เจ็บมากไหม?”

ไม่พูดพร่ำอะไรอีกหยิบยาสมานแผลขวดหนึ่งออกมาทาลงบนบาดแผลของเขา

ตี้ฝูอียิ้มน้อยๆ มองดูนาง ปล่อยให้นางสาละวนอยู่กับร่างตน…

ยาสมานแผลนี้ของกู้ซีจิ่วมีสรรพคุณในการสร้างเสริมผิวพรรณ เป็นของชั้นเลิศในการรักษาบาดแผลจากคมมีด

ทาลงไปได้ไม่นาน บาดแผลบนร่างของตี้ฝูอีก็เริ่มสมานตัวแล้ว…

เมื่อจัดการบาดแผลเสร็จ ตี้ฝูอีก็เอนซบร่างกู้ซีจิ่ว

“ซีจิ่ว ตามข้ากลับอาณาจักรมารได้ไหม?”

“ได้!”

ตี้ฝูอีคาดไม่ถึงว่านางจะตอบตกลงรวดเร็วปานนี้ ยังนึกว่านางจะเกิดความรู้สึกฝังใจกับอาณาจักรมารไม่อยากไปแล้วเสียอีก เขาถึงขั้นที่นึกคำพูดดีๆ ชุดหนึ่งเอาไว้แล้ว ผลคือไม่ได้เอามาใช้เลย

แม่นางที่เขาหลงรัก ถ้าชอบก็คือชอบ ไม่เคยอวดดื้อถือดี ตรงไปตรงมายิ่งนัก

กู้ซีจิ่วมองไปทางบึงอีกครั้ง ที่นั่นคือทะเลเพลิงผืนหนึ่ง มองอะไรไม่ออกแล้ว

กู้ซีจิ่วเป็นกังวลยิ่งนัก

“ไม่รู้ว่าคุณชายไผ่ขจีกับสององครักษ์จะเป็นอย่างไรบ้าง? พวกเรากลับไปตามหากันดีไหม?”

เธอไม่คิดจะละทิ้งสหาย

ตี้ฝูอียังไม่ทันพูดอะไร จู่ๆ ก็มีประตูบานหนึ่งปรากฏขึ้นไกลๆ คนสามคนกระโจนออกมาจากประตูบานนั้น

ดวงตากู้ซีจิ่วพลันทอประกาย ยินดียิ่ง!

สามคนนั้นคือจู๋ตู๋ชิงกับสององครักษ์!

เพียงแต่สภาพของคนทั้งสามค่อนข้างจนตรอก ผมเผ้าถูกไหม้ไปครึ่งหนึ่ง เสื้อผ้าไหม้เกรียมไปกึ่งหนึ่ง เปื้อนเขม่าดำไปทั้งหน้า ทั้งสามคนราวกับกลิ้งออกมาจากเตาเผาถ่านก็มิปาน

….