บทที่ 2429 พบหน้า / บทที่ 2430 พบหน้า 2

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 2429 พบหน้า

เมื่อสามคนนี้มองเห็นตี้ฝูอีและกู้ซีจิ่วที่ยืนอยู่ตรงนั้น ก็ปีติยินดีจนน้ำตาแทบไหล

สององครักษ์โผเข้ามาคุกเข่าลงเบื้องหน้าตี้ฝูอี

“องค์ราชัน โชคดีที่พระองค์ปลอดภัย!”

จู๋ตู๋ชิงกลับไม่ได้รีบร้อนโผเข้ามา แต่หันหลังกลับไปจัดแจงเสื้อผ้า จัดแต่งทรงผมให้เรียบร้อยสักหน่อยยตามสัญชาตญาณ ถึงขั้นที่หยิบผ้าเช็ดหน้าเปียกหมาดผืนหนึ่งขึ้นมาเช็ดหน้าด้วย…

พอหันกลับมาอีกครั้งก็เป็นผู้เป็นคนแล้ว ยิ้มแย้มดั่งสายลมฤดูใบไม้ผลิให้กู้ซีจิ่ว

“อาจารย์ซีจิ่ว ข้ารู้อยู่แล้วว่าท่านเป็นคนดีสวรรค์คุ้ม ต้องพ้นภัยแน่นอน!”

ตี้ฝูอีมองเขา ยิ้มมิเชิงยิ้ม

“ไม่นึกเลยว่าจะได้พบพวกเจ้าทั้งสามในคราวเดียว จู๋ตู๋ชิง มิใช่เจ้าบอกว่าถ้าเจ้าเปิดอีกครั้งจะหมดสิ้นซึ่งเรี่ยวแรงหรอกหรือ? ทำไมจึงเปิดอีกหนได้เล่า? เปิ่นจวินเห็นว่าสีหน้าของเจ้าก็ยังดีอยู่นี่…”

จู๋ตู๋ชิงยิ้มขื่น

“หากมิใช่เพราะองครักษ์ทั้งสองของเจ้ามอบผลึกวิญญาณชั้นยอดสองก้อนให้ข้าใช้ฟื้นฟูพลังวิญญาณในยามคับขันล่ะก็ ตอนนี้พวกข้าสามคนคงกลายเป็นขี้เถ้าปลิวว่อนแล้ว! ข้าระบุตำแหน่งให้ประตูเปิดออกในทุ่งหญ้าที่อยู่นอกรัศมีหนึ่งพันลี้แล้วชัดๆ ไม่นึกเลยว่าพอออกมาแล้วจะยังอยู่ในบึงนั้นเหมือนเดิม รอบด้านล้วนเป็นลาวาซัดตลบ…ไม่ว่าจะหนีอย่างไรก็หนีไม่พ้น”

สิ่งที่พวกเขาพบพานและยลยินเป็นเช่นเดียวกับพวกเขา สุดท้ายเขาได้เอ่ยเสริมอีกประโยคว่า

“โชคดีที่เมื่อครู่เห็นช่องทางนี้ปรากฏขึ้น ข้าเกรงว่าจะหนีออกมาไม่ทัน จึงเปิดประตูมาโผล่ที่นี่โดยตรงเลย…”

คำอธิบายนี้ไม่มีพิรุธเลย ยิ่งไปกว่านั้นคือยังมีสององครักษ์เป็นพยานให้เขาได้ด้วย ตี้ฝูอีจึงไม่พูดอะไรอีก

จู๋ตู๋ชิงยังฉงนอยู่บ้าง

“เดิมทีบึงนี้รวมเป็นเนื้อเดียวกันราวกับปากหม้อ พวกเราวิ่งจนขาแทบหักก็หาทางออกไม่พบเลย ทางออกนี้เป็นพวกเจ้าที่สร้างขึ้นกระมัง? ใช้วิธีไหนกัน?”

จากนั้นก็มองไปที่ตี้ฝูอีอีกครั้ง

“สีหน้าเจ้าดูย่ำแย่นิดหน่อยนะ บาดเจ็บหรือ?”

ตี้ฝูอีมองเขากลับแวบหนึ่งเช่นกัน

“นี่เจ้าเป็นห่วงเปิ่นจวิน? หรือแค่อยากรู้อยากเห็น?”

จู๋ตู๋ชิงโบกพัดขนห่าน วางท่าสง่างามดุจเซียน

“ท่าราชันมารช่างไม่รู้ดีรู้ชั่วเสียเลย! ถึงอย่างไรก็เป็นเพื่อนร่วมงานกัน เป็นห่วงกันบ้างก็ไม่แปลกกระมัง?”

ตี้ฝูอีไม่สนใจเขา เอนกายพิงร่างกู้ซีจิ่ว สั่งการลูกน้องทั้งสองของตน

“ไปเอารถมา”

รถม้าของพวกเขาจอดไว้นอกบึง ระยะทางอยู่ห่างจากที่นี่ค่อนข้างไกล

องครักษ์จินและหวาเฉียนจวิ้นรับคำหมายจะจากไป

จู๋ตู๋ชิงเอ่ยขึ้นว่า

“นั่งรถม้าของข้าไปเถอะ คันนั้นอยู่แถวนี้”

เขาเงยหน้าเป่านกหวีดคราหนึ่งเสียงหวีดหวิวยาวยิ่งนัก เสียงนกหวีดแว่วออกไปได้ไกลยิ่ง เชื่อว่าลาตัวนั้นจะต้องได้ยิน และสามารถตามมาหาได้ในไม่ช้า

กลับคาดไม่ถึงว่ารออยู่ครึ่งชั่วยามเต็ม ก็ยังไม่เห็นเงาของลาตัวนั้นเลย

กู้ซีจิ่วค่อนข้างฉงน เธอรู้นิสัยและความสามารถของลาตัวนั้นดี ในทุ่งหญ้าไม่มีศัตรูทางธรรมชาติ และในยามคับขันก็ยังพึ่งพาได้ยิ่งนัก

ว่ากันตามเหตุผลแล้ว ขอเพียงมันอยู่ในทุ่งหญ้านี้ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่มา

จิตใจของจู๋ตู๋ชิงก็ค่อนข้างไม่สงบแล้ว เขาจึงเป่านกหวีดอีกครั้ง

หลังจากผ่านไปพักหนึ่ง ก็มีเสียงลาร้องแว่วมาจากที่ไกลๆ เสียงร้องนั้นดูโกรธเกรี้ยวยิ่งนักอยู่บ้าง เหมือนมันถูกผู้ใดจับเอาไว้ ทว่าไม่สามารถปลีกตัวออกมาได้

สีหน้าจู๋ตู๋ชิงพลันแปรเปลี่ยน ขมวดคิ้วแน่น ตะโกนเสียงดังก้อง

“ผู้ใดบังอาจจับลาของข้าไว้?!”

“ข้าเอง”

มีเสียงคนขานรับมาจากที่ไกลๆ น้ำเสียงแจ่มชัดดุจสายลม มีเสน่ห์ดึงดูด

สีหน้ากู้ซีจิ่วแปรเปลี่ยนเล็กน้อย

เป็นเสียงของอวิ๋นเยียนหลี! ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะตามมาแล้ว

อวิ๋นเยียนหลีมารวดเร็วนัก พูดยังไม่ทันขาดคำ เงาร่างเขาก็โผล่มาแต่ไกลแล้ว

และในทันทีที่อวิ๋นเยียนหลีปรากฏตัวขึ้น ตี้ฝูอีที่พิงร่างกู้ซีจิ่วอยู่ก็ยืดตัวยืนตรงอีกครั้ง

————————————————————————————-

บทที่ 2430 พบหน้า 2

ด้านหลังอวิ๋นเยียนหลียังมีลาตัวนั้นติดตามมาด้วย ดูเหมือนเจ้าลาจะถูกผูกเท้าเอาไว้ จึงวิ่งส่ายไปส่ายมา

เมื่อเห็นกู้ซีจิ่วกับจู๋ตู๋ชิง เขาก็กู่ร้องทันที ดวงตาลาที่กลมโตเผยแววขอความช่วยเหลือ

สายตาของอวิ๋นเยียนหลีร่อนลงบนร่างกู้ซีจิ่วก่อนเป็นอันดับแรก ความประหลาดใจฉายอยู่ในดวงตา

“ซีจิ่ว ทำไมเจ้าถึงอยู่ที่นี่?”

จากนั้นก็หันเหไปที่ร่างตี้ฝูอี ม่านตาพลันหดตัว

“ฝ่าบาทเนี่ยนโม่!”

ตี้ฝูอีปัดแขนเสื้อเล็กน้อย ยิ้มบางๆ

“องค์ชายอวิ๋นสบายดีหรือ?”

ดวงหน้าหล่อเหลาของอวิ๋นเยียนหลีเดาอารมณ์ไม่ออก แต่แล้วก็คลี่ยิ้มอ่อนโยนในทันใด

“สบายดีๆ หนึ่งปีมานี้ฝ่าบาทเนี่ยนโม่ไปอยู่ที่ใดมา? ทำให้ข้ากับซีจิ่วตามหาแทบแย่! โชคดีที่ท่านปลอดภัย”

สายตาเขาหันเหไปที่องครักษ์จินและองครักษ์หวาอีกครั้ง สองคนนี้ยังคงดูเหมือนเพิ่งมุดออกมาจากบ่อโคลน ใบหน้าดำขมุกขมัวไปหมด แยกแยะรูปโฉมดั้งเดิมไม่ได้เลย

“สองท่านนี้คือ?”

“พวกเขาเป็นสหายของฝูอี”

กู้ซีจิ่วชิงตอบก่อน จากนั้นก็เอ่ยถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย

“เยียนหลี ทำไมเจ้ามาอยู่ที่นี่ล่ะ?”

อวิ๋นเยียนหลีกระแอมเบาๆ คราหนึ่ง

“หลายวันมานี้ข้าตามหาเจ้าอยู่ตลอด เกรงว่าเจ้าจะเกิดเหตุอันใดขึ้น วันนี้ข้าบังเอิญผ่านมาที่นี่พอดี พบว่าบึงแห่งนี้มีความเคลื่อนไหวผิดปกติ จึงลองเข้ามาดู ไม่นึกเลยว่าจะพบพวกเจ้าเข้า นับว่าเป็นความบังเอิญที่ตรงจังหวะพอดี…”

สายตาเขาร่อนลงที่ร่างของจู๋ตู๋ชิง

“ไม่นึกเลยว่าคุณชายไผ่ขจีก็อยู่ที่นี่ด้วย…”

จู๋ตู๋ชิงยิ้มอย่างเย่อหยิ่งแวบหนึ่ง

“ข้าถือเอาใต้หล้าเป็นบ้าน อยู่ที่นี่แล้วมีอันใดแปลกเล่า? ตัวเจ้าเถอะ เหตุใดต้องสร้างความลำบากให้ลาของข้าด้วย?”

ประโยคสุดท้ายเอ่ยด้วยสุ้มเสียงขุ่นขึ้ง

อวิ๋นเยียนหลีนิ่งชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็ยิ้มอย่างสุขุมแวบหนึ่ง

“ขออภัยด้วย ไม่ทราบเลยว่ามันเป็นสัตว์เลี้ยงของคุณชายไผ่ขจี ล่วงเกินยิ่งนักแล้ว ตอนที่ข้ามาถึงได้เห็นเจ้าลาตัวนี้ เห็นว่ามันหายากจึงมองอยู่หลายแวบ ผลคือไปแหย่ให้มันโมโห วิ่งเข้ามาไล่เตะข้า…”

….

‘เจ้ามองอะไร?’

‘มองเจ้าแล้วจะทำไม?’

‘สารเลว ถ้ามองอีกข้าจะเตะเจ้าให้ตายเลย!’

‘ถ้าเจ้ากล้าเตะข้า ข้าจะผูกเท้าเจ้าไว้!’

‘มารดามันเถอะ กล้าผูกข้าหรือ! ข้าจะเรียกกองหนุน! เจ้านาย รีบมาช่วยพ่อเฒ่าที!’

ด้านบนคือการจำลองเหตุการณ์

อวิ๋นเยียนหลีพลันตวัดแขนเสื้อ สี่เท้าของลาตัวนั้นได้รับอิสรภาพอีกครั้ง วิ่งไปอยู่ข้างกายจู๋ตู๋ชิงทันที จากนั้นก็แยกเขี้ยวยิงฟันใส่อวิ๋นเยียนหลี

อวิ๋นเยียนหลีก็ไม่ถือสาหาความกับมันเลย สายตาหันเหไปทางบึง

“ซีจิ่ว เจ้าหนีออกมาจากที่นั่นหรือ? รู้หรือเปล่าว่าเกิดอะไรขึ้นในบึง?”

“ภัยธรรมชาติน่ะ มีฝนอุกกาบาตตกลงมาในบึง ทุกชีวิตที่อยู่ข้างในล้วนย่อยยับ…”

ตอนที่อวิ๋นเยียนหลีแยกทางกับกู้ซีจิ่ว ไม่รู้ว่าเธอรู้เรื่องทุกอย่างของเขาแล้ว ดังนั้นพอพบหน้ากันอีกครั้ง กู้ซีจิ่วจึงไม่กระโตกกระตาก ยังคงแสร้งทำเป็นไม่ทราบฐานะของเขา พูดคุยทักทายเขาเสมือนสหายทั่วไป

และอวิ๋นเยียนหลีก็ไม่รู้จักราชันมารแห่งอาณาจักรมาร อีกทั้งยามนี้ตี้ฝูอีไม่ได้แต่งตัวคล้ายราชันมารเลย ดังนั้นอวิ๋นเยียนหลีจึงไม่ทราบชั่วขณะว่าตี้ฝูอีก็คือราชันมาร…

แววตาอวิ๋นเยียนหลีวูบไหวเล็กน้อย เขายังหมายปองในตัวกู้ซีจิ่วอยู่ เรื่องที่เสแสร้งปิดบังยังไม่ถูกเปิดโปง เขาจึงยังไม่กล้าสร้างความขุ่นเคืองให้นางจริงๆ…

แขนข้างหนึ่งของตี้ฝูอีโอบเอวบางของกู้ซีจิ่ว

“ซีจิ่ว ข้าเหนื่อยแล้ว พวกเราไปกันเลยไหม?”

กู้ซีจิ่วพยักหน้า หมายจะกล่าวอำลาอวิ๋นเยียนหลี

อวิ๋นเยียนหลีไหนเลยจะปล่อยให้พวกเขาจากไปกันตามลำพังได้?

เขายิ้มแวบหนึ่ง

“ซีจิ่ว พวกเราไม่ได้เจอกันนานแล้ว ข้าอยากจะสนทนากับเจ้าหน่อย”

แล้วผงกหัวให้ตี้ฝูอีด้วย

“ฝ่าบาทเนี่ยนโม่ คุณชายไผ่ขจี ข้าน้อยมีคำถามมากมายที่อยากขอคำชี้แนะจากทั้งสองท่าน ไปร่ำสุราที่เมืองเล่อกั่วด้วยกันหน่อยดีหรือไม่? และวันนี้ก็มีพิรุณโลหิตด้วย พวกเราจะได้หลบฝนในเมืองได้พอดี”