บทที่ 2431 พบหน้า 3 / บทที่ 2432 เห็ดมรรคาม่วง

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 2431 พบหน้า 3

เขาดีดนิ้วคราหนึ่ง แสงสีฟ้าสายหนึ่งพุ่งตัดอากาศ

ผ่านไปครู่หนึ่ง รถม้าคันใหญ่โต เพียงพอจะรับรองคนได้นับสิบคันหนึ่งก็ร่อนลงมาจากฟากฟ้าโดยมีอาชาเวหาสามตัวลากมา

บนรถม้ามียอดฝีมือชุดน้ำเงินสี่คน รถม้ายังไม่ทันร่อนถึงพื้น สี่คนนั้นก็กระโดดลงมาจากบนรถแล้ว

ร่อนสู่พื้น ธุลีไม่ปลิวขึ้นมาเลย ค้อมกายทำความเคารพอวิ๋นเยียนหลี

“ท่านเจ้าเมือง มีเรื่องใดจะสั่งการหรือขอรับ?”

อวิ๋นเยียนหลีมองกู้ซีจิ่วด้วยรอยยิ้ม

“ซีจิ่ว คุณชายฝูอี คุณชายไผ่ขจี เชิญ!”

กู้ซีจิ่วเลิกคิ้วมองเขา

“เจ้าเมือง? เจ้าได้เป็นเจ้าเมืองหรือ? เมืองไหนกันล่ะ?”

อวิ๋นเยียนหลีเอ่ยด้วยน้ำเสียงอบอุ่น

“เมืองเล่อกั่ว (ผลเปรมปรีดิ์) ซีจิ่ว ข้าไม่อยากให้ชาวเผ่าของเจ้าต้องทนทุกข์อยู่ที่เมืองลั่วฮวาแล้ว ดังนั้นจึงหาทางชิงตำแหน่งเจ้าเมืองของเมืองเล่อกั่ว สองวันก่อนได้รับตัวชาวเผ่าเหล่าสหายของเจ้ามาที่เมืองเล่อกั่วแล้ว สุขสบายกันดี ตอนนี้พวกเขาก็คะนึงหาเจ้ามากเช่นกัน ตอนนี้เจ้าก็จะได้กลับไปพบพวกเขาพอดี”

กู้ซีจิ่วเงียบไป

เธอใจหายวาบ ดูเหมือนอวิ๋นชิงหลัวคิดจะใช้ชาวเผ่าเหล่านั้นมาควบคุมเธอ…

วรยุทธ์ของอวิ๋นเยียนหลีเลิศล้ำ ถ้าแตกหักกับเขาตอนนี้ เกรงว่าจะดึงดูดให้เขาสงสัย กลายเป็นการฉีกหน้าเผยโฉมทันที

ตัวเธอน่ะไม่กลัว ทว่าตี้ฝูอีไม่ไหว…

ตี้ฝูอีเพิ่งกรีดโลหิตหัวใจไป ถึงแม้เขาจะฝืนยืนหยัดได้ แต่ก่อนหน้านี้ตอนที่เขาเอนซบร่าง กู้ซีจิ่วสัมผัสถึงหยาดเหงื่อบนร่างเขาได้

ตอนนี้เขาอ่อนแอมาก ต้องพักฟื้นอย่างเร่งด่วน ไม่มีทางต่อสู้ได้

และสององครักษ์ก็เป็นม้าตีนปลายอยู่แล้ว ถ้าสู้กันขึ้นมาจริงๆ เกรงว่าจะยืนหยัดได้ไม่กี่กระบวนท่าเท่านั้น

ส่วนจู๋ตู๋ชิง ตอนนี้เขาอยู่ในสภาพที่พร้อมจะทรุดลงไปได้ทุกเมื่อแล้วเช่นกัน…

เห็นทีว่าคงต้องคล้อยตามเขาไปก่อน แล้วค่อยวางแผนกันอีกที ขอเพียงอวิ๋นเยียนหลีไม่ฉีกหน้าเผยโฉมออกมา พวกเขาก็ยังมีความหวังที่จะล่าถอยไปได้อย่างปลอดภัย…

ดังนั้นเธอจึงส่งสายตาให้ตี้ฝูอีแวบหนึ่ง เอ่ยว่า

“ถ้างั้น ในเมื่อเจ้ามีความตั้งใจแล้ว เช่นนั้นเคารพก็มิสู้น้อมตาม…”

ตี้ฝูอีหาวอย่างเฉื่อยชาคราหนึ่ง

“คุณชายอย่างข้ารับคำเชิญก็ได้ แต่คุณชายอย่างข้าไม่คุ้นชินการโดยสารรถม้าร่วมกับผู้อื่น นอกเสียจากเจ้าจะยกรถม้าคันนี้ให้ข้าผู้เป็นคุณชาย มิเช่นนั้นท่านผู้สูงศักดิ์ก็เชื้อเชิญข้ามิได้”

อวิ๋นเยียนหลีนิ่งไปเล็กน้อย

ตี้ฝูอียิ้มเอ้อระเหย

“คงมิใช่ว่าแม้กระทั่งความจริงใจเล็กน้อยในจุดนี้คุณชายอวิ๋นก็ไม่มีกระมัง?”

อวิ๋นเยียนหลีถอนหายใจ

“จะเป็นไปได้อย่างไร? คุณชายฝูอี เชิญ! ข้ายังมีรถม้าคันอื่นอยู่…”

แล้วหันไปสั่งการผู้คุ้มกันคนหนึ่งที่อยู่ข้างกาย

“เรียกรถม้าธิดาเงินของข้าผู้เป็นเจ้าเมืองมาด้วย”

ผู้คุ้มกันคนนั้นตอบรับ รีบผิวปากทันที

ผ่านไปครู่หนึ่ง รถม้าอีกคันก็ปรากฏขึ้นบนฟากฟ้า อาชาสีเงินรถสีเงิน ดูทรงภูมิยิ่งนัก

อวิ๋นเยียนหลีเสมือนนกยูงตัวหนึ่ง กระตือรือร้นที่จะรำแพนขนหางอันงดงามของตนต่อหน้ากู้ซีจิ่ว รถม้าที่เรียกมางดงามยิ่งกว่าคันเดิมอีก

เขากวักมือเรียกกู้ซีจิ่ว

“ซีจิ่ว ไม่เจอกันตั้งนาน ไปนั่งรถม้าคันเดียวกับข้าไหม? ข้ามีเรื่องมากมายที่อยากจะคุยกับเจ้า”

กู้ซีจิ่วยังไม่ทันได้อ้าปาก ตี้ฝูอีก็เอนซบร่างเธออีกครั้งแล้ว

“เด็กน้อย เจ้าโดยสารไปกับข้าเถอะ ข้ามีเรื่องเยอะแยะที่อยากเล่าให้เจ้าฟัง”

พลางลอบบีบมือน้อยของกู้ซีจิ่วเบาๆ กู้ซีจิ่วเข้าใจเจตนา ยิ้มให้อวิ๋นเยียนหลีแวบหนึ่ง

“ขอโทษนะ ข้าเพิ่งหาเขาพบได้ไม่นาน อยากพูดคุยกับเขา เดี๋ยวรอกลับถึงเมืองเล่อกั่ว ซีจิ่วค่อยสนทนารำลึกความหลังกับคุณชายอวิ๋นก็แล้วกัน”

พลางจับตี้ฝูอีแล้วเคลื่อนย้ายไปสู่ในรถม้าคันนั้นทันที

อวิ๋นเยียนหลีนิ่งงัน…

เขามองส่งเงาหลังของพวกกู้ซีจิ่วทั้งสองแล้วกำหมัดนิดๆ แววสังหารวาบผ่านนัยน์ตา

เดิมทีเขาคิดจะฉวยโอกาสที่ตี้ฝูอีโดยสารรถม้าตนลอบปองร้ายเขาเสีย นึกไม่ถึงเลยว่าฝ่าบาทผู้นี้จะมีนิสัยระแวดระวังถึงเพียงนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะลากกู้ซีจิ่วไปนั่งรถด้วย…

————————————————————————————-

บทที่ 2432 เห็ดมรรคาม่วง

มีกู้ซีจิ่วอยู่ เขาก็ไม่สะดวกจะลงมือแล้ว…

ช่างเถอะ วันหน้ายังมีโอกาสอยู่ เขาต้องหาทางกำจัดอีกฝ่ายทิ้งโดยที่เทพไม่รู้ผีไม่เห็น พยายามไม่ให้กู้ซีจิ่วจับสังเกตได้…

เขากวาดตามองจู๋ตู๋ชิงอีกคราหนึ่ง ประสานแขนเสื้อ

“คุณชายไผ่ขจี อยากร่วมโดยสารกับข้าหรือไม่?”

จู๋ตู๋ชิงมองเขาแวบหนึ่ง เชิดคางเล็กน้อย

“ข้ามีรถม้าเป็นของตัวเอง ไม่รบกวนท่านเจ้าเมืองดอก”

พลันล้วงมือเข้าไปในแขนเสื้ออย่างอ้อยอิ่ง หยิบกลุ่มแสงสีเขียวออกมา โยนลงบนพื้น ลำแสงสีเขียวกลายเป็นรถม้าไผ่สีเขียวขจี เขาเทียมเข้ากับเจ้าลาตัวนั้น แล้วมุดเข้ารถม้าของตนไป

อวิ๋นเยียนหลีปรายตามององครักษ์มารสองคนนั้นแวบหนึ่ง ปกติสองคนนี้ก็ธรรมดายิ่งนักอยู่แล้ว อวิ๋นเยียนหลีจึงไม่รู้จักพวกเขา นับประสาอะไรกับยามนี้ที่พวกเขาไม่ได้สวมชุดของตำหนักมารอยู่

อวิ๋นเยียนหลียังคงอยากรู้ยิ่งนักว่าตี้ฝูอีพบพานอันใดในหนึ่งปีมานี้ คิดจะล้วงข้อมูลออกมาจากปากองครักษ์สองคนนี้ ดังนั้นเขาจึงคิดจะเชิญองครักษ์สองคนนี้ขึ้นรถ โดยไม่สนใจว่าจะเป็นการลดเกียรติหมิ่นศักดิ์

เพียงแต่เขาเพิ่งเอ่ยวาจานี้ออกไป ตี้ฝูอีที่อยู่บนรถอีกคันก็เอ่ยขึ้นมาแล้ว

“พวกเจ้าสองคน ยังไม่มาบังคับรถให้ข้าผู้เป็นคุณชายอีกหรือ? คิดจะเป็นแขกผู้ทรงเกียรติอันใดไปจริงๆ แล้วกระมัง?”

ด้วยเหตุนี้ พวกองครักษ์ทั้งสองจึงประสานมือให้อวิ๋นเยียนหลีเล็กน้อย แล้วก็ตรงไปยังรถม้าคันนั้นของตี้ฝูอีเลย

คนของอวิ๋นเยียนหลีที่เดิมทีอยู่บนรถก็ถูกไล่ลงมาแล้ว

เนื่องจากตี้ฝูอีจอมจู้จี้กล่าวว่า เขาไม่ชอบให้คนไม่คุ้นเคยมาขับรถให้…

อวิ๋นเยียนหลีทนแล้วทนอีก ถึงได้สะกดตัวเองไม่ให้ซัดฝ่ามือใส่รถคันนั้นให้แหลกเป็นเศษซาก ซัดตี้ฝูอีผู้นั้นให้กลายเป็นเนื้อบดได้…

….

รถม้าของอวิ๋นเยียนหลีสะอาดสะอ้านยิ่ง การตกแต่งก็สง่างามสะอาดตา ข้าวของด้านในครบครันอย่างยิ่ง

ตั่งปักดิ้น พรมปูพื้น โต๊ะเล็ก ผลไม้ น้ำสะอาด มีทุกสิ่งที่ควรมี

ตี้ฝูอีเอนหลังซบตั่ง เหงื่อเย็นเฉียบไหลย้อยจากหน้าผาก

กู้ซีจิ่วจับมือเขาไว้ หลังจากตรวจชีพจรให้เขาเสร็จ สีหน้าก็แปรเปลี่ยนนิดๆ

ชีพจรของเขาคล้ายตะเกียงที่ใกล้หมดน้ำมันแล้ว ชัดเจนยิ่งนัก การกรีดโลหิตหัวใจเพื่อทำลายเขตแดนในบึง ผลาญพลังชีวิตของเขามากเกินไป…

ตัวเขาในตอนนี้ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญทั่วไปสักคนก็สามารถฟาดเขาให้แบน ทุบให้ปลิวได้แล้ว

การที่เมื่อครู่เขาสามารถแสดงท่าทีสงบนิ่ง เสมือนไม่เป็นอะไรต่อหน้าอวิ๋นเยียนหลีได้ช่างเป็นเรื่องที่หาได้ยากจริงๆ

มิเช่นนั้นก็ยากจะจินตนาการได้ว่าเยียนหลีจะไม่ลงมือ…

หนนี้ที่อวิ๋นเยียนหลียังไม่ลงมือชั่วคราว อย่างแรกเป็นเพราะไม่อยากให้กู้ซีจิ่วเห็น อย่างที่สองก็คือเขายังหยั่งตื้นลึกหนาบางของตี้ฝูอีไม่ได้ เกรงว่าถ้าลงมือแล้วจะเกิดศึกยืดเยื้อ เมื่อถึงเวลาไม่รู้ว่าจะมีตัวแปรอันใดหรือไม่…

เพียงแต่ ด้วยความชิงชังที่อวิ๋นเยียนหลีมีต่อตี้ฝูอี การลงมือของเขาก็เป็นเรื่องของเวลาว่าจะช้าหรือเร็ว…

‘ฝูอี มิสู้ให้ข้าพาเจ้าเคลื่อนย้ายหลบหนีไปอย่างเงียบเชียบ…’

กู้ซีจิ่วส่งกระแสเสียงหาเขา

รถม้าคันนี้เป็นของอวิ๋นเยียนหลี ไม่รู้ว่าในรถจะติดตั้งกลไกสอดแนมเอาไว้หรือไม่ ดังนั้นกู้ซีจิ่วจึงระมัดระวังยิ่ง

ตี้ฝูอีพิงอยู่ตรงนั้น ดวงตามองไปที่กู้ซีจิ่ว

‘เจ้าหนีไปเช่นนี้ เจ้าไม่กลัวว่าเขาจะทำร้ายชาวเผ่าของเจ้าหรือ?’

กู้ซีจิ่วชะงักไปเล็กน้อย

‘ไม่กลัว!’

‘หือ?’

‘ตอนนี้ขอเพียงข้าไม่แตกหักกับอวิ๋นเยียนหลีอย่างแท้จริง เขาก็คงไม่นำชาวเผ่ามาข่มขู่ข้าในระยะเวลาอันสั้นนี้…ตอนนี้คนที่ตกอยู่ในอันตรายที่สุดคือเจ้า เมื่อเขาพบว่าเจ้าอยู่ในสภาพนี้ เกรงว่าเขาคงปองร้ายเจ้าในทันที! เจ้าจะเกิดเรื่องขึ้นอีกไม่ได้เด็ดขาด!’

กู้ซีจิ่วห่วงใยชาวเผ่าเหล่านั้นจริงๆ ถึงแม้พวกเขาจะไม่ใช่ชาวเผ่าของเธอจริงๆ แต่ถึงอย่างไรก็รับเธอไว้ในช่วงที่เธอลำบากเข้าตาจนที่สุด เธอยังคงมีความรู้สึกที่ดีต่อพวกเขาอยู่ ไม่อยากให้พวกเขาต้องกลายเป็นตัวเบี้ยในเกมของเธอกับอวิ๋นเยียนหลี

ดังนั้นเธอจะพยายามปกป้องความปลอดภัยของพวกเขาไว้…