เฟิงอวิ๋นซิวกล่าว “ทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นความสมัครใจของข้า ข้าไม่สามารถที่จะควบคุมจิตใจของตนเองได้ มันมิได้เกี่ยวอะไรกับเจ้า! ถ้าหากว่าในที่สุดเกิดเรื่องบาดหมางขึ้นกับเราทั้งสองฝ่าย บางทีข้าอาจจะลงมือฆ่าเจ้าก็ได้”
“ถึงแม้ว่าเจ้านั้นจะเหมือนกับนาง แต่เจ้าก็มิใช่นาง เมื่อตอนที่เห็นเจ้าเป็นครั้งแรกนั้นข้าเองก็รู้ดี” เฟิงอวิ๋นซิวกล่าวพร้อมถอนหายใจออกมา ความคิดถึงที่ค้างอยู่ในใจ ได้ถูกกำหนดให้เป็นอุปสรรคของเขา
มู่เฉียนซีกล่าว “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เมื่อถึงเวลานั้นข้าเองก็ไม่มีอะไรให้ต้องกังวลแล้ว ข้าเองก็จะไม่ออมมือให้เช่นกัน เมื่อถึงตอนนั้นเกรงว่าเจ้าจะเสียใจในภายหลังที่ช่วยข้า อีกทั้งยังพาข้าไปหากระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์”
“นำเอาภัยคุกคามที่ซ่อนเร้นมาไว้ในที่ที่อยู่ใต้ตาตนเองมิใช่ว่าดีกว่าหรือ?” เฟิงอวิ๋นซิวกล่าวขึ้นอย่างเบาๆ
“ดูเหมือนว่าจิตใจของเจ้านั้นจะล้ำลึกยิ่งนัก” มู่เฉียนซีกล่าวพลางยิ้มไป
ระหว่างทางไปยังสำนักหลัวเทียนพวกเขาได้พูดคุยกันไปมิน้อย ราวกับเป็นมิตรสหายสนิทชิดใกล้ที่รู้จักกันมาหลายปี
แต่สำหรับเรื่องของแก้วตาดวงใจของเฟิงอวิ๋นซิวที่หน้าตาคล้ายนางเป็นอย่างมากนั้น มู่เฉียนซีก็มิได้ปากสว่างแพร่งพรายออกไป
นั่นก็คงจะเป็นแค่คนผู้หนึ่งที่มีรูปลักษณ์คล้ายกับนางเท่านั้น! อย่างไรเสียนางก็ไม่เคยได้ยินท่านอารองบอกว่านางยังมีพี่สาวอีกคน
ส่วนจะเป็นท่านแม่ของนางนั้น ยิ่งเป็นไปไม่ได้เลย
ปีนี้เฟิงอวิ๋นซิวเพิ่งมีอายุได้ยี่สิบปีเท่านั้น อายุของเขาน้อยกว่าพี่ชายของนางเพียงหนึ่งปี นั่นยิ่งเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน
ในฐานะที่เป็นนายน้อยแห่งตําหนักตงจี๋ แน่นอนว่าเฟิงอวิ๋นซิวได้ใช้สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่บินได้เร็วที่สุดเดินทางไปยังสำนักหลัวเทียน
แรงกดดันของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับที่ห้าได้ปกคลุมไปทั่วบริเวณท้องฟ้าและลงมายังพื้นดิน เจ้าสำนักหลัวเทียนได้ออกมาต้อนรับด้วยเหงื่อที่ไหลเต็มหน้าผาก
“ข้าน้อยหลัวปู้ ขอต้อนรับนายน้อยแห่งตำหนักตงจี๋ ขออภัยที่ทำการต้อนรับขาดตกบกพร่อง ขออภัย!” เมื่อใบหน้าอันเฒ่าชราของหลัวปู้ได้เผยรอยยิ้มออกมา รอยย่นทั้งบนในหน้าของเขานั้นก็ได้มาชนรวมเข้าด้วยกันทั้งหมด
เฟิงอวิ๋นซิวก้าวลงมาจากสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อย่างสง่างามและมองสำรวจไปยังเจ้าสำนักหลัวเทียนอย่างเย็นชาแล้วกล่าวขึ้น “พวกตำหนักเป่ยหานมาถึงแล้ว?”
“ใต้เท้าจากตำหนักเป่ยหานแต่ละท่านได้มาถึงแล้ว เชิญนายน้อยที่ด้านใน!”
ไม่ว่าอย่างไรสำนักหลัวเทียนของพวกเขาก็เป็นสำนักนิกายระดับสองที่จัดอยู่ในอันดับที่สองของทวีปเหลยโจว แต่เมื่ออยู่ต่อหน้านายน้อยแห่งสำนักตงจี๋ซึ่งเป็นสำนักนิกายระดับสาม เขากลับต้องแสดงตัวเป็นคนรุ่นหลานที่ให้ความเครารพยำเกรงเท่านั้น
ขุมกำลังใหญ่ต่างๆในใต้หล้า หากขั้นของสำนักนิกายห่างกันแค่เพียงระดับเดียว นั่นก็คือความต่างชั้นที่ห่างกันราวฟ้ากับดิน
เมื่อเฟิงอวิ๋นซิวได้ก้าวเข้าสู่ห้องโถงใหญ่ของสำนักหลัวเทียน ก็ได้ยินเสียงหนึ่งที่ชาจนเข้ากระดูกลอยออกมา
“ซิว ในที่สุดเจ้าก็มาเสียที ข้าน้อยช่างคิดถึงท่านอย่างมากที่สุดจริงๆเลย!”
เสียงนี้เมื่อผู้อื่นได้ยินแล้วทำให้รู้สึกชาเข้าไปถึงกระดูกและมันมีเสน่ห์อย่างหาที่เปรียบมิได้
มู่เฉียนซีเงยหน้ามองเงาร่างสีแดงอมชมพูในห้องโถงนั้น นางเป็นหญิงสาวที่มีเอวบางราวกับสายน้ำไหลที่ใสสว่าง
หญิงสาวผู้นี้มากด้วยเสน่ห์ ภายใต้เครื่องแต่งหน้านั้นนางมีชีวิตชีวาราวกับสาวงามปีศาจจิ้งจอกนางหนึ่งที่จุติมาบนโลก
ในตอนนี้หลิงได้มองเห็นมู่เฉียนซีที่เดินเข้ามาทางประตู เสียงรบกวนที่แว่วดังเข้าหูมานั้นทำให้เขาไม่พอใจเป็นอย่างมาก
“หุบปาก!”
“หลิง เจ้านี่แย่ยิ่งนัก!” หญิงสาวเบ้ริมฝีปากสีแดงทับทิมที่สดใสและมองไปที่หลิงด้วยความไม่พอใจเป็นอย่างมาก
“หุบปาก!”
เมื่อหญิงสาวได้หันกลับไปมอง ก็พบว่าสายตาของหลิงตกไปอยู่ที่ประตูทางเข้า
นางยิ้มอย่างมีเสน่ห์แล้วกล่าว “พวกพี่องครักษ์ซวนนั้นก็ยังคงหล่อเหลาอยู่เช่นเดิมเลยนะ! ยิ่งมองดูอวี้จีก็ยิ่งชอบมากขึ้นจริงๆแล้วสิ…..”
และสายตาของอวี้จีที่กำลังมองอย่างพิจารณานั้นก็ได้ตกไปอยู่บนตัวของมู่เฉียนซี “รูปลักษณ์ของน้องสาวผู้นี้ช่างเป็นหนึ่งในโลกา! แม้อวี้จีเองก็ยังห่างไกลอย่างมิอาจเปรียบได้ ได้ยินมาว่าพวกเจ้าสำนักตงจี๋มีสตรีศักดิ์สิทธิ์ผู้หนึ่ง หรือว่าน้องสาวผู้นี้จะเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ของสำนักตงจี๋”
ดวงตาของนางที่หมุนมองไปมาอยู่บนใบหน้าทรงไข่ของมู่เฉียนซีนั้น แทบอยากที่จะให้สายตาของตนนั้นเปลี่ยนเป็นคมมีด และกรีดไปบนใบหน้าทรงไข่ที่งดงามตรงหน้านี้สักสองสามแผล
มู่เฉียนซียิ้มอย่างไร้เดียงสาแล้วกล่าว “ท่านป้า เกรงว่าอายุของท่านนั้นคงจะมากกว่ามารดาของข้าเสียอีก! มารดาของข้าคงจะให้กำเนิดบุตรสาวเช่นท่านมาไม่ได้อย่างแน่แท้”
อายุมากกว่ามารดาของนางเสียอีก! ใบหน้าของอวี้จีใกล้จะบูดเบี้ยวขึ้นมาแล้ว
นางยิ้มแล้วกล่าว “น้องสาวผู้นี้ช่างล้อเล่นเก่งนัก ข้าอยากจะ……”
เงาร่างสีแดงนั้นกำลังจะลุกยืนขึ้น ปรากฏว่าได้มีเสียงที่เหี้ยมโหดเสียงหนึ่งลอยมา “นั่งลง อย่าได้ทำให้เสียเรื่องที่นี่! ไม่งั้นข้าจะฆ่าเจ้า ”
ทันใดนั้นพลันมีจิตสังหารอันกระหายเลือดกระแสหนึ่งแผ่ซ่านไปทั่วห้องโถง
อวี้จียกขาขึ้นนั่งไขว้กันอย่างมีเสน่ห์ แต่นางก็ไม่กล้าที่จะกล่าวมากความไปกว่านี้อีกแม้ประโยคเดียว
ซวนอีแอบกล่าวออกมา “หลิงเป็นผู้ที่เลือดเย็นถึงขีดสุดอย่างที่คิดเอาไว้จริงๆ แม้แต่คนของตนเองก็ยังไร้ซึ่งความปรานี”
มุมปากของมู่เฉียนซียกโค้งขึ้นเล็กน้อย ต่อหน้าอารองของนาง นางพยายามที่จะเก็บซ่อนความรู้สึกที่ไม่ดีของนางไว้ นางคิดว่าอารองนั้นกินหญ้าหรืออย่างไร?
เฟิงอวิ๋นซิวและมู่เฉียนซีได้เดินเข้าไปที่กลางห้องโถง เมื่อมู่เฉียนซีนั่งลงที่ข้างตัวของเฟิงอวิ๋นซิว เขาก็รู้สึกได้ถึงสายตาอันชั่วร้ายที่ตกทอดมาอยู่บนตัวของเขา
เฟิงอวิ๋นซิวเงยหน้ามองไปทางหลิง จิตสังหารนั้นก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้นไปอีก
ในตอนนี้หลิงที่ไม่สามารถจะพูดคุยกับหลานสาวได้ก็หดหู่มากพออยู่แล้ว แต่ที่แย่ไปมากกว่านั้นก็คือหลานสาวของตนนั้นได้ไปนั่งอยู่ข้างกายของเฟิงอวิ๋นซิว มันช่างน่ารังเกียจถึงขีดสุด
ปัญหาเรื่องเจ้ามู่ซีผู้นั้นยังไม่ได้จัดการให้เสร็จสิ้นเลย! มาวันนี้กลับมีเฟิงอวิ๋นซิวโผล่มาอีกคนหนึ่ง ไม่แน่ว่าใบหน้านั้นที่ขาวผ่องของเฟิงอวิ๋นซิวอาจจะหล่อเหลาพอที่จะดึงดูดหลานสาวของเขาก็เป็นได้!
ใบหน้าของหลิงในตอนนี้แข็งยะเยือกราวกับผีดิบก็มิปาน ในใจของเขานั้นได้กร่นด่าเฟิงอวิ๋นซิวเสียจนตลบไปหมดแล้ว เมื่อเวลานานเข้าความอิจฉาริษยาและเกลียดชังที่มีต่อเฟิงอวิ๋นซิวก็มีมากขึ้น จิตสังหารของเขาก็น่ากลัวมากขึ้นเรื่อยๆ
ในตอนนี้เจ้าสำนักหลัวเทียนเองก็กำลังลูบคลำเหงื่อที่ซึมออกมาบนหน้าผากของตน เขานั้นกลัวว่าผู้พิทักษ์ฝ่ายซ้ายแห่งตำหนักเป่ยหานกับนายน้อยแห่งตำหนักตงจี๋จะต่อสู้กันขึ้นมา!
ถ้าหากว่าเกิดการเปิดศึกเกิดขึ้น ห้องโถงเล็กๆแห่งนี้ของเขาคงรับเอาไว้ไม่ไหวจริงๆ
การประมือครั้งก่อนหลิงไม่มีจิตสังหารเช่นนี้ แต่การพบกันในวันนี้มันกลับกลายเป็นน่ากลัวมากจนถึงขั้นนี้
มันราวกับว่าอีกฝ่ายหนึ่งได้ไปฆ่าล้างตระกูลเขาไว้ก็มิปาน เฟิงอวิ๋นซิวรู้สึกไม่เข้าใจเป็นอย่างมาก
ในตอนนี้ซวนอีเองก็ระแวดระวังเป็นอย่างมาก และเตรียมตัวที่จะรับมือกับหลิงที่พร้อมพิฆาตฆ่าอยู่ทุกเมื่อ มู่เฉียนซีมองไปทางหลิง…..
อารอง ตอนนี้มิใช่เวลาที่จะมาทะเลาะกัน ท่านใจเย็นหน่อยสิ ใจเย็น…….
หลิงเลิกคิ้วขึ้น สายตาที่คมกริบนั้นมองผ่านไป เจ้าหมอนั่นนั่งอยู่กับเจ้า เจ้าจะให้ข้าที่เป็นอารองใจเย็นอยู่ได้อย่างไร
มู่เฉียนซีแสยะมุมปาก ข้ากับเฟิงอวิ๋นซิวไม่มีอะไรกันจริงๆ
พวกเขาทั้งสองอาหลานแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก เพียงแค่ใช้สายตาสื่อสารก็สามารถรู้ได้ถึงความคิดของอีกฝ่ายหนึ่งโดยที่ไม่มีใครล่วงรู้
ในที่สุดหลิงก็ได้เก็บจิตสังหารของเขากลับไป เมื่อครู่นี้เขาเสียสติไปอยู่บ้าง ถ้าหากว่าจิตสังหารนั้นได้ระเบิดออกมาเสียจนทำให้หลานสาวของตนตกใจกลัวก็คงจะไม่ดีนัก
การระเบิดจิตสังหารออกมาของหลิงนั้นเป็นเรื่องที่ประหลาดนัก และการเก็บเอาจิตสังหารนั้นกลับไปก็ประหลาดอีกเช่นกัน
หลิงกล่าวขึ้น “เฟิงอวิ๋นซิว พาคนของพวกเจ้าไสหัวออกไปจากที่นี่เสีย สนามรบโบราณแห่งที่ห้าในทวีปเหลยโจว พวกเราตำหนักเป่ยหานได้จองเอาไว้ก่อนแล้ว”
เสียงอันสง่างามของเฟิงอวิ๋นซิวได้ถูกส่งออกมา “สนามรบโบราณแห่งที่ห้าในทวีปเหลยโจวนั้นมิได้เป็นของตำหนักเป่ยหาน และดูเหมือนว่าผู้พิทักษ์ฝ่ายซ้ายก็ไม่มีสิทธิ์มาสั่งให้พวกเราออกจากที่แห่งนี้ไป”
“เจ้าไม่จากไป หรือว่าเจ้าอยากให้ข้าฆ่าเจ้าเลยในตอนนี้หรือ?” หลิงลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว สายตาของเขานั้นเย็นยะเยือก
เขาอดทนมานานแล้ว!
“ถ้าหากผู้พิทักษ์ฝ่ายซ้ายจะลงมือที่นี่ แน่นอนว่าอวิ๋นซิวนั้นจะร่วมเล่นเป็นเพื่อน!”
ทั้งสองนั้นกำลังจะลงมือต่อกัน แต่ทว่าเป้าหมายของทั้งสองนั้นแตกต่างกันมากนัก
หลิงนั้นไม่ชอบใจที่เห็นเฟิงอวิ๋นซิวนั่งอยู่ข้างเคียงหลานสาวของตนอย่างสง่าผ่าเผย ส่วนเฟิงอวิ๋นซิวนั้นแน่นอนว่าเป็นเหตุผลที่ว่าเขาไม่ยอมให้ผู้ใดมาทำการท้าทายยั่วยุ
ในตอนนี้เองมู่เฉียนซีได้กล่าวขึ้น “ทำไมถึงต้องลงมือกันในที่แห่งนี้ด้วยเล่า รอจนเข้าไปในสนามรบโบราณแห่งที่ห้าแล้วหาของล้ำค่าจนพบ จากนั้นค่อยมาตัดสินแพ้ชนะกัน เช่นนั้นมิใช่ว่าจะดีกว่าหรือ?”