ตอนที่ 274-2 ไพร่ซูหย่วนจือ

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

อำมาตย์ฝางมองดูเงาหลังที่ห่างออกไปช้าๆ ของบุตรชายคนโต ปากอ้าแล้วอ้าอีกสุดท้ายก็ไม่ได้เรียกออกเสียง ยามนี้ความรู้สึกในใจเขาร้อยแปดพันเก้า เสียใจภายหลังจนอยากตาย หากว่า หากว่ารู้ว่าบุตรชายคนรองคนที่สามและคนที่สี่ไร้สามารถถึงเพียงนี้ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่ทอดทิ้งบุตรชายคนโตนี่เด็ดขาด

 

 

ยามที่ซูหย่วนจือกลับถึงจวนผิงจวิ้นอ๋อง ศิษย์หญิงของเขาเสิ่นเวยได้จัดงานเลี้ยงรอฉลองให้เขาแล้ว มองความห่วงใยในตาของศิษย์หญิง ซูหย่วนจือรู้สึกอบอุ่นในใจ นึกถึงบุตรสาวตัวน้อยที่เสียชีวิตเมื่อนานมาแล้วขึ้นมาอีก

 

 

“ท่านหญิง ต่อไปตาเฒ่าต้องรบกวนท่านแล้วนะ” ท่านซูแย้มยิ้มอันอบอุ่นแล้วกอบมือใส่เสิ่นเวย

 

 

เสิ่นเวยย่นจมูก พูดอย่างตั้งใจมากว่า “เราคุยกันไว้นานแล้วมิใช่หรือ? บ้านปลายชีวิตท่านข้าจะเลี้ยงท่านเอง”

 

 

ท่านซูอดตาแดงไม่ได้ รอยยิ้มบนใบหน้ายิ่งเข้มขึ้นว่า “ดี”

 

 

ศิษย์หญิงคนนี้ช่างเหมือนบุตรสาวตัวน้อยของเขาจริงๆ เลย มีตาโตที่สุกใสเหมือนกัน จิตใจดีเหมือนกัน

 

 

เพราะเรื่องผู้ลี้ภัย ปีใหม่ทั้งทีสวีโย่วก็ไม่ได้ว่าง ทุกวันออกแต่เช้ากลับแต่มืด แม้เขาไม่ได้บอกเสิ่นเวย ทว่าเสิ่นเวยก็เดาได้ว่าเขาสืบอะไรอยู่

 

 

อันว่าผู้ลี้ภัย ก็เป็นเพียงชาวนาที่ไม่มีข้าวกินมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้กลุ่มหนึ่งเท่านั้น ต่อให้ในมือถืออาวุธก็เป็นเพียงแค่จอบและมีดผ่าฟืนเท่านั้น พวกเขาทำลายประตูเมืองเข้าเมืองหลวงมาได้อย่างไร? ในนี้ไม่มีเงื่อนงำ เสิ่นเวยไม่เชื่อหรอก แน่นอนฮ่องเต้ยงเซวียนยิ่งไม่เชื่อใหญ่ เขาต้องรู้ให้ได้ว่าใครเปิดประตูสะดวกให้ผู้ลี้ภัย? ใครทรยศเขา?

 

 

ปีนี้เป็นปีการสอบขุนนาง เมื่อพ้นเดือนอ้ายในเมืองหลวงก็ยิ่งครึกครื้นขึ้นมา ผู้เข้าสอบจากทุกที่มารวมตัวกันที่เมืองหลวงตามๆ กัน ล้างหมอกควันที่มาจากผู้ลี้ภัยจนหมด

 

 

ผู้คุมสอบในการสอบฤดูใบไม้ผลิครั้งนี้กำหนดได้แล้ว คือท่านซ่างซูจากฝ่ายพิธีการถังจิ้น นี่ทำให้ฝ่านรัชทายาทกระหยิ่มยิ้มย่อง ไม่ใช่อะไร ถังจิ้นผู้นี้เคยสอนหนังสือให้รัชทายาทมาก่อน นับได้ว่าเป็นคนของรัชทายาทกระมัง เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ผู้เข้าสอบบในฤดูกาลนี้ก็ต้องกลายเป็นคนของรัชทายาทั้งหมด เขาจะไม่ดีใจได้อย่างไรกัน?

 

 

องค์รัชทายาทตั้งแต่ที่ยืนยันข่าวนี้ก็สุขสมหวังได้ใจ เวลาเดิมศีรษะก็เชิดสูงขึ้นสามส่วนอย่างไม่รู้ตัว ต่อให้เห็นคู่ปรับเสด็จพี่รองของเขาก็ไม่รังเกียจดังเดิมแล้ว เขารู้สึกว่าเสด็จพ่อเขาทำอะไรยังคงเหมาะสมมาก ยังคงเห็นความสำคัญในตัวรัชทายาทคนนี้มากทีเดียว

 

 

ฝ่ายรัชทายาทดีใจแล้ว ด้านองค์ชายรองย่อมเสียดาย วิ่งเต้นดูว่าจะเอาตำแหน่งรองผู้คุมสอบมาได้หรือไม่ อย่างน้อยก็ยังสามารถแย่งบุคลากรมาได้บ้างอย่างไรล่ะ มีเพียงมหาเสนาบดีฉินที่ไม่กระโตกกระตาก ท่าทางสุขุมใจเย็น

 

 

การสังสรรค์ของเสิ่นเส้าจวิ้นก็มากขึ้นมา วันนี้งานโคลงกลอน พรุ่งนี้งานต่อบทเพลง ยุ่งอย่างมีความสุขยิ่งนัก

 

 

วันนี้พลบค่ำ เขากลับจากร่วมงานโคลงกลอน กลับถูกหวังหลานเอ๋อร์ที่เคยช่วยไว้ขวางทางไว้ว่า “คุณชายเสิ่น ได้โปรดช่วยข้าน้อยด้วยเถอะเจ้าค่ะ” นางคุกเข่าวิงวอนกับพื้น

 

 

เสิ่นเส้าจวิ้นตกใจแทบกระโดด “มะ แม่นางหวังนี่เจ้าทำอะไร? รีบลุกขึ้นมาเร็ว”

 

 

หวังหลานเอ๋อร์คนนั้นกลับเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ไม่ลุกขึ้น วิงวอนอย่างทุกข์ทนว่า “คุณชายเสิ่น ได้โปรดช่วยข้าน้อยด้วยเถอะ เรือนที่ข้าน้อยอยู่มีอันธพาลคนหนึ่ง บังคับให้ข้าน้อยแต่งงานกับเขา ข้าน้อยไม่ยินยอมนี่นา คุณชายเสิ่น ข้าน้อยแม่ลูกไม่มีญาติมิตรในเมืองหลวง จึงได้แต่มาขอร้องท่าน ท่านก็เห็นแก่ที่ข้าน้อยแม่ลูกน่าสงสาร ยื่นมือช่วยข้าน้อยด้วยเถอะเจ้าค่ะ ข้าน้อยโขกศีรษะให้ท่านแล้ว”

 

 

หวังหลานเอ๋อร์แหงนใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาว่า “คุณชายเสิ่น ท่านเป็นคนดี ข้าน้อยขอร้องท่านแล้ว ขอร้องท่านแล้ว” นางร้องไห้สะอึกสะอื้น ใบหน้าเศร้าโศก

 

 

เสิ่นเส้าจวิ้นลำบากใจจริงๆ เขาเห็นใจหวังหลานเอ๋อร์มากก็จริง ทว่าเขาเป็นเพียงผู้เข้าสอบ ไม่ใช่ขุนนางเสียหน่อย จะยุ่งเรื่องนี้ได้อย่างไรกันล่ะ?

 

 

“แม่นางหวังเจ้าลุกขึ้นมาพูดดีกว่า คุกเข่าเช่นนี้เหมือนอะไร? คนอื่นยังนึกว่าข้ารังแกเจ้าเสียอีก” ฟู่กุ้ยที่ตามอยู่ข้างหลังเห็นท่าทางของคุณชายบ้านเขา กังวลว่าคุณชายตนโรคใจอ่อนจะกำเริบอีก จึงรีบวิ่งขึ้นไปว่า “เรื่องนี้เจ้าขอร้องคุณชายข้ามีประโยชน์อะไร? คุณชายข้าเองยังพึ่งพาคนอื่นอยู่เลย เรื่องนี้เจ้าควรไปแจ้งทางการ”

 

 

“ใช่ๆๆ แม่นางหวังเจ้าลุกขึ้นมาพูดก่อน ฟู่กุ้ยพูดได้ถูกต้อง เขาหากบังคับเจ้า เจ้าก็ไปแจ้งทางการสิ ใต้ฝ่าพระบาทโอรสสวรรค์ แผ่นดินสงบสุข ย่อมมีขุนนางออกหน้าแทนเจ้า “เสิ่นเส้าจวิ้นเห็นฟู่กุ้ยเข้ามาในที่สุดก็โล่งใจ เรื่องนี้ไม่ควรยุ่งจริงๆ ไม่ได้เป็นอะไรกัน จะยุ่งได้อย่างไร? หลังหลานเอ๋อร์เป็นหญิงสาวอายุกำลังสะพรั่ง น้องเวยเตือนเขาไว้นานแล้ว อย่ายุ่งเรื่องไม่เป็นเรื่องเช่นนี้ดีกว่า

 

 

หวังหลานเอ๋อร์กลับออกแรงส่ายหน้า ถลาเข้ามากอดขาสองข้างของเสิ่นเส้าจวิ้นไว้โดยพลัน “คุณชายเสิ่น ข้าน้อยแม่ลูกล้วนเป็นสตรีไม่รู้ความ รู้ที่ไหนว่าประตูใหญ่ของทางการเปิดไปทางไหน? ขอร้องท่านทำดีทำให้ถึงที่สุด ก็ช่วยข้าน้อยหน่อยเถอะ มิเช่นนั้นข้าน้อยก็มีแต่ทางตายทางเดียวแล้ว ขอร้องล่ะ ข้าน้อยขอร้องท่านแล้ว”

 

 

“เจ้า นี่เจ้าทำอะไร? ปล่อย รีบปล่อย ชายหญิงไม่ควรแตะเนื้อต้องตัวกัน แม่นางหวังเจ้าทำเช่นนี้เหมือนอะไร?” เสิ่นเส้าจวิ้นตกใจหน้าถอดสี ดิ้นรนพลางจะถอยหลังไป ทว่าหวังหลานเอ๋อร์กอดขาเขาไว้แน่น วิงวอน ร่ำไห้ อย่างไรก็ไม่ยอมปล่อย ดึงให้คนผ่านไปมาไม่น้อยต่างหยุดเดินมุงดู

 

 

ฟู่กุ้ยก็ตกใจมาก ย่อตัวลงออกแรงแกะมือของหวังหลานเอ๋อร์ แล้วต่อว่าเสียงดังว่า “บอกแล้วว่าให้เจ้าไปแจ้งทางการมิใช่หรือ? เจ้าเกาะแกะคุณชายข้าทำอะไร? รีบปล่อยคุณชายข้านะ บอกแล้วว่าเรื่องของเจ้าคุณชายข้ายุ่งไม่ไหวหรอก เจ้าทำให้ผู้อื่นลำบากใจมิใช่หรือ?”

 

 

ฟู่กุ้ยดูถูกหวังหลานเอ๋อร์คนนี้จะตาย ระหว่างทางมาเมืองหลวงก็คิดจะเข้าหาคุณชาย บัดนี้ยังคิดจะเกาะแกะคุณชาย ถุย ก็ไม่ดูสารรูปตนเองเสียหน่อย สาวใช้ขั้นสองในจวนกั๋วกงยังมีเกียรติกว่านางเลย”

 

 

“คุณชาย เรารีบไปกันเถอะ” ฟู่กุ้ยเกาะมือของหวังหลานเอ๋อร์ออก ลากคุณชายบ้านเขาก็จะจากไป

 

 

เสิ่นเส้าจวิ้นมองหวังหลานเอ๋อร์ที่ล้มนั่งอยู่บนพื้น ในใจทนทำใจไม่ได้เล็กน้อย จึงถอนใจว่า “ฟู่กุ้ย เอาเงินให้นางสองตำลึง”

 

 

“คุณชาย” ฟู่กุ้ยเรียกอย่างไม่พอใจมาก แม้คุณชายอยู่ในจวนหย่งกั๋วกง ในจวนใจกว้าง ดูแลอาหารความเป็นอยู่เสื้อผ้าและพู่กันหมึกกระดาษ อีกทั้งยังให้เงินรายเดือนใช้ ทว่าสุดท้ายก็ไม่ใช่บ้านตนเอง คุณชายยังมีงานสังสรรค์มากปานนั้น แต่ละอย่างล้วนต้องคำนวณอย่างละเอียด ให้เจียดสองตำลึงออกมาให้คนไม่เกี่ยวข้องกันอีก ฟู่กุ้ยไม่ยินยอมมาก

 

 

“ให้เถอะ” เสิ่นเส้าจวิ้นว่า “แม่นางหวังเจ้าเอาเงินนี่เปลี่ยนที่อยู่ก่อนเถอะ” ที่เขาสามารถช่วยได้ก็มีเพียงเท่านี้แล้ว

 

 

ฟู่กุ้ยได้แต่ล้วงเศษเงินออกมาสองตำลึง วางไว้ข้างเท้าหวังหลานเอ๋อร์อย่างเสียดายมาก “อ้าว รีบเอาแล้วไปเสีย อย่ามาเกาะแกะคุณชายข้าอีกนะ”

 

 

เสิ่นเส้าจวิ้นนายบ่าวสองคนรีบๆ จากไป เหลือเพียงหวังหลานเอ๋อร์ทรุดนั่งร้องไห้เศร้าโศกอยู่บนพื้น

 

 

คนเดินผ่านไปมาจับกลุ่มกันวิจารณ์ขึ้นมา

 

 

“แม่นางคนนี้ดูแล้วน่าสงสารจัง นี่เกิดอะไรขึ้นหรือ?”

 

 

“จะเป็นอะไรไปได้? ก็ถูกคุณชายเศรษฐีทอดทิ้งมิใช่หรือ?”

 

 

“แม่นางนี่ก็โง่ ไม่หัดคิดดู คนเขาเป็นลูกหลานเศรษฐี จะแลหญิงสาวสามัญชนอย่างเจ้าหรือ? ตอนนี้มาเสียใจทีหลังก็สายไปแล้ว จื้ดๆ น่าสงสาร น่าสงสารจริงๆ”

 

 

“ฮึ ลูกหลานเศรษฐีพวกนั้นไม่มีดีสักคน ผิดเป็นครู แม่นาง อย่างไรเจ้าก็รีบกลับบ้านไปดีกว่า”

 

 

“คุณชายคนนั้นดูดีทีเดียว ของบ้านไหนน่ะ?”

 

 

“ข้ารู้ ข้ารู้ เขาเป็นคนของจวนหย่งกั๋วกง เป็นหลานของบ้านเก่าหย่งกั๋วกง ข้าเป็นคนส่งฟืนให้จวนหย่งกั๋วกง เคยเห็นเขาในจวนสองครั้ง”

 

 

“มิน่าล่ะ ที่แท้เป็นลูกหลานขุนนางหรือนี่ แยกย้าย แยกย้าย รีบแยกย้ายเถอะ ระวังหาเรื่องใส่ตัว”

 

 

คนเดินไปมาแยกย้ายกันไป ไม่มีใครสังเกตเห็นเกี้ยวหลังเล็กๆ ที่หยุดอยู่ข้างถนน ที่นั่งอยู่ในเกี้ยวก็คือคุณชายของจวนเฉิงเอินกง สหายสนิทของสวีฉ่าง เห็นเพียงเขาหน้าตาตื่นเต้น เหมือนเก็บสมบัติล้ำค่าได้อย่างไรอย่างนั้น

 

 

จวนหย่งกั๋วกง? นั่นมิใช่บ้านพ่อตาของผิงจวิ้นอ๋องหรือ? ฮึ ผิงจวิ้นอ๋อง คนแซ่สวี เจ้าล่วงเกินข้า เจ้าก็คอยดูแล้วกัน

 

 

ประชุมเช้าวันต่อมา ก็มีผู้ตรวจการกล่าวโทษว่าท่านราชครูเสิ่นให้ท้ายหลานชายทอดทิ้งสตรี นิสัยเลวร้าย