ตอนที่ 275-1 ใจดีส่งเดชทำให้คนตายได้

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

ผู้ตรวจการที่ร้องเรียนราชครูเสิ่นแซ่เสอ นิสัยเหมือนแซ่ของเขา ซื่อตรงจนไม่รู้จักงอ

 

 

เมื่อร้องเรียนออกไป ก็เกิดความโกลาหลไปทั้งท้องพระโรง ฮ่องเต้ยงเซวียนนั่งอยู่บนเก้าอี้มังกร สีหน้าสงบ ไม่พูดอะไรสักคำ ผู้ตรวจการเสอผู้นั้นยังพูดอย่างเดือดดาลอยู่ข้างล่าง ท่าทางเที่ยงตรงเป็นธรรม

 

 

สายตาที่เหล่าขุนนางมองไปที่เขาประหลาดนักแล ผู้ตรวจการเสอคนนี้อยากได้ชื่อเสียงจนบ้าไปแล้วหรือ ราชครูเสิ่นเป็นใคร นั่นคือขุนนางคนสำคัญคนสนิทของฝ่าบาท เพิ่งได้รับการแต่งตั้งเป็นหย่งกั๋วกงเพราะอารักขาฝ่าบาท ได้ยินว่าบัดนี้อาการบาดเจ็บยังไม่หายดี หมอหลวงสองท่านแห่งสำนักหมอหลวงยังอยู่ที่จวนหย่งกั๋วกงไม่กลับเลย ฝ่าบาทผ่านไปไม่พระราชทานรางวัลก็ส่งคนไปเยี่ยมแทบไม่เว้นวัน

 

 

บัดนี้เจ้าผู้ตรวจการเสอร้องเรียนราชครูเสิ่น โทษนั่นฟังแล้วก็รู้ว่าน้ำขุ่นๆ นี่มิใช่จี้ใจดำฝ่าบาทหรือ ไม่เห็นหรือว่าฝ่าบาทไม่อยากสนใจ ผู้ตรวจการเสอคนนี้แม้แต่สีหน้าคนก็ดูไม่เป็น ดูท่าทางตำแหน่งนี้จะอยู่ได้ไม่นานแล้ว

 

 

จวนหย่งกั๋วกงกลับไม่ได้ตื่นตระหนก ก่อนอื่นผู้ที่ฉงนใจคือรัชทายาท แม้ราชครูเสิ่นจะสอนเขาเพียงไม่กี่วัน ทว่าในนามก็เป็นท่านอาจารย์ของเขาอยู่ดี มีฐานะอาจารย์ศิษย์นี้อยู่ ราชครูก็คือพันธมิตรโดยปริยาย แม้ราชครูเสิ่นไม่ได้แสดงออกอย่างชัดเจนว่ายืนอยู่ข้างเขา ทว่าขอเพียงเขาไม่เอนเอียงไปในทางใดทางหนึ่งก็ถือได้ว่ายืนอยู่ข้างเขา อย่างไรเสียเขาก็คือรัชทายาที่เสด็จพ่อแต่งตั้ง เป็นตัวแทนของสายโลหิตอย่างถูกต้อง

 

 

บัดนี้กลับดี คนของเขาเพิ่งได้งานควบคุมการสอบฤดูใบไม้ผลิก็มีคนร้องเรียนราชครูเสิ่น นี่หมายความว่าอย่างไร ดูให้ดีๆ ผู้ตรวจการเสอที่สีหน้ามีคุณธรรมพูดจนน้ำลายกระเด็นผู้นั้นก็คือเขยในตระกูลของท่านตาเขามิใช่หรือ ท่านตาและท่านลุงตกลงทำบ้าอะไรอยู่ รัชทายากอยากรีบวิ่งกลับไปจวนเฉิงเอินกงถามเสียงดังสักคราจริงๆ

 

 

ไม่เพียงฝ่ายรัชทายากพบสถานการณ์นี้ ขุนนางที่ตาสว่างในท้องพระโรงต่างพบแล้ว ดังนั้นสายตาที่พวกเขามองไปที่รัชทายาทประหลาดอย่างบอกไม่ถูก

 

 

อาจเพราะการร้องเรียนของผู้ตรวจการเสอสะเทือนเลื่อนลั่นเกินไปกระมัง ไม่ถึงครึ่งวันก็ลือไปทั่วเมืองหลวง ไม่กล่าวถึงถึงคดีของรัชทายาทและบ้านท่านตาของเขา ด้านจวนหย่งกั๋วกงนี้เสิ่นหงเหวินก็เรียกเสิ่นเซ่าจวิ้นเข้าไปถามเหตุการณ์ด้วยตนเอง เสิ่นเซ่าจวิ้นก็มิได้ปิดบัง เล่าเรื่องทั้งหมดอย่างละเอียด รวมทั้งเล่าว่าช่วยหวังหลานเอ๋อร์แม่ลูกไว้อย่างไร เห็นพวกนางน่าสงสารพาเข้าเมืองหลวงมาตลอดทางอย่างไร และไหว้วานเสิ่นเวยไว้อย่างไร อีกทั้งยังมีเรื่องที่หวังหลานเอ๋อร์วิงวอนก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน แม้แต่เรื่องที่เขาให้นางสองตำลึงก็พูด เพราะเรื่องนี้ทำให้ผู้ตรวจการร้องเรียนท่านปู่ ในใจเสิ่นเซ่าจวิ้นรู้สึกผิดเหลือเกิน

 

 

พอเสิ่นหงเหวินได้ยินเรื่องที่หลานในตระกูลคนนี้พูดตรงกับที่เขาสืบมาได้ ไม่เพียงไม่พาลโกรธเขา ตรงกันข้ามกลับปลอบใจเขาว่า “ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร จวนของเราฝ่าบาทโปรดปรานเกินไป เป็นที่สะดุดตาผู้อื่น ต่อให้ไม่มีเรื่องของเจ้าพวกเขาก็สามารถหาเรื่องอื่นมาได้ เจ้าไม่ต้องรู้สึกผิดอะไร ทบทวนการเรียนให้สบายใจ เตรียมการสอบฤดูใบไม้ผลิให้ดี พยายามให้ชื่อขึ้นกระดานทองคำให้ได้”

 

 

จวนหย่งกั๋วกงไม่เอามาใส่ใจ เรื่องนี้โทษเสิ่นเซ่าจวิ้นไม่ได้จริงๆ เพราะเขาทำดีช่วยเหลือผู้อื่น จะโทษก็ต้องโทษผู้ตรวจการเสอที่กลัวว่าใต้หล้าจะวุ่นวายไม่พอ แม้แต่เหตุการณ์ยังไม่สืบให้แน่ชัดร้องเรียนสุ่มสี่สุ่มห้าก็เพื่อสร้างชื่อเสียงมิใช่หรือ

 

 

ทว่าเสิ่นเซ่าจวิ้นกลับพบความกลัดกลุ้มที่ไม่เคยพบมาก่อน เมื่อก่อนเพราะเขาเป็นหลานของหย่งกั๋วกง ออกไปสังสรรค์ข้างนอกทุกคนล้วนให้ความสำคัญแก่เขา พี่เสิ่นอย่างนั้นพี่เสิ่นอย่างนี้ ท่าทีสนิทสนมเหลือเกิน

 

 

ตั้งแต่ที่มีเรื่องร้องเรียนออกมา เสิ่นเซ่าจวิ้นก็พบว่าท่าทีของสหายก่อนหน้านี้ที่มีต่อเขาเปลี่ยนไป โกรธด่าว่าเขานิสัยชั่วร้ายไม่มีค่าควรแก่การคบหาก็มี เพิกเฉยแบบไม่ร้อนไม่หนาวก็มี ล้อเลียนเขาว่าดวงนารีไม่เลวก็มี ไม่ว่าจะอธิบายอย่างไรก็ไม่มีคนยอมฟัง อีกทั้งยังทำท่าทางเหมือนเข้าใจตบไหล่เขาปลอบใจว่า “เข้าใจ เข้าใจ บุรุษไม่เจ้าชู้ก็เสียทีที่เกิดเป็นชาย ฮ่าๆ!”

 

 

นี่ทำให้เสิ่นเซ่าจวิ้นท้อแท้เหลือคณา หลังจากนั้นไม่กี่ครั้งก็ไม่ออกไปร่วมงานสังสรรค์ของบัณฑิตอีก ทว่าอยู่อ่านตำราในจวนก็อ่านไม่เข้าหัว เขารู้สึกอัดอั้นตันใจจากก้นบึ้งของหัวใจ เห็นชัดว่าเขาช่วยเหลือคนอื่น ทว่าบัดนี้ใครๆ ต่างบอกว่าเขาเจ้าชู้บ้ากามทอดทิ้งสตรี แม้เขาความรู้ไม่มาก กลับรู้ว่าหากมีชื่อเสียงเช่นนี้ติดตัวต่อให้เขามีชื่อขึ้นกระดานทองคำในการสอบฤดูใบไม้ผลิก็ไม่มีอนาคตอยู่ดี

 

 

ในเวลานี้เอง เสิ่นหู่โถวมาเชิญเขาแล้วว่า “ท่านอาเซ่าจวิ้น ท่านอาเวยเชิญท่านไปจวนจวิ้นอ๋องสักคราน่ะ”

 

 

เสิ่นเซ่าจวิ้นตามหู่โถวมาถึงจวนผิงจวิ้นอ๋อง เสิ่นเวยเปิดอกถามเขาว่า “ญาติผู้พี่เซ่าจวิ้น บัดนี้รสชาติเป็นเช่นไร”

 

 

คำพูดง่ายๆ ประโยคหนึ่งก็ทำให้เขาละอายใจจนคิดจะหาซอกบนพื้นมุดเข้าไป “น้องเวย พี่ละอายใจนัก!” เสียใจที่ไม่ฟังที่เสิ่นเวยพูด ไปให้ไกลจากหวังหลานเอ๋อร์นั่น มิเช่นนั้นจะมีเรื่องกลุ้มใจตามมา

 

 

เสิ่นเวยกลับไม่ได้ทำให้เขาลำบากใจจนเกินไป หากแต่พูดว่า “ครั้งก่อนข้าก็เตือนสติท่านแล้ว ท่านไม่ใส่ใจ บัดนี้รู้ความร้ายกาจแล้วสิ ไม่ว่าความจริงคืออะไร ทว่าปากหลายคนย่อมสามารถละลายทองได้* เรื่องเท็จพูดร้อยรอบก็กลายเป็นจริงแล้ว ขุนนางมากมายตกม้าตายก็เพราะเหตุนี้”

 

 

เสิ่นเซ่าจวิ้นตั้งใจฟังเอ่ยว่า “ขอน้องเวยสอนข้าด้วย!” เขาคำนับเสิ่นเวยอย่างหนักหน่วงทีหนึ่ง

 

 

เสิ่นเวยพยักหน้าในใจ สามารถฟังการเตือนของผู้อื่นได้ ยังถือว่ามีทางช่วย

 

 

“ญาติผู้พี่เซ่าจวิ้นเชิญนั่งเร็วๆ ฟังน้องอธิบายให้ท่านฟัง” เสิ่นเวยว่า “เรื่องนี้ว่าไปแล้วจะโทษญาติผู้พี่ทั้งหมดก็ไม่ได้ ญาติผู้พี่เติบโตที่ชนบท ย่อมไม่เคยเห็นปากหวานก้นเปรี้ยวในวงการขุนนาง คนชนบทมีน้ำใจ ญาติผู้พี่ย่อมไม่เข้าใจความคิดที่ต่ำช้าของคนเยี่ยงหวังหลานเอ๋อร์เป็นธรรมดา”

 

 

“เราเริ่มพูดจากหวังหลานเอ๋อร์ผู้นี้ก่อนเถอะ แม่ลูกคู่นี้ข้าเคยเห็นครั้งหนึ่ง มารดาเป็นคนซื่อเจียมเนื้อเจียมตัวดีอยู่หรอก พอข้าบอกให้พวกนางอยู่ทำงานในจวนจวิ้นอ๋อง นางก็มีสีหน้าปีติ ดูออกว่านางอยากอยู่ที่นี่ยิ่งนัก หวังหลานเอ๋อร์กลับไม่เต็มใจ แม้ข้ออ้างที่หาก็นับว่าสมเหตุสมผล ทว่ายังคงปิดบังความจริงที่นางมักใหญ่ใฝ่สูงไม่ได้ นางพูดแต่ว่าจะตอบแทนบุญคุณ จะเป็นสาวใช้ปรนนิบัติรับใช้ท่านข้างกาย ที่จริงก็แค่วางแผนจะเป็นอนุเท่านั้น”

 

 

เสิ่นเซ่าจวิ้นเบิกตาโพรงด้วยความตกตะลึงว่า “เป็นอนุ ไม่ได้หรอก ข้าไม่มีทางรับอนุเด็ดขาด” อนุ นั่นเป็นของที่บ้านคนมีเงินถึงนิยมมีกัน หนุ่มยากจนที่เติบโตในชนบทเช่นเขาจะรับอนุได้อย่างไรกัน อย่าว่าแต่เลี้ยงไม่ไหว ต่อให้เลี้ยงไหว หากท่านปู่รู้เข้าจะไม่หักขาเขาหรือ ยามที่มาท่านปู่ก็เตือนเขาแล้ว บอกว่าภรรยาเขาคลอดบุตรชายให้เขาแล้ว หากเขาอยู่ข้างนอกเกิดคิดนอกลู่นอกทางไม่รักดี เช่นนั้นก็อย่าโทษเขาที่ไม่เห็นแก่ความสัมพันธ์ปู่หลานกันเลย

 

 

เสิ่นเวยเห็นท่าทางตกใจกลัวเหลือคณาของเขาแล้ว หัวเราะอย่างไม่เกรงใจว่า “ไยจึงไม่ได้ หวังหลานเอ๋อร์คนนั้นเห็นว่าตนอายุน้อยหน้าตาสะสวย จึงมีความคิดเช่นนี้ พวกนางแม่ลูกพอออกจากประตูของจวนผิงจวิ้นอ๋อง ข้าก็ใช้คนตามพวกนางแล้ว เรือนที่พวกนางอยู่นั้นมีเด็กหนุ่มชื่อต้าหู่คนหนึ่ง เป็นคนซื่ออีกทั้งยังขยันทำงาน ซ้ำยังมีฝีมือทำขนมแป้งทอด ต้องตาหวังหลานเอ๋อร์เข้า วันๆ ช่วยพวกนางแม่ลูกทำงานหนักเช่นพวกหาบน้ำผ่าฟืน หวังหลานเอ๋อร์หากแต่งงานกับเขาก็เป็นเนื้อคู่ที่สมบูรณ์พร้อมมิใช่หรือ แต่ไม่ว่าอย่างไรหวังหลานเอ๋อร์ก็ไม่เห็นเขาในสายตา เพราะรู้สึกว่าต้าหู่คนนั้นไม่มีอำนาจไม่สามารถมอบชีวิตมั่งคั่งให้นางได้มิใช่หรือ”

 

 

เสิ่นเวยยกถ้วยชาขึ้นจิบสองอึก แล้วพูดต่อว่า “ญาติผู้พี่เซ่าจวิ้น ท่านร่ำเรียนมาตั้งแต่เด็ก เข้าใจความคิดของผู้หญิงประเภทหวังหลานเอ๋อร์ที่ไหน เกรงว่าตั้งแต่ที่ท่านช่วยพวกนางแม่ลูกที่อำเภออินหู นางก็เกิดความคิดนี้ขึ้นแล้วกระมัง มิเช่นนั้น ไม่มีความเกี่ยวข้องกัน เหตุใดนางต้องตามท่านเข้าเมืองหลวงด้วย เป็นบ่าวอยู่จวนผิงจวิ้นอ๋องไม่ได้ ไปเป็นสาวใช้ข้างกายท่านก็พอใจแล้ว นี่มิใช่ขัดแย้งกันเองหรือ”

 

 

มีเสิ่นเวยอธิบายเช่นนี้ เสิ่นเซ่าจวิ้นรู้สึกว่าได้เปิดหูเปิดตากว่าความรู้ยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมาของเขาเสียอีก หวังหลานเอ๋อร์ที่ดูน่าสงสารบอบเบาไม่คิดว่าจะมีโฉมหน้าน่ารังเกียจปานนั้น น่ากลัว น่ากลัวเหลือเกิน

 

 

“พูดเรื่องหวังหลานเอ๋อร์จบแล้ว เรามาพูดถึงเรื่องนี้อีกครั้ง ที่จริงครั้งนั้นที่ท่านพบหวังหลานเอ๋อร์ที่เขตเมืองตะวันตกก็ตกอยู่ในสายตาของผู้อื่นแล้ว ญาติผู้พี่เซ่าจวิ้น ท่านก็อย่าพูดว่าท่านเป็นเพียงผู้เข้าสอบยากจนจากชนบท มีอะไรให้คนวางอุบาย ทว่าท่านอย่าลืมนะ ท่านแซ่เสิ่น เป็นหลานของราชครูเสิ่นหย่งกั๋วกง ท่านอาศัยอยู่ในจวนหย่งกั๋วกง หนึ่งรุ่งล้วนรุ่ง หนึ่งร่วงล้วนร่วงไปพร้อมจวนหย่งกั๋วกง พวกเขาหาข้อผิดพลาดของจวนหย่งกั๋วกงไม่ได้ ย่อมคิดจะวางแผนจากตัวท่าน ออกความคิดให้หวังหลานเอ๋อร์ คนที่ออกอุบายเรื่องนี้ก็คิดเช่นนี้แหละ”

 

 

เสิ่นเซ่าจวิ้นอดเสียวสันหลังไม่ได้ว่า “นะ…น้องเวย!” เขารู้สึกหวาดผวา

 

 

เสิ่นเวยทำราวกับไม่เห็นสีหน้าซีดเผือดของเขาอย่างไรอย่างนั้น พูดต่อว่า “เห็นหรือยัง นี่ก็คือวงการการเมือง คนที่เถรตรงเกินไปใจอ่อนเกินไปตายยังไม่รู้ว่าตายอย่างไร ญาติผู้พี่เซ่าจวิ้น ท่านร่ำเรียนสอบขุนนางเพื่ออะไร ก็เพื่อเป็นขุนนางที่มีโอกาสแสดงอุดมการณ์และความทะเยอทะยานมิใช่หรือ ทว่าท่านดูสิ ราชสำนักแวดวงขุนนางไม่ได้ดีงามเช่นที่ท่านคิดหรอก เผลอเพียงเล็กน้อยก็ตกลงสู่เหวลึกหมื่นจั้ง ญาติผู้พี่เซ่าจวิ้นท่านเตรียมตัวดีหรือยัง หากยัง น้องขอชี้แนะว่าหลังจากสอบติดในการสอบฤดูใบไม้ผลิไม่หาที่ว่าการโปร่งใสอยู่ก็กลับบ้านเกิดไปเป็นอาจารย์สอนหนังสือให้รู้แล้วรู้รอดไป หากท่านเตรียมตัวไว้ดีแล้ว เช่นนั้นน้องยังคงต้องเตือนท่านอยู่ดี ก่อนที่จะตัดสินใจใดๆ ต้องคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าถึงลงมือปฏิบัติ คิดดูก่อนว่านี่ใช่แผนนางนกต่อแผนสาวงามของผู้อื่นหรือไม่ เป็นอุบายของใครหรือไม่ คิดให้กระจ่างแล้วค่อยตัดสินใจ”

 

 

เสิ่นเซ่าจวิ้นครุ่นคิดอย่างหนัก ผ่านไปครึ่งค่อนวันถึงได้สติกลับมา ลุกขึ้นโค้งคำนับอย่างหนักหน่วงให้เสิ่นเวยอีกครั้งหนึ่ง แล้วพูดอย่างจริงใจว่า “น้องเวย พี่ได้รับคำสอนแล้ว พี่ขอบคุณเจ้ามากที่ชี้แนะ เจ้าวางใจได้ ความผิดเช่นนี้พี่จะไม่ทำผิดอีก”

 

 

เสิ่นเวยปลาบปลื้มยิ่งนัก “ไม่มีอะไรดีไปกว่ารู้ผิดแล้วแก้ เพียงแค่เรื่องนี้ ญาติผู้พี่เซ่าจวิ้นก็ชนะคนมากมายแล้ว” รับคำสอนอย่างไรก็ดีกว่าไม่รับคำสอน คิดดูแล้ว เสิ่นเวยจึงกล่าวต่อ “ในโลกนี้ แต่ไหนแต่ไรคนประจบสอพลอมีมาก ส่งถ่านให้กลางหิมะมีน้อย ต่อให้ข้าไม่พูด ญาติผู้พี่เซ่าจวิ้นก็ประสบกับตัวมาก่อนแล้วกระมัง มองนิสัยของพวกเขาให้กระจ่าง นับแต่นี้ไป จนกระทั่งการสอบฤดูใบไม้ผลิ ญาติผู้พี่เซ่าจวิ้นก็ไม่จำเป็นต้องออกไปสังสรรค์แล้ว อยู่ในจวนตั้งใจอ่านหนังสือเตรียมสอบเถอะ”

 

 

“พี่ละอายใจนัก!” เสิ่นเซ่าจวิ้นถอนใจยาวเสียงหนึ่ง ใบหน้าซาบซึ้งด้วยความจริงใจกล่าวว่า “พี่ฟังน้องเวยทุกอย่าง” อย่างไรเสียท่านปู่ก็มีประสบการณ์ บอกเขาว่ามีอะไรก็ให้น้องเวยช่วยตัดสินใจ

 

 

เสิ่นเวยยิ้ม ไม่ได้พูดถึงเบื้องหลังของการร้องเรียนครั้งนี้ว่ามีกองกำลังแทรกแซงหลายฝ่าย ใช่แล้ว คนที่ไปหาหวังหลานเอ๋อร์เป็นคนแรกมีความเกี่ยวพันอย่างซับซ้อนกับจวนมหาเสนาบดีฉิน ส่วนผู้ตรวจการเสอและตระกูลชีบ้านท่านตาของรัชทายาทมีความสัมพันธ์ที่ตัดไม่ขาด เรื่องพวกนี้เสิ่นเซ่าจวิ้นไม่จำเป็นต้องรู้ เขาเพียงแค่รู้ว่าราชสำนักหยั่งยาก ใจคนหยั่งถึงก็เพียงพอแล้ว

 

 

อย่าว่าแต่หลังจากเสิ่นเซ่าจวิ้นกลับไปก็ปิดประตูเรียนอย่างหนัก ทางด้านรัชทายาทก็รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ที่ผู้ตรวจการเสอออกหน้าเพราะได้รับคำสั่งจากชีเว่ย สองคนนี้คนหนึ่งอยากได้ชื่อเสียง คนหนึ่งอยากแก้แค้น ก็เข้าขากันได้พอดีมิใช่หรือ

 

 

อย่าว่าแต่รัชทายาทโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ แม้แต่บิดาและปู่ชีเว่ยก็โกรธจนจมูกเบี้ยวหมดแล้ว จับชีเว่ยมากดลงบนม้านั่งแล้วตีอย่างรุนแรงยกหนึ่ง

 

 

สุดท้ายยังคงเป็นเฉิงเอินกงที่ชั่วร้าย “ไปสืบดูว่าเหตุใดวันนั้นเว่ยเอ๋อร์ถึงเดินถนนเส้นนั้นพอดี” เขารู้จักหลานชายคนนี้ดีนักแล รู้ว่าเขาก็คือสากกะเบือไร้สมอง เขาสงสัยว่านี่คือแผนที่ผู้อื่นวางไว้ ใช้หลานชายเขาเป็นหอก

 

 

หลังจากวิธีการอันเฉียบขาด ยังถูกเขาสืบได้เรื่องออกมาจริงๆ ที่แท้วันนั้นชีเว่ยเดินถนนเส้นนั้นได้เพราะเด็กรับใช้ข้างกายคนหนึ่งบอกว่าตระกูลจินที่ตรอกเม่าเอ๋อร์มีสองสาวพี่น้องฝาแฝดมาใหม่คู่หนึ่ง ดึงดูดจนชีเว่ยใจคันคะเยอ จึงคิดจะไปดูหน่อย ส่วนถนนเส้นนั้นเป็นทางที่จำเป็นต้องผ่านไปตระกูลจิน