ตอนที่ 275-2 ใจดีส่งเดชทำให้คนตายได้

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

เฉิงเอินกงใช้คนโบยจนเด็กรับใช้คนนั้นหนังปริเนื้อแตก ในที่สุดเด็กรับใช้ก็สารภาพ บอกว่ามีคนให้เงินเขาให้เขาพูดเช่นนั้น สืบไปสืบมา ก็สืบไปถึงตัวคนเปิดร้านขายของจิปาถะชื่อหลิวเอ้อร์ ต่อมาสืบหลิวเอ้อร์คนนี้อีก เขามีญาติผู้พี่ทำงานอยู่จวนเสนบดีฉิน

 

 

สืบถึงตรงนี้เฉิงเอินกงก็รามือแล้ว เรื่องราวความจริงเป็นเช่นไรก็ปรากฏชัดเจนแล้วมิใช่หรือ เขายื่นหลักฐานที่สืบได้เบื้องหน้ารัชทายาท ขอขมาไม่หยุดว่า “รัชทายาท เพราะข้าไม่ได้ดูเจ้าทรพีนั่นให้ดีแท้ๆ เป็นเหตุให้เขาตกหลุมพรางผู้อื่น ข้าไร้สามารถจริงๆ!”

 

 

รัชทายาทดูหลักฐานแล้ว ไฟโกรธในใจแทบจะเผาเรือนได้อยู่แล้ว มหาเสนบดีฉินตัวดี ทั้งราชสำนักต่างบอกว่าเจ้าเป็นมหาเสนาผู้เปี่ยมคุณธรรม ที่จริงเจ้าก็คือคนต่ำช้าไร้ยางอาย! ยังมีพี่รองตัวดีของข้านั่นอีก วันๆ แสร้งทำเป็นพี่ชายแสนดี ถุย อย่ามาทำให้ขยะแขยงหน่อยเลย

 

 

ดูสิ หางจิ้งจอกนี่โผล่มาแล้วอย่างไรล่ะ ยุยงความสัมพันธ์ของข้ากับราชครู ฮึ ช่างพยายามจริงๆ เลย

 

 

ด้วยเหตุนี้ ฝ่ายรัชทายาทและฝ่ายองค์ชายรองเหน็บแนมกันในท้องพระโรงอย่างสะใจอย่าบอกใคร ไม่ต้องให้เสิ่นเวยลงมือ ก็มีคนจัดการหวังหลานเอ๋อร์และผู้ตรวจการเสอแล้ว

 

 

ไม่นาน หญิงสาวที่ร้องเรียนว่าถูกหลานชายของราชครูเสิ่นทอดทิ้งคนนั้นถูกเปิดโปงว่าเป็นคนหลงเงินทองลาภยศตอบแทนบุญคุณด้วยความแค้น ทิ้งมารดาเฒ่าที่พึ่งพาอาศัยกันมาหนีตามกันไปกับพ่อค้าจากต่างถิ่นแล้ว ส่วนผู้ตรวจการเสอ ถูกรื้อหาความผิดพลาดปลดจากการเป็นขุนนางห้ามรับราชการอีกชั่วชีวิต

 

 

เรื่องตลกของการร้องเรียนก็ปิดฉากด้วยฟ้าร้องดัง ฝนตกปรอย**แล้ว

 

 

ที่จริงเสิ่นเวยคิดจะยืมเรื่องนี้สั่งสอนเสิ่นเซ่าจวิ้นอย่างลึกซึ้งเสียหน่อย ไม่คิดว่ายังนำไปสู่การเหน็บแนมกันและกันของรัชทายาทและองค์ชายรอง นี่เรียกได้ว่าเป็นความยินดีที่เหนือความคาดหมาย

 

 

พริบตาเดียวก็มาถึงวันสอบ ผู้เข้าสอบนับไม่ถ้วนพรั่งพรูเข้าสนามสอบตามๆ กัน เริ่มการสอบที่มีกำหนดเก้าวันของพวกเขา เก้าวันให้หลังชะตาชีวิตของพวกเขาจะต่างไปโดยสิ้นเชิง มีคนชื่อติดกระดานทองคำนับแต่นี้ก้าวขึ้นหนทางรับราชการเริ่มชีวิตที่สดใสเจิดจ้า มีคนสอบตกกลับบ้านเกิดอย่างเศร้าสลดสิ้นหวังไปทั้งชีวิต

 

 

เสิ่นเวยถือโอกาสส่งเสิ่นเซ่าจวิ้น พาฉาฮวาไปแอบดูเซี่ยหมิงผู่คราหนึ่ง

 

 

เซี่ยหมิงผู่ไม่ใช่เด็กหนุ่มอ่อนแอเมื่อสามปีก่อนนั้นอีกแล้ว ร่างเขาสูงขึ้นมากอย่างยิ่ง ใส่ชุดเขียว ใบหน้าหล่อเหลาและอ่อนโยน ให้อารมณ์สุภาพบุรุษหลายส่วน เขายิ้มให้ทิศทางที่เสิ่นเวยและน้องสาวอยู่อย่างสดใส แล้วมุ่งหน้าสู่สนามรบของเขาโดยไม่หันกลับมามอง น้องพี่ เจ้าจงรอ วันที่เราจะได้แก้แค้นอยู่ไม่ไกลแล้ว คุณหนู ท่านวางใจได้ เสี่ยวผู่ยังคงเป็นเสี่ยวผู่คนนั้น จะไม่ทำผิดต่อการปลูกฝังของท่าน

 

 

ในรถม้า ฉาฮวาตื่นเต้นจนหน้าแดงหมดแล้วว่า “ท่านพี่ ท่านพี่” นางเรียกในใจว่า ท่านพี่ ในที่สุดข้าก็ได้พบท่านพี่แล้ว ท่านพี่ต้องสอบให้ดี ข้ารอท่านพี่อยู่ข้างกายคุณหนู รอท่านพี่ขึ้นชื่อกระดานทองคำพาข้ากลับบ้าน ท่านพี่ ท่านพี่… ในดวงตาของฉาฮวาพลันเอ่อเต็มไปด้วยน้ำตา

 

 

ในระหว่างการสอบ จวนจิ้นอ๋องเกิดเรื่องใหญ่อีกเรื่องหนึ่งแล้ว เรื่องใหญ่ที่สั่นสะเทือนเลื่อนลั่นเรื่องหนึ่ง

 

 

วันนี้เป็นวันหยุด อากาศก็ดีทีเดียว หายากที่สวีโย่วไม่ต้องเข้าเวร เขาจึงตัดสินใจพาเสิ่นเวยไปเดินเล่นนอกเมือง ข้าวของล้วนเตรียมเสร็จแล้ว เสิ่นเวยยังเปลี่ยนเป็นชุดสำหรับขี่ม้าพลันเห็นหลีฮวาพาสาวใช้หน้าไม่คุ้นคนหนึ่งวิ่งมาอย่างรีบร้อน สาวใช้คนนั้นพอเห็นสวีโย่วและเสิ่นเวยก็ถลาเข้ามา แผดเสียงตะโกนว่า “คุณชายใหญ่ ฮูหยินใหญ่ ช่วยด้วยเจ้าค่ะ! ท่านอ๋องกับพระชายาจะโบยยายหรูตายเจ้าค่ะ”

 

 

ประโยคเดียวทำให้ทั้งสองต่างหน้าถอดสี เอ่ยถาม “อะไรนะ เฆี่ยนยายหรูตาย เพราะเหตุใด”

 

 

สาวใช้คนนั้นกลับสีหน้าร้อนรนเอ่ยว่า “คุณชายใหญ่ ฮูหยินใหญ่ รีบไปช่วยคนเถอะเจ้าค่ะ ขืนสายจะไม่ทันการแล้ว บ่าวเคยได้รับบุญคุณจากยายหรู ไม่ง่ายเลยกว่าบ่าวจะแอบหนีออกมาได้เจ้าค่ะ”

 

 

สวีโย่วและเสิ่นเวยสบตากันปราดหนึ่ง ตะโกนเสียงดังว่า “เตรียมม้าเร็ว” สองคนไม่นั่งแม้แต่รถม้า พลิกตัวขึ้นม้าทะยานไปที่จวนจิ้นอ๋องทันที

 

 

ถึงหน้าประตูจวนจิ้นอ๋อง รอยยิ้มเอาใจบนใบหน้าบ่าวที่เฝ้าประตูเพิ่งแย้มได้ครึ่งเดียว ก็ถูกเถาฮวาและเย่ว์กุ้ยที่ตามมาโยนไปข้างๆ แล้ว ทั้งสองคนเปิดประตูกลางออกอย่างรวดเร็ว สวีโย่วและเสิ่นเวยเฆี่ยนม้าตะบึงเข้าไป

 

 

ยามที่ทั้งสองคนรุดมาถึงเรือนจิ้นหวังเฟย ยายหรูกำลังถูกกดอยู่บนม้านั่งโบยตีอยู่ กระบองไม้ที่ยกขึ้นสูงนั่นโบยลงบนตัวยายหรูทีละไม้ๆ ส่วนท่านจิ้นอ๋องสามีภรรยาปั้นหน้ามองดูอย่างเย็นชา

 

 

“หยุดเดี๋ยวนี้!” สวีโย่วแผดเสียงตะโกน ใบหน้าที่แต่ไหนแต่ไรเย็นชาถูกย้อมด้วยโทสะ ยามที่สายตาเขาเห็นคราบเลือดบนตัวยายหรู สายตาที่ส่งไปยังท่านจิ้นอ๋องสองสามีภรรยาแฝงด้วยความน่าสะพรึง

 

 

ความเกลียดชังที่ลึกเข้าไปในตาของบุตรชายคนโตทำให้ท่านจิ้นอ๋องอดสะดุ้งทีหนึ่งไม่ได้ หลังจากนั้นก็โมโหเดือดดาลเอ่ย “โบย โบยต่อเดี๋ยวนี้ ใครให้พวกเจ้าหยุด”

 

 

“ข้าจะดูว่าใครกล้า!” สวีโย่วจ้องท่านจิ้นอ๋อง พูดชัดถ้อยชัดคำ เขากระโดดขึ้นเตะ ถีบเด็กรับใช้ที่โบยอยู่ออกไปทันที เด็กรับใช้คนนั้นถูกเตะจนกลิ้งออกไปเหมือนก้อนกลม กระอักเลือดสองครไม่ขยับแล้ว

 

 

พ่อบ้านเสี่ยวเฉวียนวิ่งเข้าไปอย่างตัวสั่นงันงก ยื่นมือแตะที่ปลายจมูกของเขา แล้วสีหน้าซีดเผือดว่า “ทะ…ท่านอ๋อง ตายแล้ว” เขาพูดเสียงสั่น

 

 

“เจ้า เจ้าลูกทรพี!” ท่านจิ้นอ๋องมือสั่นด่าสวีโย่วอย่างโกรธเกรี้ยว

 

 

ทว่าสวีโยวเสมือนไม่ได้ยิน กวาดมองทุกคนที่อยู่ที่นี่อย่างเย็นชาว่า “ใครลองตามเข้ามาดู” เสียงเย็นเยียบประหนึ่งลอยขึ้นมาจากนรกอย่างไรอย่างนั้น

 

 

“ท่านหมอหลิ่ว รีบมาดูยายหรู” เสิ่นเวยย่อตัวลงกอดยายหรูบนพื้นเข้าอ้อมกอดตนเอง ไม่ถือสาว่าเลือดบนตัวนางจะเปื้อนเสื้อผ้าของนางแม้แต่น้อย

 

 

หมอหลิ่วที่เพิ่งรุดมาอย่างเหนื่อยหอบรีบวิ่งเหยาะๆ เข้าไป

 

 

ยายหรูลืมตาที่หลับสนิทขึ้น มองสวีโย่วและเสิ่นเวย บนใบหน้าที่ไม่มีสีเลือดนั้นเต็มไปด้วยความเมตตา “คุณชายใหญ่ ฮูหยินใหญ่ ไม่ต้องเปลืองใจแล้วเจ้าค่ะ บ่าวเกรงว่าจะไม่ไหวแล้ว” นางอยู่มานานกว่าคุณหนูตั้งหลายปีปานนั้น ถือว่าคุ้มแล้ว!

 

 

“ท่านยายอย่าเพิ่งพูด ให้ท่านหมอหลิ่วดูบาดแผลให้ท่านหน่อย วิชาแพทย์เขาเก่งกาจมาก ท่านต้องไม่เป็นไรแน่นอน” เสิ่นเวยปลอบใจเสียงเบา

 

 

สวีโย่วแม้ไม่ได้พูด ทว่าความห่วงใยที่ลึกเข้าไปในดวงตาก็มีความหมายเช่นนี้ ยายหรูจึงถอนใจ ยื่นแขนออกมาช้าๆ ว่า “คุณชายใหญ่ ท่านอย่าเสียใจ บ่าวอายุปูนนี้แล้ว อยู่ใช้ชีวิตคุ้มแล้ว คุณหนูอยู่ข้างล่างโดดเดี่ยวเดียวดายคนเดียว บ่าวก็ควรลงไปอยู่เป็นเพื่อนนางแล้ว” แก้แค้นได้แล้ว ในที่สุดนางก็วางใจไปอยู่เป็นเพื่อนคุณหนูได้แล้ว

 

 

“ยายหรู!” สวีโย่วรู้สึกแสบจมูก เขากัดฟัน ฝืนทนไว้

 

 

ผ่านไปชั่วครู่ ท่านหมอหลิ่วเก็บมือกลับแล้วส่ายหน้าเบาๆ ต่อสวีโย่วและเสิ่นเวย เอ่ยว่า “จวิ้นจู่ ครั้งนี้ข้าน้อยจนปัญญาแล้วขอรับ” อวัยวะภายในเสียหายหมดแล้ว ต่อให้วิชาการแพทย์เขาดีเพียงใดก็ช่วยกลับมาไม่ได้แล้ว

 

 

“คิดหาวิธีอื่นไม่ได้หรือ” เสิ่นเวยถามอย่างไม่ตายใจ แม้นางและยายหรูผู้นี้จะอยู่ด้วยกันไม่มาก ทว่าสิ่งที่เห็นจากดวงตานางกลับมีเพียงความปรารถนาดี เสมือนผู้อาวุโสเมตตาท่านหนึ่ง

 

 

หมอหลิ่วส่ายหน้าถอนใจ ยายหรูจับมือของเสิ่นเวยไว้ ตบเบาๆ ทีหนึ่งว่า “เด็กดี เจตนาดีของท่านบ่าวรับไว้ด้วยใจแล้ว บ่าวไม่กลัวตาย ตายก็หลุดพ้นแล้ว มีเพียงสิ่งเดียวที่บ่าวไม่วางใจก็คือคุณชายใหญ่ เขาไม่มีคนรักตั้งแต่เด็ก ช่างน่าสงสาร! บ่าวรู้ว่าท่านเป็นคนดี ต่อไปท่านต้องอยู่อย่างมีความสุขกับคุณชายใหญ่!”

 

 

ต่อให้คนหนังตาแข็งอย่างเสิ่นเวยก็อดตาแดงไม่ได้ว่า “ยายเสิ่นท่านวางใจได้ ข้าจะดูแลคุณชายใหญ่อย่างดี”

 

 

ยายหรูออกแรงพยักหน้าทีหนึ่ง ใบหน้านางเผยให้เห็นความปลาบปลื้ม ยิ้มแผ่วเบาที่มุมปาก กลับทำให้ในใจเสิ่นเวยและสวีโย่วเสียใจยิ่งขึ้น

 

 

สวีโย่วลุกพรวดขึ้นมา บีบคั้นว่า “เสด็จพ่อ หวังเฟย พวกท่านควรอธิบายต่อลูกใช่หรือไม่ ยายหรูทำผิดอนใด แม้แต่คนข้างกายเสด็จแม่คนสุดท้ายพวกท่านก็ไม่ยอมปล่อยเช่นนั้นหรือ”

 

 

“อธิบายหรือ พี่ใหญ่ต่างหากที่ควรอธิบายพวกเรา! พี่ใหญ่รู้หรือไม่ว่าบ่าวแก่สมควรตายผู้นี้ทำอะไรไว้” คนที่กระโดดขึ้นมาก่อนกลับเป็นซื่อจื่อสวีเยี่ย เส้นเอ็นที่ขมับเขาปูดนูน สีหน้าน่ากลัว เห็นสวีเหยียนก็เป็นเช่นเดียวกัน

 

 

ยามนี้จิ้นหวังเฟยเอ่ยปากแล้วว่า “คุณชายใหญ่เจ้าปกป้องบ่าวที่สมควรตายนี่ เจ้ารู้หรือไม่ว่านางทำอะไรไว้ นางบังอาจวางยาทำให้พี่น้องเจ้าเป็นหมัน ทำให้พี่น้องเจ้ามีบุตรไม่ได้อีก บ่าวที่อำมหิตเช่นนี้สับเป็นหมื่นชิ้นก็ไม่เกินไป” จิ้นหวังเฟยกัดฟันเสียงดังกึกๆ สายตาที่ส่งไปที่ยายหรูราวกับเคลือบยาพิษไว้ก็ไม่ปาน

 

 

 

 

*ปากหลายคนย่อมสามารถละลายทองได้ หมายถึง เสียงปากของคนจำนวนมากที่พูดไปพูดมาย่อมสามารถทำให้ผิดกลายเป็นถูก ถูกกลายเป็นผิดได้

 

 

**ฟ้าร้องดัง ฝนตกปรอย เปรียบเทียบถึงการทำอะไรที่เกิดกระแสโด่งดังอย่างมาก แต่พอทำจริงกลับเป็นเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น