[ส่วนที่ 8 เขาของคนป่าเถื่อน] ตอนที่ 1 โลกนี้ช่างเเคบ

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

ได้ยินเสียงทักทายอันนุ่มนวลของโต้วเยี่ยนซาน อวิ๋นเยี่ยส่ายหน้า มองดูชายฉกรรจ์ที่ยืนอยู่รอบๆ ตัว ก่อนจะฝืนยิ้ม ยกมือขึ้นคำนับแล้วพูดว่า “จากกันไปเป็นปี ข้าน้อยสบายดี แต่ดูเจ้าผอมลงไปมาก” 

 

 

โต้วเยี่ยนซานหัวเราะคำพูดของอวิ๋นเยี่ยอยู่นานกว่าจะหยุดลงได้ เดินมาจับมืออวิ๋นเยี่ยแล้วพูดว่า “สหายอวิ๋นเป็นผู้ดีมีตระกูล แน่นอนว่าดูดีมีสง่าราศี ไม่เหมือนข้าที่เร่ร่อนเอาชีวิตรอดไปวันๆ ในชีวิตที่ลำบาก ยังมีบุญได้เจอกับสหายอวิ๋น นับว่าข้าโชคดีเป็นอย่างมาก ไม่ขออะไรมากไปกว่านี้อีกแล้ว” 

 

 

อวิ๋นเยี่ยสะบัดมือออกจากโต้วเยี่ยนซาน พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “วันนี้ข้าตกอยู่ในน้ำมือของเจ้า ข้าไม่ขออะไรมาก ให้ข้าตายอย่างสมเกียรติจะได้หรือไม่” 

 

 

สายตาของโต้วเยี่ยนซานดูมีความสุขอย่างปกปิดไม่อยู่ พูดกับอวิ๋นเยี่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า “สหายอวิ๋น เจ้าพูดอะไรของเจ้า เราสองสหายได้เจอกัน ก็ต้องมีเรื่องคุยกันหน่อย เหตุใดมาพูดถึงเรื่องความตายเช่นนี้ ข้าได้รับการดูแลจากองค์หญิงทั่นเกอที่แคว้นหนานจ้าว มีพื้นที่เล็กพอได้อาศัย แล้วองค์หญิงทั่นเกอยังเอื้อเฟื้อเสื้อผ้าและอาหารให้แก่ข้าอีกด้วย รู้ตัวอีกทีข้าก็อยู่ที่นั่นมาได้ปีกว่าแล้ว เริ่มรู้สึกเบื่อ คิดถึงเพื่อนเก่ามากมายที่ฉางอัน จึงกลับมาที่ฉางอันเพื่อเยี่ยมเยือนเพื่อนเก่า คิดไม่ถึงว่าจะได้พบกับสหายอวิ๋นที่นี่ ข้ารู้สึกโชคดีเป็นอย่างมาก ขอเชิญสหายอวิ๋นไปอยู่ที่แคว้นหนานจ้าวกับข้าสักช่วงเวลาหนึ่งจะได้หรือไม่” 

 

 

อวิ๋นเยี่ยเงยหน้ามองฟ้า ตอนนี้ถึงเวลาที่นกจะต้องกลับรังแล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่านกที่อ่อนล้าอย่างตัวเองจะยังมีโอกาสได้กลับรังหรือไม่ 

 

 

“หากให้ข้าเดา องค์หญิงทั่นเกอที่เอื้อเฟื้อเสื้อผ้าและอาหารให้แก่เจ้า ตอนนี้คงตายไปแล้ว การมาของสหายโต้ว ใช่ว่าคนอย่างองค์หญิงทั่นเกอจะรับได้ ตอนนี้การต้อนรับของเจ้าที่อยู่ตรงหน้าข้า ข้าเกรงว่าไม่เหมาะที่จะปฏิเสธ ก็ดีเหมือนกันได้ยินมานานว่าแคว้นหนานจ้าวมีทิวทัศน์ที่สวยงาม ออกผจญภัยไปกับพี่โต้วสักหน่อยจะเป็นไรไป เพียงแค่อนุญาตให้ข้าเขียนจดหมายส่งไปให้คนที่บ้านจะได้หรือไม่ พวกเขาจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง” 

 

 

โต้วเยี่ยนซานขมวดคิ้วพร้อมกับยิ้มแล้วตอบตกลง ลูกน้องของโต้วเยี่ยนซานขูดเปลือกไม้จนเห็นเนื้อสีขาวของเยื่อไม้ แล้วเอาพู่กันให้กับอวิ๋นเยี่ย โต้วเยี่ยนซานยืนมองอยู่ข้างๆ 

 

 

เห็นอวิ๋นเยี่ยเขียนเสร็จ โต้วเยี่ยนซานแกล้งทำเป็นถ่อมตนแล้วพูดว่า “เจ้ากับข้าเป็นสหายกัน เหตุใดจึงเรียกข้าว่าญาติผู้ใหญ่ สหายอวิ๋นก็พูดเกินไป” 

 

 

“เจ้าคงไม่อยากให้มีทหารเต็มไปทุกพื้นที่ ทำให้ตัวเองยากแก่การเคลื่อนไหวไม่ใช่หรือ” 

 

 

โต้วเยี่ยนซานไม่พูดอะไรมาก ออกเดินนำไปก่อน พวกเขาเดินไปทางเล็กๆ ข้างในป่า ไม่นานก็มาถึงริมแม่น้ำป้าเหอ ที่ริมแม่น้ำมีเรือลำใหญ่จอดอยู่ บนเรือมีโคมไฟสีแดงแขวนอยู่ เดินมาถึงริมแม่น้ำ อวิ๋นเยี่ยลูบหน้าวั่งไฉ บอกลามัน หวังว่าเจ้าม้าที่เห็นแก่กินตัวนี้จะจำทางกลับบ้านได้ 

 

 

ผู้คนทยอยขึ้นเรือ คนบังคับเรือใช้ไม้ไผ่ดันเรือออกจากฝั่ง เรือใหญ่ค่อยๆ ออกห่างจากฝั่งไปตรงกลางน้ำ 

 

 

วั่งไฉเห็นคนจากไปกันหมด ทิ้งตัวเองให้อยู่ตัวเดียวบนฝั่ง รีบวิ่งไปตามริมฝั่งอย่างกระวนกระวาย ร้องตามอย่างไม่หยุด เห็นว่าเรือลำใหญ่ยังไม่มีท่าทีว่าจะจอด จึงกระโดดลงน้ำ ในแม่น้ำที่ลึก วั่งไฉลอยคอพยายามจะว่ายไปที่เรือลำใหญ่ 

 

 

ช่วยไม่ได้ เรือได้ชักใบไปแล้ว ลอยไปตามสายน้ำเรื่อยๆ ไม่ว่าวั่งไฉจะพยายามอย่างไรก็ตามเรือใหญ่ไม่ทัน ทั้งแม่น้ำได้ยินแต่เสียงมันร้องอย่างกระวนกระวายใจ 

 

 

อวิ๋นเยี่ยน้ำตาไหลอาบใบหน้า หากวั่งไฉกลับบ้านจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด แต่มันกลับเอาแต่รนหาที่ตาย 

 

 

“โต้วเยี่ยนซาน หยุดเรือเดี๋ยวนี้ ไม่เช่นนั้นเจ้าจะได้แต่ร่างไร้วิญญาณของข้ากลับไป” 

 

 

โต้วเยี่ยนซานมองดูวั่งไฉที่ตะกุยตะกายอยู่ในแม่น้ำอย่างน่าขัน แล้วหันมามองอวิ๋นเยี่ยที่กำลังร้องไห้ โต้วเยี่ยนซานหัวเราะแล้วพูดว่า “สหายอวิ๋น มันก็แค่ม้าตัวเดียว ข้ากล้าพนันว่ามันจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกินหนึ่งก้านธูป เจ้าคิดเห็นเป็นอย่างไร” 

 

 

“หยุดเรือเดี๋ยวนี้!” 

 

 

อวิ๋นเยี่ยเค้นเสียงออกมาจากในลำคอ ขาข้างหนึ่งยืนอยู่ขอบเรือ หากโต้วเยี่ยนซานยังไม่หยุดเรือ เขาก็พร้อมที่จะจบชีวิตตัวเอง ถึงแม้ว่าจะไม่รู้ว่าทำไมโต้วเยี่ยนซานยังไม่ฆ่าตัวเองในตอนนี้ แต่ในเมื่อไม่ฆ่า เช่นนั้นตอนนี้ชีวิตของเขาก็ยังมีประโยชน์ ตอนนี้ชีวิตเป็นข้อต่อรองเดียวที่อวิ๋นเยี่ยมี 

 

 

โต้วเยี่ยนซานพูดกับอวิ๋นเยี่ยด้วยความโมโหว่า “ข้าฝันถึงเจ้าบ่อยจนนับครั้งไม่ถ้วน แทบอดไม่ได้ที่จะฉีกเจ้าให้เป็นชิ้นๆ เดี๋ยวนี้ แต่พอข้าได้เจอกับเจ้า ข้ากลับลังเล ฆ่าคนอย่างเจ้าเท่ากับไม่เคารพสวรรค์ ดังนั้นข้าจึงพาเจ้ากลับแคว้นหนานจ้าว อยากจะรู้ว่าเจ้าจะอดทนต่อถิ่นทุรกันดารได้หรือไม่ เจ้าจะตายหรือไม่ตาย ข้าไม่สนใจ เพียงแค่อยากให้เจ้ารู้สึกถึงความทรมาน แค่นั้นใจของข้าก็รู้สึกสบาย อยากจะให้ข้าช่วยม้าของเจ้า ก็ต้องมีข้อแลกเปลี่ยน” 

 

 

อวิ๋นเยี่ยรีบเอาหยกออกมาจากเอว พูดกับโต้วเยี่ยนซานว่า “เมื่อมีหยกนี้แล้ว เจ้าสามารถนำไปรับทองห้าร้อยชั่งได้ที่คลังเมืองลั่วหยาง ช่วยม้าขึ้นมาแล้วข้าจะบอกความลับแก่เจ้า” 

 

 

ทุกคนบนเรือมองไปที่โต้วเยี่ยนซาน ดูจากสีหน้าของพวกเขา อวิ๋นเยี่ยก็รู้ว่าพวกเขาไม่มีเงิน ขาดแคลนเงินเป็นอย่างมาก 

 

 

โต้วเยี่ยนซานรู้สึกละอายใจ จากลูกเศรษฐีกลายมาเป็นโจร ยากที่คนหยิ่งยโสอย่างโต้วเยี่ยนซานจะรับได้ 

 

 

ทุกคนล้วนมีจุดอ่อน โต้วเยี่ยนซานหยิ่งยโสได้ แต่ว่าคนใต้บังคับบัญชาของเขายังต้องการเสบียงอาหารและเสื้อผ้า ชีวิตที่ยากลำบากในสองปีที่ผ่านมาทำให้พวกเขาทุกคนมีความต้องการเงินทองเป็นอย่างมาก 

 

 

ทองห้าร้อยชั่ง แลกเพียงแค่การช่วยม้าหนึ่งตัว เห็นสายตาอ้อนวอนของพ่อบ้านผมหงอก โต้วเยี่ยนซานจึงโบกมือให้เรือหยุดอย่างช่วยไม่ได้ 

 

 

สมอเรือถูกหย่อนลงก้นแม่น้ำ เรือลำใหญ่ได้หยุดแล่น วั่งไฉเริ่มหมดแรงตะเกียกตะกาย สามารถจมน้ำได้ตลอดเวลา พอเห็นอวิ๋นเยี่ยรอตัวเองอยู่ข้างหน้าก็มีแรงขึ้นมาทันที ว่ายไปตามทางน้ำไหลจนถึงขอบเรือ ปากกัดเชือกที่อยู่ขอบเรือไว้แน่นไม่ยอมปล่อย 

 

 

คนเหล่านั้นเห็นแก่เงินจึงยอมช่วยเหลือ เอาเชือกผูกที่ท้องของวั่งไฉ แล้วใช้รอกดึงวั่งไฉขึ้นมา มีคนดึงบังเ**ยนจนวั่งไฉลิ้นจุกปาก อวิ๋นเยี่ยโกรธมากรีบเอาเท้าถีบเจ้าโง่คนนั้น คนรับใช้ก็คือคนรับใช้ รู้ว่าอวิ๋นเยี่ยเป็นถึงท่านโหว ก็รีบคุกเข่าลงพื้นขอประทานอภัย แต่จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าในตอนนี้อวิ๋นเยี่ยเป็นเพียงแค่นักโทษ อยากจะถีบกลับคืนแต่ก็ต้องอดทนเอาไว้ หันกลับไปช่วยวั่งไฉขึ้นเรือต่ออย่างไม่พอใจ 

 

 

วั่งไฉขึ้นเรือมาได้ ทั้งตัวมีแต่น้ำแต่ก็ไม่สะบัดออก รีบมุดเข้าไปในอ้อมอกของอวิ๋นเยี่ย เหมือนกำลังบ่นอย่างน้อยใจว่าทำไมถึงทิ้งมัน 

 

 

โต้วเยี่ยนซานที่กำลังเชยชมหยกต้องตกใจเมื่อมีหยดน้ำกระเด็นมาโดน เงยหน้ามองอย่างโมโห ก็เห็นว่าวั่งไฉกำลังสะบัดน้ำบนตัวของมัน 

 

 

เขาไม่ถือสาสัตว์เดรัจฉาน เอาหยกเก็บเข้าไปในเสื้อ พูดกับอวิ๋นเยี่ยที่กำลังเช็ดตัวให้วั่งไฉว่า “สหายอวิ๋น หยกแบบนี้เมื่อก่อนข้าก็มีอยู่หลายอัน สุดท้ายก็เอามาแลกเป็นเสบียงจนหมด ถ้าไม่เลี้ยงดูครอบครัวก็ไม่รู้จักความยากลำบาก ครั้งนี้ในตระกูลเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ถึงได้รู้ว่าการสร้างรากฐานขึ้นเองมันยากลำบากเพียงใด ข้าชื่นชมในวิธีการหาของเงินสหายอวิ๋นเป็นอย่างมาก ข้าว่าพวกเรามาพูดคุยกันเรื่องนี้เสียหน่อยดีไหม” 

 

 

เช็ดตัววั่งไฉให้แห้ง แล้วถอดเสื้อคลุมข้างนอกของตัวเองออกมาคุมให้มัน แล้วตอบโต้วเยี่ยนซานว่า “เจ้าต้องการอะไรกันแน่ ข้าเป็นคนทำลายตระกูลเจ้า เรามีแค้นที่ใหญ่หลวงต่อกัน ไม่เคยมีใครแก้แค้นด้วยวิธีนี้อย่างเจ้า หากพูดคุยกันต่อไป เราอาจจะกลายเป็นเพื่อนที่รู้ใจกัน พ่อเจ้าที่ตายไปแล้วคงไม่มีวันยกโทษให้เจ้าเป็นแน่” 

 

 

“ฮ่าๆๆ” โต้วเยี่ยนซานหัวเราะขึ้นมา นั่งขัดสมาธิ มองริมฝั่งแม่น้ำที่มืดสนิท แล้วพูดออกมาว่า “เจ้าสำคัญตัวผิดไปแล้ว เจ้าคิดว่าการที่เจ้าปลุกระดมให้คนความก่อความวุ่นวายก็สามารถทำลายตระกูลโต้วที่มีตำนานมานานถึงพันปีได้เช่นนั้นหรือ ในกลุ่มคนก่อความวุ่นวายนั้น คนที่โจมตีตระกูลโต้วคือทหารของกองทัพต้องห้ามที่แฝงตัวอยู่กับคนพวกนั้น หากมีเพียงแค่คนก่อความวุ่นวาย องครักษ์ของตระกูลโต้วก็จะฆ่าแค่หัวโจกที่มีไม่กี่คน คนที่เหลือก็จะหนีหัวซุกหัวซุน ยังจะมีใครกล้าโจมตีตระกูลโต้วอีก ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะมีอำนาจพอที่จะสั่งทหารของกองทัพต้องห้ามได้ นั่นคืออำนาจของฮ่องเต้ ใครก้าวก่ายมีโทษถึงตาย ฮ่องเต้ต่างหากที่ต้องการทำลายตระกูลโต้ว เจ้าก็เป็นแค่หมากตัวหนึ่งเท่านั้น ตระกูลอินขุดหลุมศพของตระกูลหลี่ ทำตัวเผด็จการในเมืองฉางอัน ขอแค่มีผลประโยชน์ต่อตระกูล ความแค้นระหว่างเจ้ากับข้ามันไม่ได้มีอะไรเลย บรรพบุรุษและพ่อของข้าจะต้องภูมิใจในความฉลาดของข้า” 

 

 

ลมหนาวจากแม่น้ำพัดมา เย็นเข้าไปถึงกระดูก อวิ๋นเยี่ยไม่มีกะจิตกะใจจะคุยกับผู้หยิ่งผยองที่ต้องการจะเป็นฮ่องเต้ วั่งไฉหนาวจนทนไม่ไหว เขาคิดว่าคุยกับวั่งไฉยังดีกว่าคุยกับคนบ้า 

 

 

“ห้องพักข้าอยู่ไหน เจ้าคงไม่ให้ข้านอนบนไม้กระดานหรอกนะ” 

 

 

“ไม่หรอก ข้าเตรียมห้องพักดีๆ ไว้ให้เจ้า” 

 

 

ห้องพักของอวิ๋นเยี่ยดีอย่างที่พูดไว้จริงๆ ใหญ่มาก ข้างในเต็มไปด้วยฟางแห้ง กลิ่นคาวตลบอบอวลระบายอย่างไรก็ไม่หมด ที่แท้ห้องนี้ก็เป็นที่พักของม้า 

 

 

วั่งไฉอยากดื่มเหล้า สองคนที่โต้วเยี่ยนซานส่งมาให้เฝ้าอวิ๋นเยี่ยกำลังดื่มอยู่ ได้กลิ่นหอมของเหล้า วั่งไฉจึงคาบถุงเงินส่งให้คนรับใช้ที่ดึงบังเ**ยนมัน อยากจะเอาไปแลกเหล้ามาดื่ม ม้าอย่างวั่งไฉแต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยดื่มเหล้าใครฟรีๆ 

 

 

เหล้าก็ไม่ได้ดื่ม ถุงเงินก็ไม่มีแล้ว แถมยังโดนตีที่หัวอีก ถูกคนขโมยถุงเงินไป วั่งไฉทำได้แค่กลับไปนั่งที่กองฟาง แล้วเคี้ยวฟางทีละคำๆ 

 

 

“ม้าของเศรษฐียังมีถุงเงินเป็นของตัวเอง แถมเงินยังมีมากเสียด้วย อยู่ในป่ามาสองปี เราสองคนพี่น้องยังมีความเป็นอยู่ไม่ดีเท่าม้าเลย” 

 

 

“อย่าพูดมาก ช่วงนี้นายน้อยเครียดเรื่องเงินมาก ตระกูลเรามีเงิน แต่ว่าถูกซ่อนไว้ที่ฉางอัน เอาออกมาไม่ได้ ตอนนี้ที่ตรอกซิ่งฮว่าฟางถูกปรับปรุงจนสวยงามเป็นอย่างมาก บ้านเราก็หาไม่เจอ เงินก็ไม่มี ไม่รู้ว่าไปทำกรรมกับไอ้บ้าที่ไหนไว้” 

 

 

ตอนนี้อวิ๋นเยี่ยนอนอยู่บนกองฟางคิดถึงสถานการณ์ของตัวเองและวั่งไฉในตอนนี้ มีเรื่องราววุ่นวายติดต่อกันหลายวัน แทบจะลืมไปเลยว่าตัวเองยังมีครอบครัวรออยู่ 

 

 

พวกหลี่จิ้งและหม่าโจวฉีกความภูมิใจและความนับถือในตนเองของอวิ๋นเยี่ยออกเป็นชิ้นๆ แล้วตอนนี้ยังมีโต้วเยี่ยนซานเพิ่มมาอีก  

 

 

ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าตอนนี้ตัวเองกำลังเผชิญอยู่กับสถานการณ์เช่นไร คำพูดของโต้วเยี่ยนซานแต่ละคำดูนุ่นนวลน่าฟัง แต่อวิ๋นเยี่ยก็สามารถรู้ถึงความแค้นภายในใจของเขาได้อย่างชัดเจน 

 

 

ทุกการกระทำและคำพูดของหลี่จิ้ง ทั้งหมดก็เพื่อให้กองทัพทหารได้รับชัยชนะ 

 

 

ต่อให้หม่าโจวต้องเอามีดแทงตัวเอง ก็ยอมที่จะหักหลังอวิ๋นเยี่ยและสำนักศึกษา เพื่อประโยชน์ของชาวบ้าน 

 

 

ทั้งหมดมีเหตุผล ทุกคนภูมิใจในการกระทำที่ตัวเองคิดว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว หรือว่าคนที่ผิดทั้งหมดจะเป็นข้า? 

 

 

ตอนที่ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย ทำไมไม่รู้จักห่วงชีวิตของตัวเอง ตอนนี้สิ่งที่อยู่ในหัวก็คิดวนเวียนถึงแต่พวกคนที่มีแผนการทรยศและหักหลัง 

 

 

จะใช้ชีวิตดีๆ บ้างไม่ได้เลยหรือ ทำไมต้องเอาแต่หาวิธีการเพื่อบรรลุจุดประสงค์ของตัวเอง นี่หรือที่เรียกว่าผู้มีปัญญา 

 

 

การแสดงออกของโต้วเยี่ยนซานทำให้รู้สึกรังเกียจ ไม่รู้ว่าหนทางในภายภาคหน้าจะเดินไปในทิศทางใด น่าเสียดาย ไม่สามารถเจอลูกชายของตัวเองได้อีกแล้ว