[ส่วนที่ 8 เขาของคนป่าเถื่อน] ตอนที่ 2 มาเยือนดินแดนที่คุ้นเคยอีกครั้ง

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

ทางบนภูเขาแห่งดินแดนเสฉวนยากที่จะปีนขึ้นไป ยากเสียยิ่งกว่าเดินขึ้นสวรรค์เสียอีก นี่คือคำตัดพ้อของหลี่ไป่ อวิ๋นเยี่ยยืนอยู่บนทางแคบริมผา เงยหน้ามองไปบนหน้าผาดูเหมือนว่าจะมีก้อนหินด้านบนตกลงมา ส่วนด้านล่างก็เป็นแม่น้ำที่ลึกจนมองไม่เห็นก้นแม่น้ำ ไม่รู้ว่าคือแม่น้ำอะไร รู้แต่ว่าคนรับใช้ตระกูลโต้วเรียกแม่น้ำนี้ว่าแม่น้ำแห่งความตาย ความหมายไม่ได้หมายถึงว่าแม่น้ำสายนี้มีคนจมน้ำตายบ่อยๆ แต่เป็นเพราะได้ยินมาว่าชาวบ้านในพื้นที่นี้จะนำคนตายมาทิ้งไว้ในแม่น้ำแห่งนี้ หวังว่าแม่น้ำสายนี้จะเชื่อมต่อกับเส้นทางสวรรค์แล้วพาบรรพบุรุษของตัวเองไปสู่สรวงสวรรค์

 

 

อวิ๋นเยี่ยพยายามจะหนีไปสองครั้งแล้ว แต่น่าเสียดายที่ถูกคนรับใช้แกะรอยตามจนเจอ ในตอนนี้รอยฟกช้ำที่มุมปากของเขายังไม่มีท่าทีว่าจะจางลง

 

 

มีการซื้อขายเกิดขึ้น ครั้งนี้ได้ทองมาหนึ่งร้อยชั่ง ทำให้คนรับใช้สองคนที่ตามมาด้วยเกิดความโลภ โต้วเยี่ยนซานมีแผนป้องกันไว้ก่อนแล้ว จึงตัดคอคนรับใช้ที่โลภมากสองคนนั้นแขวนไว้ท้ายรถเข็น

 

 

ทองของอวิ๋นเยี่ยช่วยโต้วเยี่ยนซานได้เป็นอย่างมาก รถเข็นสิบกว่าคันเต็มไปด้วยเสบียง เดินบนเส้นทางที่น่าหวาดเสียวทำให้รู้สึกน่ากลัว

 

 

วั่งไฉเป็นม้าที่เจ้าคิดเจ้าแค้น ยังไม่ลืมว่าคนรับใช้ตระกูลโต้วปล้นถุงเงินของตัวเองไป อวิ๋นเยี่ยมองดูวั่งไฉเอาก้นใหญ่ๆ ของตัวเองไปเบียดคนรับใช้ที่ขโมยถุงเงินของตัวเองไป คนรับใช้ที่กำลังเข็นรถล้อเดียวอย่างระมัดระวังก็ได้เสียการทรงตัว เสบียงเป็นสิ่งสำคัญ คนที่มีประสบการณ์หิวโหยอย่างทรมานจะรู้ว่าความหิวนั้นช่างน่ากลัว เขาพยายามควบคุมรถเสบียงอาหารที่กำลังจะคว่ำ เบี่ยงตัวเองไปทางซ้ายตามความเคยชิน แต่เขาลืมไปว่าด้านซ้ายเป็นหน้าผา

 

 

คนรับใช้ตะโกนร้องด้วยความตกใจจนมีเสียงสะท้อนก้องมาจากภูเขา ทุกคนยืนมองคนรับใช้ที่ตกหน้าผา ค่อยๆ เลือนหายไปจนตกลงไปในแม่น้ำ ทุกคนถึงดึงสติกลับมาได้

 

 

โต้วเยี่ยนซานมองอวิ๋นเยี่ยที่สองมือถูกมัดอยู่อย่างน่าสงสัย อวิ๋นเยี่ยชูสองมือที่ถูกมัดอยู่ขึ้น บอกเป็นนัยๆ ว่าตัวเองไม่มีทางผลักคนรับใช้ลงไปได้ คนรับใช้ที่จูงอวิ๋นเยี่ยอยู่ก็กล้าสาบานได้ว่าอวิ๋นเยี่ยไม่มีทางตุกติกใดๆ แต่เป็นเพราะเขาโชคร้ายเองที่เดินไม่ดีก็เลยตกลงไป ส่วนวั่งไฉที่ทำหน้าตาใสซื่อ ดวงตาโตเป็นประกาย กลับไม่มีใครสนใจมันเลย

 

 

โต้วเยี่ยนซานได้อธิษฐานให้แก่คนรับใช้ผู้จงรักภักดีของตัวเอง จากนั้นก็เริ่มเดินทางต่อ เสบียงอาหารไม่เสียหาย เสียไปก็แค่คนเท่านั้น นี่เป็นเรื่องโชคร้ายในความโชคดี

 

 

จัดขบวนใหม่อีกครั้ง โต้วเยี่ยนซานถือเชือกที่ผูกอวิ๋นเยี่ยไว้ด้วยตัวเอง เดินอยู่ข้างหน้าสุดในฐานะผู้นำ ไม่ว่าจะมองในมุมไหนโต้วเยี่ยนซานก็มีคุณสมบัติมากพอที่จะเป็นผู้นำ

 

 

เส้นทางดินแดนเสฉวนในต้นฤดูใบไม้ผลิ เกิดความชื้นเพราะมีอากาศเย็น ทางเดินระหว่างหุบเขามีหมอกหนาเป็นปกติ ทำให้เสื้อผ้าเกิดความชื้น วั่งไฉไม่ชินกับสภาพอากาศหนาวเย็น มันมักจะเอาหัวมุดไปในอ้อมแขนของอวิ๋นเยี่ยเหมือนบอกเป็นนัยๆ ว่าอยากกลับบ้าน เห็นได้ชัดว่ามันชอบอากาศแห้งสบายที่ฉางอันมากกว่า

 

 

แหวนหยกราคาหนึ่งร้อยเหรียญกลับแลกได้แค่ผ้าห่มที่มีกลิ่นอับชื้น โต้วเยี่ยนซานชอบเวลาเห็นอวิ๋นเยี่ยตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก โต้วเยี่ยนซานไม่ห้ามที่คนรับใช้จะรังแกอวิ๋นเยี่ย แต่ไม่อนุญาตให้หยิบของของอวิ๋นเยี่ยไป แต่จริงๆ แล้วก็ไม่มีอะไรมาก นอกจากม้วนเส้นไหมนอกนั้นก็ไม่เหลืออะไรแล้ว

 

 

มีดพกของอวิ๋นเยี่ยถูกโต้วเยี่ยนซานเอาไปเหน็บไว้ที่เอวตัวเอง เขาชอบงานศิลปะของชาวดินแดนตะวันตกเป็นอย่างมาก การหยิบไปโดยไม่บอกไม่ใช่การกระทำของสุภาพบุรุษ นำมีดเหล็กขนาดสองนิ้วไปแลกกับมีดพกฝังอัญมณีของอวิ๋นเยี่ย

 

 

ใช้ชีวิตอยู่ข้างนอก หากไม่มีมีดพกจะอดตายได้ ดังนั้นโต้วเยี่ยนซานจึงให้เกียรติอวิ๋นเยี่ยเป็นครั้งสุดท้าย ให้เขาไม่ต้องถึงขั้นใช้มือและปากฉีกกัดอาหารของตัวเอง

 

 

เมื่อออกจากทางแคบริมหน้าผาก็มาถึงนครแห่งสวรรค์ อวิ๋นเยี่ยเข้าใจแล้วว่าทำไมเมืองเฉิงตูถึงถูกเรียกว่านครแห่งสวรรค์ ไม่ใช่เพราะมีความมั่งคั่ง แต่เป็นเพราะเมื่อออกมาจากทางที่แคบและยากลำบากแล้วได้เห็นที่ราบขนาดใหญ่ ไม่ว่าใครก็ต้องหลั่งน้ำตา คิดว่าถึงนครแห่งสวรรค์แล้ว

 

 

คิดแล้วก็อยากใช้มีดพกในการหลบหนีไปต่อหน้าต่อตาชายฉกรรจ์หลายสิบคน บางทีอาจจะมีคนสามารถทำได้ แต่คนๆ นั้นคงไม่ใช่อวิ๋นเยี่ย และถึงแม้จะถึงดินแดนเสฉวนแล้ว แต่ก็ไม่มีโอกาสให้หลบหนีแม้แต่น้อย บางทีวิธีของวั่งไฉอาจเป็นวิธีที่ดีที่สุด

 

 

การรักการเรียนรู้เป็นข้อดีอย่างหนึ่งของอวิ๋นเยี่ย ตั้งแต่มาที่ต้าถังก็ได้เรียนรู้กับเฉิงฉู่มั่ว เหล่าเฉิง และหนิวจิ้นต๋า และต่อมาก็ได้เรียนรู้กับพวกหลี่กัง จั่งซุน และหลี่ซื่อหมิน เขาเรียนรู้ทุกอย่างแม้แต่สิ่งเล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่เคยมองข้าม ดังนั้นจึงกลายเป็นคนประหลาดเช่นนี้ หลี่เฉิงเฉียนมักจะพูดว่าวิธีการของอวิ๋นเยี่ยดูเหมือนจะเป็นวิธีที่เขารู้สึกคุ้นเคย แต่กลับบอกเหตุผลไม่ถูก นอกจากเขาจะเดินตามประสบการณ์ของอวิ๋นเยี่ยสักครั้ง ไม่เช่นนั้นเขาก็ไม่สามารถเข้าใจมันได้

 

 

ตอนนี้อวิ๋นเยี่ยเตรียมที่จะเรียนรู้กับวั่งไฉ ในความคิดของเขาไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้

 

 

กลุ่มคนพวกนี้ใช้ชีวิตเหมือนหนู ออกหากินในเวลากลางคืน เมื่ออวิ๋นเยี่ยได้เห็ดแห้งมาจากในป่า ก็จะเอาต้มใส่น้ำทำเป็นซุปเห็ด ส่วนเห็ดที่มีดอกสีสวยงามที่หลบซ่อนอยู่ข้างในและมีรสชาติสดใหม่ อวิ๋นเยี่ยก็ทำเป็นมองไม่เห็น

 

 

ไม่มีใครให้หม้อกับอวิ๋นเยี่ย ทำได้แค่เพียงทำหม้อขึ้นมาเอง ดินแดนเสฉวนเต็มไปด้วยต้นไผ่ มีต้นไผ่บางชนิดสามารถนำมาหุงข้าวได้ แต่บางชนิดก็ทำไม่ได้ เขาใช้มีดดาบตัดไม้ไผ่เป็นท่อนๆ แล้วใช้มีดเจาะรูที่ลำไผ่ จากนั้นเอาข้าวสารกรอกเข้าไป ตามด้วยน้ำแล้วปิดรูไม้ไผ่ กระบอกไม้ไผ่ถูกกลบด้วยเถ้าถ่าน ไม่นานกระบอกข้าวก็ส่งกลิ่นหอมออกมาเสียแล้ว

 

 

คนรับใช้ตระกูลโต้วไม่ชอบที่เห็นอวิ๋นเยี่ยและม้าของเขามีข้าวกิน ตัวเองก็เลยไปตัดไม้ไผ่บั้งใหญ่ๆ บ้าง ทำเหมือนอวิ๋นเยี่ยทุกอย่าง แล้วก็ได้กินข้าวสุกหอมๆ เช่นกัน เขามีความสุขมาก เพียงแต่ว่าวันต่อมาก็มีอาการไม่ดีเล็กน้อย ทั้งตัวเป็นจ้ำแดงๆ เต็มไปหมด รู้สึกคันจนต้องเกาเพราะทนไม่ไหว หลังจากนั้นก็มีตุ่มน้ำเหลืองขึ้นมาตามตัว

 

 

“อวิ๋นเยี่ย เกิดอะไรขึ้น เจ้าวางยาพวกเขาอย่างนั้นหรือ” โต้วเยี่ยนซานมีหม้อเป็นของตัวเอง ไม่ชอบใช้กระบอกไม้ไผ่หุงข้าว ดังนั้นจึงได้พ้นเคราะห์ในครั้งนี้

 

 

“นายท่าน เพราะเขาใช้ไม้ไผ่ผิดชนิด ไม่ใช่เพราะอวิ๋นเยี่ยวางยา” พ่อบ้านเป็นคนเก่าแก่ของดินแดนเสฉวน จึงมีความรู้เรื่องพวกนี้

 

 

“อวิ๋นเยี่ยก็กินข้าวที่หุงจากกระบอกไม้ไผ่เหมือนกัน ทำไมไม่เห็นเป็นอะไร”

 

 

พ่อบ้านยิ้มแห้งๆ แล้วพูดว่า “เพราะเขาโชคดี ในป่าไผ่นี้มีชาดแดง ท่านดูที่ไม้ไผ่จะมีรอยเส้นสีแดง นั่นคือพิษไฟลามทุ่ง เป็นเพราะคนรับใช้สะเพร่า ไม่ได้สังเกตความผิดปกติของไม้ไผ่ อวิ๋นเยี่ยมีวิชาแพทย์ติดตัว จึงไม่มีทางที่จะไม่รู้จักพิษชนิดนี้ ดังนั้นเขาจึงเลือกไม้ไผ่ที่ไม่มีลายเส้นสีแดง คนพวกนี้ถูกเขาเล่นงานเข้าให้แล้ว”

 

 

โต้วเยี่ยนซานมองอวิ๋นเยี่ยด้วยสีหน้าไม่พอใจแล้วพูดว่า “เจ้าเห็นพวกเขาใช้กระบอกไม้ไผ่ที่มีพิษมาหุงข้าว เหตุใดเจ้าไม่เตือน”

 

 

“สหายโต้ว ข้าเป็นนักโทษ หากเป็นไปได้ ข้าก็หวังว่าพวกเขาทั้งหมดจะตาย หากท่านเป็นข้ามาอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ ท่านจะเตือนพวกเขาอย่างนั้นหรือ”

 

 

“อวิ๋นเยี่ย ตอนนี้เจ้าเป็นแหล่งขุมทรัพย์ของข้า ช่วยข้าคิดวิธีหาเงินเป็นทางเดียวที่จะทำให้เจ้ามีชีวิตรอด มิเช่นนั้น เจ้าจะต้องใช้ชีวิตอย่างทุกข์ทรมาน เห็นเจ้ามีอาหารให้ม้ากินเช่นนี้ ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป เสบียงของเจ้าจะถูกลดไปครึ่งหนึ่ง”

 

 

ที่จริงเป็นเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน ทุกคนต้องรับผิดชอบในเสบียงอาหารของตัวเอง ในขณะที่อวิ๋นเยี่ยประสบความสำเร็จในการทำให้ผู้คนล้มป่วย แต่เขาก็ต้องรับผิดชอบด้วยการลดเสบียงอาหารลงครึ่งหนึ่ง

 

 

การแบกเสบียงอาหารเดินขึ้นภูเขาถือเป็นความทรมานอย่างหนึ่ง ที่บนตัวของวั่งไฉแบกเสบียงอาหารไว้สองกระสอบใหญ่ๆ เป็นฝีมือของโต้วเยี่ยนซาน ทั้งๆ ที่พอลงจากเขาก็เป็นทางราบขนาดกว้าง แต่โต้วเยี่ยนซานกลับพาพวกเขาเดินในทางแคบ

 

 

เดินในถนนแคบๆ นี้มาแล้วทั้งคืน เหนื่อยล้าทั้งคนทั้งม้า โดยเฉพาะวั่งไฉที่ไม่เคยถูกคนใช้แรงงานมาก่อน แต่ตอนนี้ต้องแบกของหนักทุกวันขณะเดินขึ้นไปบนเขา แม้ว่าจะเคยแอบขี้เกียจนอนลงกับพื้น แม้ว่าจะเคยแอบให้กิ่งไม้ขูดถุงเสบียงจนรั่ว แต่สิ่งที่มันต้องเจอคือแส้หนังของโต้วเยี่ยนซาน

 

 

เห็นอวิ๋นเยี่ยตาแดงอยากจะเข้าไปเอาเรื่องเขา โต้วเยี่ยนซานก็ยิ่งใช้แรงเฆี่ยนม้ามากยิ่งขึ้น ในตาของวั่งไฉเต็มไปด้วยน้ำตา แม้ว่าซ่านอิงจะเคยบังคับมันให้ลดน้ำหนัก แต่ก็ไม่เคยทำร้ายมันแม้แต่ปลายเล็บ แต่ในตอนนี้ทุกครั้งที่ถูกแส้ตี เนื้อตัวสั่นไปทั้งตัวเหมือนเด็กที่ถูกลงโทษ

 

 

เมื่อฟ้าสว่าง อวิ๋นเยี่ยก็ไปหายาสมุนไพรในดงหญ้ามาทำยาให้วั่งไฉ น่าเสียดายที่มีเพียงแค่ดอกผู่กงอิง ไม่รู้ว่าจะทำเช่นไร อวิ๋นเยี่ยจึงดึงดอกผู่กงอิงขึ้นมาทั้งต้น โขลกจนละเอียด แล้วทาลงบนตัวของวั่งไฉ ยานี้ไม่ได้ช่วยอะไร เพียงแค่ปลอบใจได้เท่านั้น

 

 

วั่งไฉที่เคยอ้วนท้วนสมบูรณ์ แต่ตอนนี้กลับผอมลงอย่างรวดเร็ว อวิ๋นเยี่ยจะได้เสียงท้องมันร้องทุกวัน มันมักจะหิวตลอดเวลา ความหิวทำให้มันหมดสภาพจึงหาเล็มหญ้าอ่อนด้วยตัวเอง

 

 

เสบียงอาหารเป็นสิ่งที่ยิ่งแบกก็ยิ่งเบา กลุ่มคนและม้าแบกเสบียงอาหารที่ซื้อมาจากดินแดนเสฉวนมุ่งหน้าไปทางถนนใหญ่ ที่นี่เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างดินแดนเสฉวนกับอาณาจักรน่านเจ้า กิจการของตระกูลโต้วที่มีมาหลายปีนี้ถือว่าได้ผล พ่อบ้านได้นำพวกเขาออกจากป้อมปราการสุดท้ายในฐานะพ่อค้า

 

 

โต้วเยี่ยนซานเห็นว่าคนของตัวเองเริ่มตายไปอย่างไร้เหตุผล คนแรกไปเหยียบกับดักเข้าทำให้ขาขาด มีคนถูกหนามทิ่มแทงจนกลายเป็นเม่น และยังมีอีกสองคนที่กำลังกินข้าวอยู่ จู่ๆ ก็เกิดบ้าขึ้นมา เริ่มทะเลาะกันเพียงเพราะพูดจาไม่เข้าหู ในตอนแรกมีแต่คนหัวเราะ ใช้ชีวิตท่ามกลางป่าเขามานาน ทำให้ทุกคนสะสมความไม่พอใจไว้เป็นอย่างมากเป็นเรื่องธรรมดา

 

 

เมื่อมีใครคนใดคนหนึ่งเอามีดแทงเข้าไปที่ท้องของอีกคน ผู้คนจำนวนมากจึงเห็นถึงความผิดปกติ อยากจะเข้าไปห้ามเพื่อนที่กำลังบ้าคลั่ง แต่กลับถูกเขาไล่ฆ่าจนต้องหนีกระเจิดกระเจิง

 

 

ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร โต้วเยี่ยนซานจึงใช้ธนูยิงคนที่กำลังบ้าคลั่ง เห็นเขากระอักเลือดออกมาแล้วยังส่งเสียงร้องเหมือนอย่างสัตว์ป่า ทำให้คนจำนวนมากที่เห็นรู้สึกเจ็บปวดในใจ

 

 

โต้วเยี่ยนซานค้นตัวอวิ๋นเยี่ยทั้งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า ไม่พบยาพิษ ทั้งตัวของเขามีเพียงแค่ม้วนเส้นไหม ไม่มีอะไรนอกจากนี้ เป็นไปไม่ได้ที่อวิ๋นเยี่ยจะเป็นคนทำเรื่องนี้

 

 

อวิ๋นเยี่ยยอมให้ค้นตัวแต่โดยดี เขาบดเห็ดไปด้วย แล้วดูความครึกครื้นไปด้วย เห็นอวิ๋นเยี่ยดูท่าทางสบายใจ โต้วเยี่ยนซานขบฟันจนแทบหัก

 

 

อากาศค่อยๆ ร้อนมากขึ้นเรื่อยๆ สิ่งมีชีวิตในป่าก็ดูมีความอุดมสมบูรณ์มากขึ้น อวิ๋นเยี่ยเห็นลิงปากแดงอยู่หลายตัว กำลังปีนป่ายระหว่างหุบเขาอย่างคล่องแคล่ว หรือว่าตัวเองจะมาถึงอาณาจักรน่านเจ้าแล้ว?

 

 

น้ำตกขนาดใหญ่ทำให้อวิ๋นเยี่ยรู้ว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ที่ไหน เสียงร้องคำรามดังก้องทำให้คนใจสั่น มีเพียงอวิ๋นเยี่ยที่รู้ว่าน้ำตกแห่งนี้เป็นน้ำตกที่สวยงามแห่งหนึ่งบนโลกนี้ ในยุคปัจจุบันต้องอลังการมากกว่านี้เป็นแน่

 

 

สิ่งที่มองเห็นเป็นเรื่องจริง สิ่งที่ได้ยินเชื่อไม่ได้ น้ำตกหวงกั่วซู่ไม่สวยงามเท่ายุคหลังที่มีน้ำไหลเชี่ยวจากหน้าผาลงมา แลดูยิ่งใหญ่อลังการ

 

 

น่าเสียดายที่เพียงแค่ตกลงไปข้างล่างไม่กี่เมตรก็ถึงดินแล้ว แต่ในยุคหลัง หน้าผามีความลึกลงไปถึงเกือบเจ็ดสิบเมตร

 

 

“เป็นอย่างไรบ้าง อวิ๋นโหว ท่านคงเป็นขุนนางคนแรกของต้าถังที่มาที่แห่งนี้ คิดไม่ถึงละสิว่าถิ่นทุรกันดารจะมีทิวทัศน์ที่สวยงามเช่นนี้”