ตอนที่ 744 การประชุมทางทหารคราที่หนึ่ง

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 744 การประชุมทางทหารคราที่หนึ่ง

ฟู่เสี่ยวกวนคาดมิถึงว่าบทเพลงนี้จะเกิดผลกระทบมากมายเหลือคณานับ

เดิมทีเขาต้องการเลือกเพลง ‘คนจีน’ เป็นเพลงประจำกองกำลังดาบเทวะ แต่ในยุคนี้มิเหมือนกันนี่ ดังนั้นท้ายที่สุดแล้วเขาจึงเลือกเพลง ‘ชายชาตรีต้องแข็งแกร่ง’ แทน

เพียงแค่เมื่อวานเย็นทหารทุกนายก็จำและร้องกันได้แล้ว พวกเขาร้องมันอยู่หลายรอบเลยทีเดียว เสียงที่ดังออกมายอดเยี่ยมเกินกว่าที่ฟู่เสี่ยวกวนคาดหวังเอาไว้เสียอีก !

เขายืนอยู่ในสนามฝึกพร้อมมองไปยังเหล่าทหารที่ขับร้องเพลงท่ามกลางหิมะ สิ่งที่เขาเห็นคือจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ที่ไร้ซึ่งคำว่าพ่ายแพ้ เจตจำนงอันแรงกล้าและความมิย่อท้อ !

ทหารจำนวน 30,000 นายตรงหน้านี้ เดิมทีก็ได้รับการฝึกฝนอย่างหนักมาเป็นเวลา 1 ปีเห็นจะได้ จิตวิญญาณของพวกเขาย่อมแข็งแกร่งกว่าทหารจากกองทัพอื่นใดในใต้หล้านี้

แน่นอนว่าบัดนี้ยังมีทหารอีก 2 กองทัพที่แข็งแกร่งเช่นกัน หนึ่งในนั้นคือกองกำลังทหารดาบเทวะกองที่สามของซูม่อและองครักษ์ชุดแดงที่ไป๋ยู่เหลียนฝึกฝนด้วยตนเอง ณ ราชวงศ์อู๋อยู่อีกด้วย

แน่นอนว่า ทหารดาบเทวะเหล่านี้ย่อมมีฝีมือที่มิธรรมดา

เขาชื่นชมทหารเหล่านี้เป็นอย่างมาก ต่อจากนี้คาดว่าจะถึงเวลาที่พวกเขาจะได้ออกโรงอย่างสง่างามเสียที

เช้าตรู่ของวันถัดมา ฟู่เสี่ยวกวนเดินทางไปยังกองบัญชาการ

ด้านล่างเต็มไปด้วยผู้คนมากมายและพวกเขาก็คือกระดูกสันหลังของกองทัพทหารดาบเทวะ ซึ่งเป็นนักรบที่ทรงพลังและได้ผ่านการประเมินมาหลายต่อหลายครา

แต่ทว่าหยูเวิ่นเต้ามิได้อยู่ในที่แห่งนี้ด้วย เนื่องจากถูกสวี่ซินเหยียนทำให้สลบไปแล้ว

เรื่องนี้เฉินป๋อทราบดีและก็เข้าใจถึงความหมายของฟู่เสี่ยวกวน เนื่องจากในสนามรบสิ่งใดก็สามารถเกิดขึ้นได้ ร่างกายของคนผู้นี้พิเศษกว่าผู้ใด ทางที่ดีมิควรให้เขาเข้าร่วมศึกจะดีกว่า

ส่วนพวกเฮ้อซานเตาตื่นนอนตั้งแต่เช้าตรู่ หลังจากล้างหน้าแปรงฟันเรียบร้อยแล้ว ก็ได้เข้ามานั่งรอที่กองบัญชาการอย่างเป็นระเบียบ แม่ทัพเฉินกล่าวว่ามีเรื่องให้ทำ อีกทั้งติ้งอันป๋อเดินทางมาด้วยตนเองเช่นนี้ย่อมเป็นเรื่องใหญ่อย่างแน่นอน

ทุกคนพร้อมใจกันโห่ร้องคำรามออกมาราวกับสิงโตบ้าคลั่ง

“เสี่ยวซีซี ข้าเล็งตำแหน่งผู้บัญชาการเอาไว้แล้ว ท่านแม่ทัพเฉินกล่าวว่าตำแหน่งผู้บัญชาการนี้วัดกันที่ความสามารถและผลงาน…” เฮ้อซานเตาแลบลิ้นเลียริมฝีปากด้วยท่าทางกระหาย “หากงานนี้เป็นงานใหญ่เหมือนตอนปราบกบฏเซวี๋ยล่ะก็ ข้าย่อมคว้าตำแหน่งผู้บัญชาการมาครองได้อย่างแน่นอน เจ้าเชื่อหรือไม่ ? ”

เจ้าหมอนี่เป็นพวกบ้าคลั่งการต่อสู้ กวนเสี่ยวซีรู้สึกนับถืออยู่มิน้อย

“ข้าเองก็ต้องการคว้าตำแหน่งผู้บัญชาการเหมือนกัน เยี่ยงนั้นพวกเรา…มาแข่งกันดีหรือไม่ ? ”

“ฮ่าฮ่าฮ่า…” เฮ้อซานเตาตบลงที่บ่าของกวนเสี่ยวซีเบา ๆ “แน่นอนว่าต้องแข่งอยู่แล้ว…ว่าแต่เจ้าอู๋ปิ้ง เหตุใดช่วงนี้เจ้าดูนิ่งเงียบผิดปกติเสียจริง ? ”

เว่ยอู๋ปิ้งเหล่ตามองเฮ้อซานเตาแล้วตอบว่า “ข้ามิอยากโอ้อวดเยี่ยงเจ้า มิแน่ว่าหลังจากสิ้นสุดงานนี้ ผลงานของข้าอาจจะมากกว่าพวกเจ้าก็เป็นได้”

“ฮ่าฮ่าฮ่า…” เฮ้อซานเตาหัวเราะเสียงดัง “ข้าชอบท่าทางหน้าด้านของเจ้าเสียจริง เจ้าใส่มาให้เต็มที่มิต้องยั้ง แล้วข้าจะรอรับเอง รอให้เสร็จสิ้นภารกิจแล้วมาดูกัน ! ”

“ผู้ใดกลัวก็เงียบ ชู่ว์… ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนเดินตรงเข้ามา จึงทำให้ทุกชีวิตตกอยู่ในความสงบ

เขาเดินขึ้นไปบนเวทีแล้วนำแผนที่แผ่นหนึ่งติดบนกระดานด้านหลัง

“คาดว่างานฉลองปีใหม่นี้ พวกเจ้าคงจะมิได้เข้าร่วมเสียแล้ว”

คำเอ่ยเรียบง่ายของฟู่เสี่ยวกวนทำให้ทหารนับร้อยบังเกิดความครึกครื้นขึ้นมา

“มีงานใหญ่จริง ๆ ด้วย ! ”

พวกเขามีพลังขึ้นมาในทันใด งานปีใหม่พวกนั้น…มีอันใดน่าสนุกกัน ?

จะสนุกเท่าการออกรบได้เยี่ยงไร ?

ฟู่เสี่ยวกวนหยุดลงชั่วครู่ จากนั้นก็เอ่ยต่อว่า “สงครามในครานี้ ศัตรูคือ…ชาวฮวง ! ”

“ไอหยา…” เสียงจากด้านล่างดังขึ้นมา “สู้กับชาวฮวงเยี่ยงนั้นหรือ เป็นงานใหญ่จริง ๆ ด้วย พวกเราจะแก้แค้นให้พี่น้องกองพลที่หนึ่งให้จงได้ ! ”

“ข้าจะตัดศีรษะเจ้าท่าป๋าหลานให้จงได้ ! ”

“พวกเราจะบุกเข้าไปในฮวงถิงแล้วเข้าไปยังพระราชวังป๋ายจินฮ่านเพื่อจับตัวท่าป๋าเฟิง ! ”

“…”

ฟู่เสี่ยวกวนยกยิ้มเล็กน้อย แต่แล้วอยู่ ๆ สีหน้าของเขาก็พลันแข็งทื่อขึ้นมา มือทั้งสองข้างประสานกันแล้วกล่าวว่า “การมีจิตใจอยากเอาชนะถือเป็นเรื่องดี แต่อย่าได้หลงระเริงจนเกินไป ! ”

“บัดนี้ข้าจะชี้แจงให้พวกเจ้าฟังถึงความสามารถของชาวฮวง ทหารดาบสวรรค์จำนวน 400,000 นายได้รับการฝึกฝนคล้ายคลึงกับพวกเจ้า และในจำนวน 400,000 นายมีอยู่ราว 5,000 นายที่มีปืนคาบศิลา…”

ฟู่เสี่ยวกวนอธิบายให้ทหารหลายร้อยนายได้ฟังอย่างละเอียดเกี่ยวกับข้อมูลของชาวฮวงที่ได้รับมาจากฝูงมด เขาวิเคราะห์จุดแข็งและจุดอ่อนของทั้งสองฝ่ายและในที่สุดก็มาถึงเป้าหมายของสงครามครานี้

“เราจะมิสู้กับกองทัพดาบสวรรค์ทั้งสี่แสนนาย เนื่องจากการต่อสู้ในทุ่งหญ้าโดยเฉพาะในฤดูหนาวเช่นนี้ มิเป็นประโยชน์ต่อกองทัพของเรามากนัก ดังนั้นเป้าหมายของสงครามในครานี้มีเพียงหนึ่งเดียว ซึ่งนั่นก็คือปล้นคลังเสบียงของชาวฮวงเสีย…”

“ข้ามิต้องการให้ชาวฮวงข้ามผ่านฤดูหนาวนี้ไปได้ ! ”

“กองพลน้อยที่หนึ่งรับคำสั่ง ! ”

กวนเสี่ยวซีลุกขึ้นมาทำท่าคำนับ “ข้าน้อยกวนเสี่ยวซี ผู้บังคับการกองพลน้อยที่หนึ่งพร้อมรับคำสั่งจากติ้งอันป๋อขอรับ ! ”

“พรุ่งนี้เช้า เจ้าจงนำกองพลน้อยที่หนึ่งออกเดินทางจากเขตผิงหลิงเข้าสู่ผืนปฐพีของแคว้นฮวง จะต้องไปถึงก่อนวันที่หนึ่งเดือนสอง ! จุดประสงค์ก็คือ…เผาทำลายยุ้งฉางของทั้งหกชนเผ่าในอาณาเขตธงดำอย่าให้เหลือ ! จากนั้นในวันที่ยี่สิบห้าเดือนสองจงยกพลกลับไปยังเมืองเป่ยเฟิงอำเภอผิงหลิง จากนั้นให้สร้างป้อมปราการขึ้นมาเพื่อเตรียมพร้อมรับคำสั่งต่อไป”

“กองพลน้อยที่หนึ่งรับบัญชาขอรับ ! ”

“กองพลน้อยที่สองรับคำสั่ง ! ”

“…”

ผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม ฟู่เสี่ยวกวนแจกจ่ายหน้าที่ในขั้นตอนแรกเสร็จสิ้นแล้ว

เฮ้อซานเตารู้สึกเบื่อหน่ายเนื่องจากล้วนเป็นหน้าที่ในการเผายุ้งฉางและสังหารม้าศึก อีกทั้งมิให้ต่อสู้กับทหารดาบสวรรค์ ช่างน่าอึดอัดเสียจริง !

แต่ทว่าต่อมาฟู่เสี่ยวกวนก็ได้เอ่ยถึงวัตถุประสงค์ขั้นที่สองว่า

“ข้ารู้ว่าพวกเจ้าอยากจัดการกับชาวฮวงให้รู้แล้วรู้รอดไปเสีย เพื่อเป็นการแก้เเค้นให้พี่น้องทหารดาบเทวะกองที่หนึ่งจำนวนสองพันกว่านายที่จากไป หลังจากพวกเจ้าเผายุ้งฉางและสังหารอาชาเรียบร้อยแล้ว แน่นอนว่าชาวฮวงจะมุ่งหน้าลงไปทางใต้… แม่ทัพเฉิน เจ้าจงควบคุมทหารด้วยตนเอง ข้ามิอนุญาตให้ทหารดาบเทวะเดินทางออกจากเมืองเป่ยเฟิงแม้แต่ครึ่งก้าว”

นี่หมายความว่าเยี่ยงไร ?

หรือจะรอให้ชาวฮวงทำการโจมตีด่านเยี่ยนซานเหนือเสียก่อน ?

“ที่ด่านเยี่ยนซานมีปืนใหญ่หงอีอยู่ราว 300 กระบอก หากชาวฮวงบุกเข้ามาก็จะได้รับความสูญเสียอย่างมาก ด้านหลังด่านเยี่ยนซานคือทหารชายแดนเหนือจำนวน 400,000 นาย หากชาวฮวงบุกเข้ามาจริง ๆ ย่อมพ่ายแพ้อย่างแน่นอน ส่วนสิ่งที่พวกเจ้าต้องทำก็คือ…รอข้าไปถึง”

เฉินป๋อตกตะลึงงัน “เอ่อ…ติ้งอันป๋อ ท่านอย่าได้เอาตนเองเข้ามาเกี่ยวข้องเลยเพราะมันอันตรายจนเกินไป”

ฟู่เสี่ยวกวนฉีกยิ้มกว้าง “จงจำไว้ว่าต้องรอจนข้าไปถึงเท่านั้น ! ”

“แล้วข้าจะเป็นผู้บอกเรื่องน่ายินดีให้แก่พวกเจ้าเอง ! รับรองว่าพวกเจ้าจะได้ต่อสู้อย่างแน่นอน ! ”

……

……

ณ หินปากอินทรี

ฟู่เสี่ยวกวนและเฉินป๋อนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกัน

สวี่ซินเหยียน จางเพ่ยเอ๋อร์ และหนิงซือเหยียนนั่งห่างออกไปจากทั้งสองราว 3 จั้งด้วยท่าทางระแวดระวัง

“ข้ามิได้จะไปที่เมืองเป่ยเฟิงอำเภอผิงหลิงจริง ๆ หรอกนะ”

เฉินป๋ออ้าปากค้าง ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยต่อว่า “เขา…” พลางชี้ไปยังหนิงซือเหยียน “เมื่อถึงเวลานั้นเขาจะปลอมเป็นข้า จากนั้นในกลยุทธ์ขั้นที่สองข้าจะเขียนออกมาอย่างละเอียดเพื่อให้เขานำไปให้เจ้า และเจ้าเพียงทำตามก็พอ”

เมื่อได้ยินดังนั้น เฉินป๋อจึงวางใจลงได้เล็กน้อย เนื่องจากตัวตนของติ้งอันป๋อช่างสูงส่งมากยิ่งนัก หากเขาสิ้นลมในสนามรบแล้วล่ะก็…ผู้ใดจะรับผิดชอบไหวกันเล่า

“เรื่องนี้เป็นความลับสุดยอด ! ”

“ข้าน้อยเข้าใจดี”

ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มแล้วตบลงที่บ่าของเฉินป๋อเบา ๆ “เมื่อถึงเวลานั้น…พวกเราจะได้พบกันอีกคราอย่างแน่นอน ! ”

เฉินป๋ออ้าปากค้าง นี่หมายความว่าเยี่ยงไร ?

ฟู่เสี่ยวกวนเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ปลายปีหน้า…เมื่อปัญหาเรื่องชาวฮวงถูกจัดการเรียบร้อยแล้ว ข้าจะกลับไปยังราชวงศ์อู๋ พวกเจ้า…ทหารดาบเทวะเป็นคนของราชวงศ์หยู พวกเจ้าก็ลองคิดดูว่าจะทำเยี่ยงไรต่อไป แต่จะว่าไปแล้วหยูเวิ่นเต้าก็มิเลวเสียทีเดียว หากว่าพวกเจ้าติดตามเขาย่อมมีอนาคตที่สดใสอย่างแน่นอน”