ตอนที่ 745 มิตรภาพวัยเยาว์

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 745 มิตรภาพวัยเยาว์

ณ หินปากอินทรีในวันนี้ ฟู่เสี่ยวกวนได้สนทนากับเฉินป๋อมากมายหลายเรื่อง

แต่ก็มิมีผู้ใดทราบถึงเนื้อหาที่พวกเขาสนทนากัน

ทหารดาบเทวะกองทัพที่หนึ่งเข้าสู่การเตรียมความพร้อมเพื่อออกรบ เพลงกองทัพยังคงดังก้องอยู่ในภูเขาเฟิ่งหลิน ทุกสิ่งยังคงเหมือนเดิม แต่ที่เปลี่ยนไปก็คือบัดนี้ใบหน้าของทหารแต่ละนายเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้น

ในยามเช้าตรู่ของวันที่สิบหกเดือนสิบสอง ท่ามกลางหิมะตกหนักฟู่เสี่ยวกวนได้พาหยูเวิ่นเต้าและคณะเดินทางออกจากภูเขาเฟิ่งหลินอย่างเงียบ ๆ โดยมีรถม้า 3 คันพุ่งทะยานไปยังเขตเหยา

“ข้ารู้สึกว่าเจ้ามีเรื่องปิดบังข้าอยู่ ใช่หรือไม่ ? ” เป็นตายเยี่ยงไรหยูเวิ่นเต้าก็มิเชื่อว่าฟู่เสี่ยวกวนวิ่งแร่มาจากว่อเฟิงเต้าถึงภูเขาเฟิ่งหลินเพียงเพื่อมาทำธงและเพลงกองทัพเท่านั้น

“อย่าคิดมาก…” ฟู่เสี่ยวกวนกำลังใช้ดินสอถ่านเขียนจดหมายถึงหนิงหยู่ชุน “มิใช่ว่าการฝึกจบลงแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ในฐานะผู้บัญชาการของกองทัพทหารดาบเทวะ ข้าก็ต้องมาดูการฝึกฝนของทหารกลุ่มนี้สักหน่อยสิว่าเป็นเยี่ยงไรบ้าง”

ก็ค่อนข้างมีเหตุผลอยู่หรอก ในฐานะที่บุรุษผู้นี้เป็นแม่ทัพสูงสุดของทหารดาบเทวะ เขาก็ควรแสดงตนต่อหน้าทหาร เพราะมิเช่นนั้นทหารเหล่านี้จะรู้จักเพียงนามแต่มิรู้จักตัวตนของเขา ซึ่งมิใช่เรื่องดีต่อความมั่นคงของกองทัพ

“เช้าวันนี้ข้าเห็นกวนเสี่ยวซีพาทหารออกไป พวกเขาจะไปที่ใดกันหรือ ? ”

“ไอหยา ตอนนี้มิได้ทำการรบอีกแล้ว ข้าจึงให้กวนเสี่ยวซีแบ่งคนในกองพลน้อยไปเป็นผู้ดูแลในแต่ละสถานที่”

หยูเวิ่นเต้าผงะ ทหารที่ดีเยี่ยงนี้ มารดามันเถิด ! ใช้ไปเป็นผู้ดูแลเยี่ยงนั้นหรือ ?

ยกให้ข้าเสียยังจะดีกว่า !

“อย่าขัดความคิดของทหารกลุ่มนี้เลย ฝ่าบาทตรัสไว้ว่าต้องฝึกฝนทหารเยี่ยงนี้ไว้ 100,000 นาย และภายภาคหน้าเจ้าก็จะมีทหารที่ดีไว้ในปกครอง”

“แล้วปืนเล่า ? มิว่าเยี่ยงไรเจ้าก็ต้องจัดสรรปืนคาบศิลาไว้ให้ข้าด้วย”

“เรื่องนี้…เจ้ากลับไปเจรจากับฝ่าบาทเองเถิด เยี่ยงไรเสียราชโองการที่ข้าได้รับมาในตอนนี้ยังเป็นการส่งปืนไปยังกองทัพชายแดนเหนือ”

หยูเวิ่นเต้าเบ้ปากแล้วใคร่ครวญอยู่ในใจว่าปืนคาบศิลาของหนึ่งปีนี้แทบจะส่งไปยังกองทัพชายแดนเหนือหมดแล้ว อย่างน้อยเผิงเฉิงอู่ก็มีปืนคาบศิลาอยู่ 30,000 กระบอก เยี่ยงนั้นในปีหน้าที่ตนจัดตั้งทหารใหม่ 100,000 นาย ปืนคาบศิลานี้ก็ควรส่งมาให้ตนได้แล้ว

ฟู่เสี่ยวกวนมิได้สนใจอีกฝ่าย เนื่องจากบัดนี้คิ้วของเขาขมวดเล็กน้อย เขากำลังเขียนประเด็นสำคัญของงานตลอดทั้งปีหน้าในว่อเฟิงเต้าให้หนิงหยู่ชุนลงในจดหมายอย่างละเอียด

การก่อสร้างรากฐานมิสามารถหยุดได้ ภาษีทั้งหมดภายในสามปีของว่อเฟิงเต้ามิอนุญาตส่งมอบให้แก่กรมคลัง เนื่องจากสถานที่ในว่อเฟิงเต้าที่ต้องใช้เงินนั้นมีมากจนเกินไป และสำนักศึกษาก็เป็นหนึ่งในเรื่องสำคัญของปีหน้า

ส่วนผลกระทบของหงเย่จี๋ที่ได้รับมาจากตระกูลจาง เขาสั่งให้หนิงหยู่ชุนจัดตั้งหน่วยปราบปรามระดับอำเภอขึ้นมา อนุญาตให้เกณฑ์กลุ่มทหารได้ 300 นายมาประจำการโดยให้หัวหน้าหน่วยปราบปรามเป็นผู้ฝึกสอนแล้วรับคำสั่งโดยตรงจากผู้พิพากษา

การค้าของว่อเฟิงเต้ากำลังเฟื่องฟู หลายโรงงานกำลังอยู่ในช่วงระหว่างการก่อสร้างอย่างเต็มกำลัง และความปลอดภัยของพื้นที่ย่อมสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ

เขาเขียนทุกรายละเอียดลงไปโดยใช้เวลาราวครึ่งชั่วยาม เมื่อเขียนได้สี่แผ่นแล้วจึงได้พับเก็บเอาไว้

“ที่เมืองว่อเฟิง ข้าได้พบกับพี่ใหญ่ของเจ้าคราหนึ่ง”

“…ตอนนี้เขาเป็นเยี่ยงไรบ้าง ? ”

“ปกปักรักษาผืนปฐพีอย่างสุดหัวใจ มีชีวิตอย่างอิสระ… อิสระโดยแท้จริง ! ”

ในยามที่ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยประโยคนี้ เขาได้จ้องมองไปที่ดวงตาของหยูเวิ่นเต้า ฝ่ายหยูเวิ่นเต้าเองก็เข้าใจความหมายของประโยคที่ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยได้เป็นอย่างดี

“เขามีชีวิตอิสระก็ดีแล้ว เจ้าสบายใจได้เพราะข้ามิใช่คนใจร้าย… เสด็จพี่สี่เล่า มีข่าวคราวของเขาบ้างหรือไม่ ? ”

“ตายแล้ว ! เขาถูกจับกลับมาในระหว่างที่หลบหนีไปยังถนนเจี้ยนหนานซี หลังจากนั้นก็ถูกฝ่าบาทสั่งประหารชีวิต”

หยูเวิ่นเต้าขมวดคิ้วเล็กน้อย สองมือบีบเข้าหากันแน่นแล้วหัวเราะเยาะออกมา “ถ้าเอ่ยออกไปเจ้าคงมิเชื่อ ว่าระหว่างข้าและพี่ชายทั้งสอง… แม้แต่จะดื่มสุราร่วมกันตามลำพังยังหาโอกาสได้น้อยมากยิ่งนัก”

“เมื่อยามที่ข้ากลับมาจากป่ากระบี่ พวกเขากำลังแย่งชิงตำแหน่งรัชทายาทกันอย่างเต็มกำลัง ข้ากังวลว่าจะเกิดเรื่องเพราะเดิมทีคิดเชิญพวกเขามานั่งดื่มด้วยกัน ดื่มสุราสักจอกแล้วเกลี้ยกล่อมสักเล็กน้อย…”

หยูเวิ่นเต้าถอนหายใจยาวออกมา จากนั้นก็จ้องมองไปยังเกล็ดหิมะที่ลอยอยู่นอกหน้าต่างรถม้า แล้วเอ่ยต่อว่า “เสด็จแม่ตรัสว่าคำเอ่ยของข้านั้นไร้ความหมาย เพราะพวกเขาถูกอำนาจทำให้ดวงตามืดบอดไปแล้ว”

“ดังนั้นข้าจึงล้มเลิกความคิดนี้ไปเสีย แล้วปล่อยให้พวกเขาช่วงชิงกันเอง ส่วนตัวข้าก็คอยจัดการงานของหอชิงเฟิงซี่หยู่เท่านั้น”

“ตอนนี้อยู่ ๆ ข้าก็รู้สึกว่าควรห้ามปรามเสียบ้าง แม้จะเป็นไปมิได้แล้วจริง ๆ แต่ทว่าอย่างน้อยพวกเราสามคนพี่น้องก็ยังสามารถร่วมวงดื่มสุรากันได้”

ฟู่เสี่ยวกวนลูบใบหน้า “มันผ่านไปแล้ว ข้าเป็นคนพาเขากลับมาแล้วก็เป็นคนส่งเขาจากไป ข้าฝังร่างของเขาเอาไว้ที่แนวสันเขาตรงข้ามกับเรือนหนานซาน”

“เมื่อกลับไปแล้วข้าจะไปเยี่ยมเยียนเขาสักครา”

ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ห้ามปรามอีกฝ่าย ตัวเขาเองก็มองออกไปด้านนอกหน้าต่างเช่นกัน

ท่ามกลางหิมะพร่างพรายเห็นได้ชัดว่าการก่อสร้างของหมู่บ้านเสี้ยชุนยังคงดำเนินต่อไปโดยมิหยุดพัก ในสถานที่ที่ห่างออกไปมิไกลมากนักก็สามารถมองเห็นโครงสร้างของกำแพงเมืองขึ้นมาบ้างแล้ว

หยูเวิ่นเต้าย่อมทราบถึงความเปลี่ยนแปลงของหมู่บ้านเสี้ยชุน ในยามนี้เขาดึงสายตากลับมา จ้องมองไปยังฟู่เสี่ยวกวน จากนั้นก็เอ่ยถามเสียงแผ่วว่า “เตรียมจะจากไปเมื่อใด ? ”

การไปครานี้ก็คือการจากราชวงศ์หยูเพื่อกลับไปยังราชวงศ์อู๋

“ปีมะรืน… ในปีมะรืนว่อเฟิงเต้าย่อมมั่นคงแล้ว ปัญหาที่ควรเกิดก็ได้เกิดขึ้นแล้ว ต่อจากนี้จะทำเยี่ยงไรต่อไปก็มีกฎหมายในการจัดการ จึงมิมีเรื่องอันใดเกี่ยวข้องกับข้าโดยตรงอีกแล้ว”

หยูเวิ่นเต้านิ่งเงียบอยู่เนิ่นนาน “เมื่อกลับถึงจินหลิงข้าจะเลี้ยงสุราเจ้าหนึ่งจอก”

ฟู่เสี่ยวกวนแสยะยิ้ม “เยี่ยงนั้นในภายภาคหน้าหากเจ้าไปยังเมืองกวนหยุน ข้าก็จะเลี้ยงสุราเจ้าหนึ่งจอกด้วยเช่นกัน”

“ดี… ! ”

หลังจากสิ้นสุดเสียงสนทนาก็ได้เข้าสู่ความเงียบอีกครา มีเพียงเสียงของล้อรถม้าที่บดกับพื้นหิมะที่ยังคงดังอยู่เช่นนั้น

หยูเวิ่นเต้าเข้าใจดีว่าทันทีที่ฟู่เสี่ยวกวนออกจากราชวงศ์หยูไปแล้ว หากจะหวนกลับมายังราชวงศ์หยูอีกคราก็แทบจะมิมีโอกาสเป็นไปได้เลย

และในเวลานั้นตัวตนของทั้งสองก็จะเปลี่ยนไป เกรงว่ามิมีวันที่จะได้ร่วมฟังเพลงในหงซิ่วจาวหรือเมามายอยู่ที่หอซื่อฟางจนฟ้าสางดั่งเช่นในอดีตอีกต่อไป

มิตรภาพวัยเยาว์ระหว่างทั้งสอง บางทีอาจจะยังคงอยู่ แต่ก็เกรงว่าอยู่ได้เพียงในก้นบึ้งของหัวใจเท่านั้น

หากมีวันหนึ่งที่ตนได้ขึ้นครองบัลลังก์ หากพวกเขาได้หวนมาพบเจอกันอีกครา สิ่งที่สนทนากันก็คงจะเป็นเรื่องผลประโยชน์ของแต่ละฝ่ายเสียมากกว่า

“ในภายภาคหน้าเจ้าคงยุ่งกว่านี้ แต่สามารถให้น้องเก้าพาลูกกลับมาเยี่ยมเยียนกันได้ทุกเมื่อ… จวนติ้งอันป๋อนั้นข้าจะช่วยดูแลให้เจ้าเป็นอย่างดี ที่ตำหนักองค์หญิงเก้าก็จะมิให้ผู้ใดเข้าไปอยู่ แท้จริงแล้วข้าชอบเยี่ยนเสี่ยวโหลว แต่ก็น่าเสียดายที่ถูกเจ้าคว้าไปครองเสียก่อน เดิมทีเสด็จแม่พอพระทัยคุณหนูห้าเซวี๋ยหยู่เยียนของตระกูลเซวี๋ย และคุณหนูรองสีซีของตระกูลสี… สุดท้ายพวกนางก็ต้องหนีตายไปยังแคว้นฝานเพราะเรื่องของเซวี๋ยติ้งชาน…”

“พวกนางหนีไปได้ก็ถือว่าโชคดี เพราะหากหนีมิพ้นก็จะถูกขายเข้าหอนางโลม เกรงว่าสุดท้ายพวกนางต้องพบกับความอัปยศอดสู”

“เอาเถิด จะเรื่องบทกวีหรือบทความ เดินทัพหรือออกรบ การบริหารและปกครองแคว้น การทำนาไปถึงการค้า ข้าสู้เจ้ามิได้สักอย่างเดียว หรือแม้แต่เรื่องการตบแต่งภรรยาข้าก็ยังห่างไกลจากเจ้าเป็นพันลี้… อีกทั้งการได้อยู่ในยุคสมัยเดียวกันกับเจ้าก็ถือเป็นเรื่องโชคร้ายและเรื่องน่าเศร้าของข้าด้วยเช่นกัน”

ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะร่า ฝ่ายหยูเวิ่นเต้าจ้องเขม็ง “พวกเราจะไปเขตเหยาเพื่อทำอันใดกัน ? ”

“ไปหาเยี่ยนซีเหวิน”

“เขามีดีอันใดให้ต้องไปหากัน ? ”

“…ในอนาคตเจ้าจะมีผู้มากความสามารถอยู่ข้างกาย เช่น ฉินโม่เหวิน หนิงหยู่ชุน เยี่ยนซีเหวิน เหยียนซีไป๋ จงสือจี้ เหอเชิงอัน กงซุนเซ่อ และอีกหลาย ๆ คน”

หยูเวิ่นเต้าชะงักงันไปชั่วครู่ ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยต่อด้วยความจริงจังอย่างไร้ที่เปรียบว่า “หากเจ้าเชื่อข้าก็ทำใจกล้าและใช้พวกเขาเสีย หากเจ้ามิเชื่อก็มัดพวกเขาไว้บนหิ้งแล้วกราบไหว้บูชาเสีย”

“ข้าย่อมเชื่อเจ้า”

“เยี่ยงนั้นเจ้าก็ติดสุราข้าอีกมื้อแล้ว… พรุ่งนี้จงไปหลินเจียงเพื่อช่วยข้าสักหน่อย”

“ช่วยทำอันใดกัน ? ”

“ข้าจะหมั้นหมายและเจ้าจงเป็นพยานให้แก่ข้า”

“… ? ? ? ”