ตอนที่ 746 พบโดยบังเอิญ

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 746 พบโดยบังเอิญ

สองปีมานี้เขตเหยาเกิดการเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิงภายใต้การปกครองของเยี่ยนซีเหวิน

รถม้าเคลื่อนขบวนตามกันมา นอกจากอุตสาหกรรมซีซานแล้ว ในปัจจุบันที่เขตเหยาก็มีโรงงานเพิ่มขึ้นมาอีกนับสิบแห่ง

โรงงานเหล่านี้ยังคงเจริญก้าวหน้า ส่วนเมืองต่าง ๆ ในเขตเหยาก็รุ่งเรืองมากเช่นกัน

“เจ้าดูสิ เมื่อสองปีก่อนตอนที่ข้าเดินทางมาเขตเหยา ร้านค้าข้างทางเหล่านี้เปิดอยู่เพียงมิกี่ร้านเท่านั้น บัดนี้เป็นเยี่ยงไรเล่า ? แม้แต่วันที่หิมะตกหนัก ร้านค้าเหล่านี้ก็ยังสามารถเปิดกิจการได้อยู่ มิเพียงแค่เปิดเท่านั้น แต่ทว่ายังค้าขายดีมากอีกด้วย”

รถม้าวิ่งอยู่บนถนนหินกาบ เมื่อได้ยินคำเอ่ยของฟู่เสี่ยวกวน หยูเวิ่นเต้าจึงมองออกไปนอกหน้าต่าง

เขาเห็นผู้คนขวักไขว่ไปมาและแต่ละคนก็มีใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส

“ความมั่งคั่งของแคว้นมิใช่ดูว่าเงินในคลังมีมากเท่าใด แต่ต้องดูว่าเงินในกระเป๋าของราษฎรมีเพียงพอหรือไม่ต่างหากเล่า”

“คัมภีร์หลุ่นอวี่หยานหยวนมีเรื่องหนึ่งบันทึกเอาไว้ แน่นอนว่าโดยทั่วไปผู้ครองบัลลังก์มักจะละเลยคำสั่งสอนนี้ คัมภีร์กล่าวเอาไว้ว่าหากราษฎรมั่งคั่ง จักรพรรดิจะมิมั่งคั่งได้เยี่ยงไร ? หากราษฎรมิมั่งคั่ง แล้วจักรพรรดิจะมั่งคั่งได้เยี่ยงไร…”

ฟู่เสี่ยวกวนสูดหายใจเข้าลึกแล้วเอ่ยต่อว่า “วิธีการปฏิบัติตนของจักรพรรดิเป็นเยี่ยงไร ? ลัทธิขงจื้อกล่าวว่าต้องปกครองโดยธรรมาภิบาลและความเมตตาธรรม การปกครองต้องใช้อำนาจเป็นเครื่องมือ แต่ข้ากลับมิคิดเช่นนั้น”

หยูเวิ่นเต้าละสายตากลับมาจ้องมองฟู่เสี่ยวกวนด้วยความประหลาดใจ

“แล้วเจ้าคิดว่าวิธีปฏิบัติตนของจักรพรรดิควรเป็นเยี่ยงไร ? ”

“ต้องมิทำให้ราษฎรหวาดกลัวต่อผู้มีอำนาจมากจนเกินไป เมื่อยามเผชิญหน้ากับผู้มีอำนาจเหนือกว่าจะต้องมิยินยอมคุกเข่ายอมแพ้ หากเผชิญหน้ากับเรื่องมิถูกมิควรก็ต้องลุกขึ้นมาต่อต้าน…”

แต่ทว่าประโยคต่อจากนั้นฟู่เสี่ยวกวนมิได้กล่าวออกมา เขาทำเพียงแค่ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ให้อิสระแก่พวกเขาอย่างเพียงพอ ! ”

หยูเวิ่นเต้าครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็เอ่ยขึ้นมาว่า “หากเป็นเช่นนี้เกรงว่าจะมีคนหัวรั้นมากยิ่งขึ้น ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนมิปฏิเสธ “อืม…อาจจะเป็นเช่นนั้น”

เขามิได้โต้แย้งหยูเวิ่นเต้า แต่ก็มิได้เอ่ยความคิดเห็นของตนให้เขาฟังด้วยเช่นกัน

หากเป็นเมื่อหนึ่งปีก่อนเขาอาจจะทำเช่นนั้น แต่ทว่าบัดนี้เขาย่อมมิทำอย่างแน่นอน เนื่องจากมันเป็นการกระทำที่ไร้สาระ อีกทั้ง…ยังดูโง่เขลา !

การที่เขาอธิบายเรื่องความเสมอภาค เสรีภาพ และประชาธิปไตยแก่คนที่อยู่ในยุคหลายพันปีก่อน…มันคือเรื่องไร้สาระอย่างแท้จริง

ทุกคราที่ได้นึกถึงเรื่องที่ตนเคยวาดภาพแคว้นอันงดงามไว้ที่จวนเยี่ยนในครานั้นก็รู้สึกละอายใจสิ้นดี เผลอคิดไปว่าตนมีความคิดล้ำหน้ามากกว่าพวกเขาหลายพันปี มั่นใจว่าความคิดเช่นนี้เปรียบเสมือนพายุฝนที่จะชะล้างความคิดเดิม ๆ ของพวกเขาออกไปจนสะอาดเอี่ยม แต่ทว่าในความเป็นจริง ความคิดเหล่านี้มิต่างอันใดกับการนำน้ำมันหยดลงไปในทะเลอันกว้างใหญ่เลยสักนิด มิเพียงมิสามารถเปลี่ยนให้ทะเลกลายเป็นน้ำมันได้เท่านั้น แต่ยังมิสามารถรวมตัวเข้ากับน้ำทะเลได้เลยด้วยซ้ำ

หากมิใช่เพราะฐานะตัวตนที่แท้จริงคอยปกป้องเขาเอาไว้ เกรงว่าป่านนี้หญ้าตรงหลุมศพคงสูงท่วมศีรษะไปแล้ว

เมื่อนึกถึงหลุมศพก็นึกถึงหลุมศพของสวี่หยุนชิงขึ้นมาได้

ในเมื่อเดินทางมาแล้ว วันพรุ่งนี้ก็กลับเมืองหลินเจียงเพื่อไปสักการะหลุมศพมารดาสักหน่อย

……

……

เยี่ยนซีเหวินถอดหมวกออก จากนั้นก็ปัดหิมะที่ติดอยู่ตามร่างกายเบา ๆ แล้วเดินเข้าไปในสำนักงานเขต เอ่ยออกมาเรียบ ๆ ว่า “ใกล้ปีใหม่แล้ว ใต้เท้าปี่ท่านช่วยพาคนสักสองสามคนเดินทางไปยังโรงงานต่าง ๆ เพื่อมอบของขวัญให้แก่พวกเขาสักหน่อย อีกทั้งดูว่าพวกเขามีเรื่องทุกข์ร้อนอันใดต้องช่วยเหลือหรือไม่…”

เขาเดินเข้ามาด้านในห้องโถงแล้วหยุดที่ข้างประตู จากนั้นก็หันหลังกลับแล้วเอ่ยออกมาว่า “อ่า… แล้วยังมีชาวสลัมที่อพยพมาเมื่อเดือนที่แล้ว เรื่องนี้ให้ใต้เท้าเว่ยไปจัดซื้อเนื้อสักหน่อย ปีใหม่แล้วหากพวกเขาได้ทานเนื้อสัตว์ก็คงจะดีมิน้อย”

ผู้ช่วยนายอำเภอปี่และจู่เป๋าเว่ยยกมือขึ้นคำนับเพื่อรับคำสั่ง จากนั้นเยี่ยนซีเหวินจึงเดินไปที่ลานด้านหลังเพื่อเข้าสู่ห้องซีเซียง

เตาผิงในห้องซีเซียงถูกจุดเอาไว้แล้ว ด้านข้างโต๊ะน้ำชามีชายหนุ่มผู้หนึ่งนั่งอยู่

เขากำลังต้มน้ำชาอยู่ เมื่อเห็นเยี่ยนซีเหวินเดินเข้ามาจึงเงยหน้าขึ้นมอง “มาได้จังหวะพอดีเลยเชียว ชานี้ช่างเลิศรสมากยิ่งนัก ชาขาวจวินซานเข็มเงินน่าเสียดายที่มิได้เก็บรักษาอย่างถูกวิธีจึงทำให้รสชาติของชาเปลี่ยนไปเล็กน้อย”

“จัวหลิวหวิน เจ้าเป็นสุนัขหรือเยี่ยงไรกัน ? ข้าเก็บรักษาชานั้นไว้อย่างแน่นหนา เจ้าค้นเจอได้เยี่ยงไรกัน ? ”

บุรุษผู้นั้นคือจัวหลิวหวินนายอำเภอเขตหยุนไหลแห่งถนนเจี้ยนหนานซี !

“เก็บไว้เพื่ออันใดกัน ? หากเจ้ามินำมาดื่มเกรงว่าเมื่อผ่านฤดูใบไม้ผลินี้ไป รสชาติของชาก็คงมิหลงเหลืออยู่แล้ว”

เยี่ยนซีเหวินนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับจัวหลิวหวิน เขาจ้องมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยฝุ่นของจัวหลิวหวินจากนั้นก็กระซิบถามว่า “เจ้าไปก่อเรื่องอันใดขึ้นอีกแล้วกัน ? ”

“มิมีเรื่องอันใดหรอก…ปีนี้เขตหยุนไหลกลายเป็นจุดทดลองการปฏิรูป แต่ทว่าก็ยังมิมีพ่อค้าเดินทางมาลงทุนมากเท่าใดนัก หลังจากงานชิวเหวยสิ้นสุดลง ฝ่าบาทก็ทรงปลดข้าลงจากตำแหน่ง และให้ผู้ที่สอบคัดเลือกติดตำแหน่งทั่นฮวาครานี้เข้ารับตำแหน่งแทนข้า”

เยี่ยนซีเหวินชะงักไปชั่วครู่ เขาครุ่นคิดแล้วเอ่ยออกมาว่า “เช่นนั้นข้าขอให้เจ้าอยู่ที่นี่เพื่อเป็นอาจารย์คอยชี้แนะผู้คนจะได้หรือไม่ ? ”

จัวหลิวหวินส่ายศีรษะแล้วรินน้ำชามาสองถ้วย “ข้ามิอยากเป็นขุนนางแล้ว การที่ข้าเดินทางมาที่นี่ก็มิใช่เรื่องเกี่ยวกับทางราชการด้วย”

เยี่ยนซีเหวินชะงักงัน จากนั้นก็ขมวดคิ้วเข้าหากันทันที “แล้วเจ้าคิดอยากทำสิ่งใดเล่า ? ”

“ทำการค้า”

“…”

“แต่ทว่าข้ามิมีเงินลงทุน ข้าได้ตริตรองอยู่เนิ่นนาน จากนั้นจึงตัดสินใจเดินทางมาขอหยิบยืมจากเจ้าสักหน่อย”

สิ่งนี้ทำให้เยี่ยนซีเหวินตกตะลึงเข้าไปใหญ่ ฐานะของครอบครัวจัวหลิวหวินก็มิได้ย่ำแย่สักหน่อย แล้วเหตุใดถึงมีสภาพเยี่ยงนี้กัน ?

จัวหลิวหวินมิได้อธิบายสิ่งใดออกมา เขาขายข้าวของทุกชิ้นเพื่อลงทุนในเขตหยุนไหล แต่พอเขตหยุนไหลเริ่มรุ่งเรืองขึ้นมาเล็กน้อยกลับถูกฮ่องเต้เรียกคืนตำแหน่งไปทั้งอย่างนั้น

จะให้เขาไประบายเรื่องคับแค้นใจนี้ให้ผู้ใดฟังกัน ?

และมิจำเป็นต้องระบายเนื่องจากไร้ประโยชน์อันใดอีกต่อไปแล้ว

เขาได้ทุ่มเทแรงกายแรงใจให้กับเขตหยุนไหล แต่บัดนี้ความทะเยอทะยานทั้งหมดได้สิ้นสุดลงแล้ว

เขามิอยากเป็นขุนนางอีกต่อไปเพราะถึงเยี่ยงไรเขาก็ยังมีครอบครัวให้ต้องดูแล เขาแต่งงานกับเหยียนซี่เม่ยหลานสาวของผู้ช่วยนายอำเภอเหยียนเกา ซึ่งบัดนี้พำนักอยู่ในบ้านเช่าที่เมืองจินหลิง

เนื่องจากเงินของตระกูลถูกเขาล้างผลาญเสียจนสิ้น บิดามารดารู้สึกผิดหวังในตัวบุตรชายเสียเต็มประดา และตัวเขาเองก็มิกล้าบากหน้าเข้าบ้านไปอีก

แต่ทว่าบัดนี้เหยียนซี่เม่ยตั้งครรภ์แล้ว เขากำลังจะได้เป็นบิดา เรื่องการเลี้ยงดูครอบครัวเขาต้องรับผิดชอบให้ได้มิใช่หรือ

“ว่ามาสิ เจ้าต้องการเท่าใด ? ”

“…50 ตำลึง”

“50 ตำลึงจะเอาไปทำอันใดได้กันเล่า ! หากจะทำก็ควรทำให้ใหญ่โตไปเลยสิ ข้าจะให้เจ้า 500 ตำลึง ! ”

จัวหลิวหวินยกถ้วยชาขึ้นมาด้วยมืออันสั่นเทา เขารู้สึกตกตะลึงมากยิ่งนัก “เจ้ามิกลัวว่าปัญญาชนเยี่ยงข้า จะทำกิจการขาดทุนย่อยยับจนหาเงินมาคืนเจ้ามิได้หรือ ? ”

“ขาดทุนก็ขาดทุนไปสิ หากจะทำธุรกิจก็ควรใจกล้าสักหน่อย ดูท่าทางมอมแมมของเจ้าสิ ไปอาบน้ำอาบท่าแล้วพำนักอยู่ที่นี่สักสองสามวันเถิด แล้วค่อยกลับเมืองหลวงพร้อมกัน”

จัวหลิวหวินวางถ้วยน้ำชาลง “ได้ ! ”

เขาลุกขึ้นยืนและกำลังจะเดินออกไป แต่กลับพบว่าประตูห้องซีเซียงถูกเปิดออกเสียก่อน

ท่ามกลางพายุหิมะเขาเห็นคนผู้หนึ่งเดินเข้ามา ท่าทางช่างดูคุ้นตามากยิ่งนัก และเมื่อลองพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้วก็ถึงกับตกตะลึงเสียจนต้องอ้าปากค้าง

เยี่ยนซีเหวินก็หันหลังกลับไปมองด้วยเช่นกัน เขารีบลุกขึ้นแล้วเดินตรงเข้ามาทันที “…ลมพายุลูกใดกันที่พัดเจ้ามาถึงที่นี่ได้ ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะเสียงดังพลางเดินเข้าไปในห้อง จากนั้นทั้งเยี่ยนซีเหวินและจัวหลิวหวินก็ต้องชะงักงันอีกครา เมื่อเห็นองค์ชายห้าหยูเวิ่นเต้าเดินตามเขาเข้ามา !

ข้างหลังของบุรุษทั้งสองมีสตรีหน้าตางดงาม 2 คน และมีนักดาบรูปร่างกำยำตามมาด้วยอีก 1 คน

เมื่อฟู่เสี่ยวกวนเห็นว่าจัวหลิวหวินที่กำลังตกตะลึงเสียจนตาค้างก็อยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน เขาจึงเอ่ยขึ้นมาว่า “พี่จัวก็อยู่ที่นี่ด้วยเยี่ยงนั้นหรือ ถือเป็นพรหมลิขิตที่พวกเราได้พบกัน ! ”

จัวหลิวหวินรีบยกมือขึ้นคารวะ คำว่าพี่จัวทำให้เขาเหงื่อแตกพลั่ก “คารวะติ้งอันป๋อ คารวะองค์ชาย ! ”

“ฮ่าฮ่า อยู่ในจวนของเยี่ยนซีเหวินมิต้องเกรงอกเกรงใจไปหรอก เยี่ยนซีเหวิน…เจ้ามัวตกตะลึงอันใดอยู่เล่า ? รีบไปเตรียมสุราและอาหารเลิศรสมาเร็วเข้า ! ”